แท้จริงแล้วเซวียเสี่ยวเหล่ยเป็เด็กชายที่พูดน้อยมาก แต่่นี้อยู่กับพวกนางสองคนนานเกินไป ก็เลยกลายเป็คนพูดมากขึ้น
เหลียนเซวียนคิดว่านี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ดีอะไร
แค่เซวียเสี่ยวหรั่นชอบจู้จี้ขี้บ่นคนเดียวก็พอแล้ว อย่าได้พาผู้อื่นเสียนิสัยกันไปหมด
กลับถึงเมืองหลวงเมื่อไร ต้องส่งเซวียเสี่ยวเหล่ยไปฝึกยุทธ์ให้รู้แล้วรู้รอด ขืนอยู่กับสตรีสองคนที่ชอบพูดมากทั้งวันเกรงว่าจะไม่ได้เื่
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฝนปรอยยามต้นฤดูร้อนก็หยุดลง
เซวียเสี่ยวหรั่นขมวดคิ้วดื่มยาของตนเองจนหมด ตามด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งถ้วย ถึงดับความขมในปากได้สนิท
หลังบรรจุน้ำเข้าไปเต็มท้อง เซวียเสี่ยวหรั่นกับเซวียเสี่ยวเหล่ยก็หิ้วกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่คนละใบ แล้วออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับเหลียนเซวียน
สำนักวาณิชสกุลเมิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองชางตาน ส่วนรายละเอียดสถานที่ตั้งแค่ไปสอบถามไม่ช้าก็ได้คำตอบ
แต่ที่นั่นก็อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเตี๊ยมของพวกเขา
ทั้งสามต่างค่อยๆ เดิน รีบเร่งมากไม่ได้ แม้ว่าตาของเหลียนเซวียนจะหายแล้ว แต่ร่างกายกลับยังไม่แข็งแรงเท่าไร
"เห็นบอกว่าอยู่ถนนกู่หลินเป็ย่านเจริญที่สุดของเมืองหลวง" เซวียเสี่ยวหรั่นกับเซวียนเสี่ยวเหล่ยกระซิบกระซาบกัน
เซวียเสี่ยวเหล่ยเป็คนมีไหวพริบ มาถึงชางตานเกือบสิบวันยามว่างก็มักจะติดตามพวกนางออกมาเดินเล่นข้างนอก ไม่ก็ออกไปไหนต่อไหนเองบ้าง สถานที่ใกล้เคียงละแวกนี้จึงไม่นับว่าแปลกที่สำหรับเขา
"เช่นนั้นก็ต้องเดินต่อไปอีก่ถนน" เซวียเสี่ยวเหล่ยคำนวณระยะทาง
"เดี๋ยวพอไปถึงสำนักวาณิช เหลียนเซวียนให้เ้าทำสิ่งใดเ้าก็ทำตาม มีส่วนไหนไม่เข้าใจ กลับมาค่อยพูด" เซวียเสี่ยวหรั่นกระซิบเตือนเขา
เหลียนเซวียนบอกว่าหากมีการร่วมมือกันก็ให้เซวียเสี่ยวเหล่ยเป็คนออกหน้า เซวียเสี่ยวหรั่นบอกให้เขารู้เป็การส่วนตัวแล้ว
เซวียเสี่ยเหล่ยยืดอก พยักหน้าอย่างจริงจัง
หลางจวินบอกว่า พี่สาวเป็สตรี ไม่สะดวกที่จะออกหน้าทำการค้า ดังนั้นเขาผู้เป็น้องชาย จะต้องแบกรับหน้าที่สำคัญและเป็เสาหลักให้กับตระกูลเซวีย
"ไม่ต้องตื่นเต้น มีเหลียนเซวียนอยู่ เขาจัดการได้ทุกเื่อยู่แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นตบๆ ไหล่ผอมบางอย่างปลอบประโลม
เหลียนเซวียนเดินตามหลังสองพี่น้องอย่างเอ้อระเหย
เดิมทีสายตาของเขากำลังสังเกตโดยรอบ พอได้ยินพวกเขากระซิบกระซาบกัน จึงเลื่อนสายตามา
เงาร่างบอบบางก้มตัวเล็กน้อย เข้าไปกระซิบคุยกับเด็กชายที่ตัวเตี้ยกว่า
นางเชื่อมั่นในตัวเขาถึงปานนี้เชียว?
ยามมองใบหน้าซีกข้างอันจิ้มลิ้มพริ้มเพราะของนาง ความรู้สึกหลากหลายว้าวุ่นอยู่ในหัวใจ
ขณะเอาชีวิตรอดในป่า นางก็เห็นเขาเป็ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว และเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างแรงกล้า สุดรู้ได้ว่านางเอาความมั่นใจเหล่านี้มาจากไหน ว่าเขาคือคนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ
แต่ถึงกระนั้นการได้รับความไว้วางใจจากนาง อืม... ก็เป็ความรู้สึกที่ไม่เลว
มุมปากของเหลียนเซวียนโค้งขึ้นน้อยๆ
สำนักวาณิชสกุลเม่งตั้งอยู่ในย่านคึกคักที่สุดบนถนนกู่หลิน เป็อาหารไม่นับว่าใหญ่มาก แต่การตกแต่งแลดูหรูหราเป็พิเศษ
ขณะที่พวกเขาเดินมาเข้าไปใกล้จะถึงประตู ก็เห็นเงาร่างคุ้นตาของคนผู้หนึ่งรออยู่หน้าประตู
พ่อบ้านต่งชิ่ง? เซวียเสี่ยวหรั่นเลิกคิ้ว กำลังรอพวกนางอยู่หรือเปล่า?
ขณะที่กำลังขบคิด คนจากทางนั้นก็ปรี่เข้ามาหาพวกเขา
"เหลียนต้าเหนียงจื่อ" ต่งชิ่งประสานมือคำนับ พอเห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายอยู่ด้านหลังของนางก็เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ "มิทราบว่าท่านผู้นี้คือ..."
เขารอพวกนางอยู่จริงๆ เซวียเสี่ยวหรั่นถูจมูก เมิ่งเฉิงเจ๋อผู้นี้ไม่กลัวพวกเขาจะรู้แม้แต่น้อยว่าตนเองส่งคนไปเฝ้าจับตามองที่โรงเตี๊ยม
"ผู้น้อยเหลียนชี" เหลียนเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ที่แท้ท่านเหลียนชีนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ นายน้อยรอพวกท่านอยู่ เชิญทางนี้ขอรับ"
ต่งชิ่งมองเขาเพียงปราดเดียวก็รีบหลบตา บุรุษตรงหน้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังกร้าวแกร่งแฝงไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์เช่นนี้เขาแทบไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ต่งชิ่งรีบค้อมกายผายมือเชิญ
เหลียนเซวียนมองสองพี่น้องข้างกาย ก่อนยกเท้าก้าวไปข้างหน้า อิริยาบถเชื่องช้าแต่สงบเยือกเย็น สีหน้ายิ่งเรียบเฉย
เซวียเสี่ยวหรั่นจูงเซวียเสี่ยวเหล่ยตามอยู่ข้างกายเขา ยังเคลิบเคลิ้มไปกับท่วงท่าอันแสนผ่อนคลายราวกับเดินเล่นในลานบ้านตนเองของเขา
เหตุใดจู่ๆ เหลียนเซวียนถึงดูเปลี่ยนไปเป็อีกคน รังสีเผด็จการวางอำนาจเช่นนี้คือสิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย ปรกติเขาแทบจะไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น
เขาเป็ใครมาจากไหนกันแน่ พลังกดดันผู้อื่นถึงได้ออกมาเป็ชุดๆ เช่นนี้
เซวียเสี่ยวหรั่นพึมพำในใจขณะเดินตามอยู่ข้างกายเขา
ต่งชิ่งเชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาในห้องรับแขกที่ชั้นหนึ่ง
เมิ่งเฉิงเจ๋อสวมอาภรณ์สีขาวปานหิมะ มือโบกพัดจีบเบาๆ เดินเข้ามาต้อนรับ
"ช่างเป็การมาเยือนของแขกผู้ทรงเกียรติโดยแท้ ผู้แซ่เมิ่งนึกว่าเหลียนต้าเหนียงจื่อจะงานยุ่งจนลืมนัดหมายของพวกเราไปเสียแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกกระดากใจอยู่บ้าง ที่ถ่วงเวลานานไปหน่อย
เมิ่งเฉิงเจ๋อเหลือบสายตามายังบุรุษข้างกายนาง ซึ่งไม่อาจมองข้ามไปได้
ยามทั้งสองสบตากัน ม่านตาของเมิ่งเฉิงเจ๋อพลันหรี่วูบ
"ท่านนี้คือ..."
"ผู้น้อยเหลียนชี" เหลียนเซวียนสีหน้าผ่อนคลาย
"ที่แท้ของพี่เหลียนนี่เอง เสียมารยาท เสียมารยาทแล้ว" เมิ่งเฉิงเจ๋อเก็บพัด ก่อนหยัดการตรงประสานมือคำนับ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
เขาสืบทอดกิจการวาณิชสกุลเมิ่งมาหลายปี รู้จักคนมานับไม่ถ้วน บุรุษตรงหน้ามีพลังกร้าวแกร่งอย่างที่ไม่เคยพบเห็นจากที่ไหนมาก่อน
ต่อให้องค์ชายหรือท่านอ๋องในวังเ่าั้ ก็ยังไม่มีกลิ่นอายหยิ่งผยองวางอำนาจเช่นบุคคลตรงหน้าผู้นี้
เหลียนชีซึ่งปรากฏตัวกะทันหันผู้นี้เป็ผู้สูงส่งจากแห่งหนใดกันแน่?
เหลียนเซวียนมองเขาอย่างเรียบเฉย คำนับกลับอย่างช้าๆ
"นายน้อยเมิ่ง"
ดวงตาของเขาชั่วขณะนั้นดำสนิทและลุ่มลึกดุจน้ำก้นบ่อ สีหน้าเรียบเฉยแต่กลับเหมือนมีกระแสไหลวนภายใต้ความสงบนิ่ง แฝงความลุ่มลึกและเยียบเย็นอยู่รางๆ
เมิ่งเฉิงเจ๋อเหมือนถูกแช่แข็งโดยไม่รู้ตัว
"มิกล้า พี่เหลียนเชิญนั่ง ต้าเหนียงจื่อ คุณชายน้อยเชิญนั่ง"
เมิ่งเฉิงเจ๋อกวาดสายตามองสองพี่น้องที่แสนจะธรรมดา
ตรงข้ามกับบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจซึ่งเดินเคียงข้างกันมาโดยสิ้นเชิง
ดูไม่เหมือนคนระดับเดียวกัน
สาวใช้ยกชาร้อนเข้ามา เมิ่งเฉิงเจ๋อสงบจิตใจ ก่อนเชื้อเชิญแขกให้ดื่มชา
เหลียนเซวียนยกถ้วยชาลายกิ่งไม้ประสานด้านข้างขึ้นมา ชาิเฉียนหลงจิ่ง [1] ส่งกลิ่นหอมอยู่ที่ปลายจมูก
"หอมหวานปานกล้วยไม้ เข้มแต่ไม่ขม ชาดี"
น้ำเสียงทุ้มต่ำลุ่มลึกกล่าวเนิบๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นลอบมองเขาปราดหนึ่ง เอื้อมมือไปยกถ้วยชาขึ้นมา ยามแง้มฝาออกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ถึงเธอจะไม่มีความรู้เื่ชา แต่ััได้ว่าเป็ชาดี
"ิเฉียนหลงจิ่ง เมื่อแขกคนสำคัญมาเยือน ย่อมต้องต้อนรับด้วยยอดชา" เมิ่งเฉิงเจ๋อลั่นเสียงหัวเราะ สะบัดแขนเสื้อของตนเอง ทักทายกับเขาอย่างสุภาพ ระหว่างนั้นเมิ่งเฉิงเจ๋อก็ถามขึ้นอย่างไม่กระโตกกระตาก "มิทราบว่าพี่เหลียนเป็คนที่ไหน"
เหลียนเซวียนวางถ้วยชาลง ดวงตาเหลือบขึ้นขึ้นกึ่งหนึ่ง "แคว้นฉี"
เขาตอบโดยไม่ปิดบัง เดิมทีเขาอยากหยั่งเชิงดูว่าเมิ่งเฉิงเจ๋อพอมีเส้นสายหรือมีความสัมพันธ์กับแคว้นฉีบ้างหรือไม่
เมิ่งเฉิงเจ๋อทำสีหน้ารับรู้ "ที่แท้พี่เหลียนก็เป็คนแคว้นฉีนี่เอง มิน่าท่วงท่าถึงโดดเด่นเช่นนี้ น้องชายมิเคยพานพบมาก่อน ช่างน่าละอายยิ่งนัก"
เป็คนแคว้นฉี เนตรหงส์เรียวสวยของเมิ่งเฉิงเจ๋อทอประกายวับวาว สมองแล่นไปอย่างรวดเร็ว ในแคว้นฉีมีตระกูลผู้ทรงอำนาจใดใช้สกุลเหลียน
"การค้าของนายน้อยเมิ่งใหญ่โตเพียงนี้ ไม่คิดจะขยายไปแคว้นฉีบ้างหรือ"
เหลียนเซวียนเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าแลดูผ่อนคลาย
...
[1] ชาหลงจิ่งคือหนึ่งในสุดยอดชาจีนที่โด่งดัง ิเฉียนหลงจิ่งคือยอดชาที่เก็บก่อนถึงเทศกาลเช็งเม้ง เชื่อกันว่ายอดชา่นี้รสชาติดีที่สุด ชาหลงจิ่งมีความหอมหวาน มีกลิ่นรสของชาเข้มข้นแต่แทบไม่มีรสฝาดหรือขมเลย
