“คุณทัง ฉันกับเสี่ยวหลานต้องขอบคุณคุณต่างหากค่ะ!”
ไม่ได้มีสายเืเดียวกัน เพียงเคยให้ของฝากประจำท้องถิ่นกับทังหงเอินเล็กน้อย ดูแลทังหงเอินตอนป่วยที่หมู่บ้านประมงเพียงระยะหนึ่ง หุงหาอาหารให้แค่ไม่กี่วัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เื่ใหญ่ และหลิวเฟินก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำจะมีค่ามากมายอะไร
นอกจากนี้หากไม่มีทังหงเอิน หลิวหย่งจะได้งานตกแต่งภายในที่บ้านพักรับรองเทศบาลเมืองหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงการแข่งขันกันอย่างยุติธรรม ต่อให้แผนงานของ ‘หย่วนฮุย’ ดีเลิศแค่ไหน ก็ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเข้าร่วมการประมูลงานด้วยซ้ำ
ร้านวัสดุก่อสร้างตั้งอยู่ที่ตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ดสะพานเหรินหมินแต่กลับไม่มีใครมาเก็บค่าคุ้มครอง นั่นก็เป็เพราะทังหงเอิน ทังหงเอินไม่ต้องออกหน้า ทางตำรวจก็รู้ดีว่าเ้าของร้านวัสดุก่อสร้างแห่งนี้มีคนหนุนหลัง และต้องดูแลเป็พิเศษ
ไหนจะคอยช่วยปกป้องเซี่ยเสี่ยวหลานอีก
หลิวเฟินไม่คิดว่าทังหงเอินเป็ต้นเหตุของเื่วุ่นวายทั้งหมดนี้ กับคนบ้าย่อมคุยด้วยเหตุผลไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานกับลูกชายของตระกูลจี้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งสองคนเป็เพื่อนร่วมสถาบัน ช้าเร็วจี้หย่าก็ต้องมาหาเซี่ยเสี่ยวหลานถึงที่อยู่ดี
หลิวเฟินรู้สึกขอบคุณทังหงเอิน ทังหงเอินคอยดูแลคนในครอบครัวเธอมาโดยตลอด ทั้งยังเชิญเธอมาปักกิ่งโดยเฉพาะ นี่คือการให้เกียรติกัน
ทังหงเอินสังเกตอย่างละเอียด หลิวเฟินดูไม่ถือโทษโกรธเขาเลยจริงๆ
เดิมทีคืนนี้มีแต่เื่ให้รู้สึกรำคาญใจ แต่หลังได้รับ ‘การปลุกใจ’ จากเซี่ยเสี่ยวหลาน ตามมาด้วยความเข้าอกเข้าใจของหลิวเฟิน ทังหงเอินก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว ถึงแม้ในอดีตเขาจะมองคนตระกูลจี้ผิดไป เลือกคู่ครองผิดพลาด ทว่ามันก็เป็เพียงบทเรียนหนึ่งเท่านั้น ตาของเขายังไม่มืดบอดสนิท
“นานๆ ทีจะได้มาปักกิ่ง เื่ไม่ดีก็อย่าไปคิดถึงอีกเลย อยู่เที่ยวที่ปักกิ่งหลายวันหน่อยแล้วกัน”
“ค่ะ คุณทังพูดถูกแล้ว”
เมื่อมาถึงเรือนสี่ประสานที่สือช่าไห่ ทังหงเอินก็เอ่ยปากชมเปราะ
“ทำเลดี เหมาะแก่การพักอาศัยยิ่งนัก”
ได้บ้านทั้งหลังเพียงผู้เดียวเป็สิ่งที่หาได้ยากที่สุดในยุคนี้ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแต่กลับเงียบสงบ ออกจากบ้านมายังได้เห็นทัศนียภาพของทะเลสาบ ซื้อบ้านแบบนี้ที่ปักกิ่งได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา และทุกอย่างช่างพอเหมาะพอดีเหลือเกิน เ้าของบ้าน้าขายบ้าน เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็มีเงินมากพอ
ลูกสาวตนสามารถลงหลักปักฐานที่ปักกิ่งได้ หลิวเฟินย่อมรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งกว่า
ที่นี่คือเมืองจักรพรรดิ [1] !
หลิวเฟินนึกว่าการปรับปรุงบ้านที่ชนบทให้สวยงามน่าอยู่ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ลูกสาวสุดที่รักทำให้เธอต้องคิดใหม่
“คุณทัง เข้ามาดื่มน้ำสักแก้วก่อนกลับเถอะค่ะ!”
และทังหงเอินก็เดินตามเข้าไปจริงๆ
ย่าอวี๋กับเซี่ยเสี่ยวหลานนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าสองคนนี้คุยกันถูกคอจนน่าประหลาดใจ
ในขณะที่ย่าอวี๋นั้นเห็นแล้วรู้สึกน่าสนใจจริงๆ
ไม่รู้ว่านายกทังผู้นี้จะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า
หากรู้ตัวล่ะก็ นายกทังคิดอย่างไรกันแน่?
ย่าอวี๋กลืนสิ่งที่อยากพูดกลับลงไปในลำคอ ถ้าเธอบอกหลิวเฟิน หลิวเฟินคงใจนลนลาน ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างเป็ธรรมชาติ ดังนั้นเธอไม่จำเป็ต้องเข้าไปแทรก ที่ย่าอวี๋มาปักกิ่งเพราะกลัวหลิวเฟินถูกเอาเปรียบ ลูกสาวของจี้หวายซินช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน จี้หย่าทำสีหน้าดูแคลนหลิวเฟิน คงคิดว่าอาเฟินเป็แค่หญิงบ้านนอก ไม่ควรค่าให้ตนชายตามองสักนิดสินะ
ถุย จี้หย่าดีเด่มาจากไหน ตระกูลจี้รุ่นจี้หวายซิน ถ้าไม่เรียกว่าพวกชาวนาขาเปื้อนโคลน ก็คงถูกเรียกว่ายาจกในเมืองใหญ่แล้ว
ตอนที่จี้หย่าเกิด จี้หวายซินกำลังอยู่ใน่ยุคทอง ตระกูลจี้ถึงได้มีกำลังเลี้ยงดูจี้หย่าดั่งคุณหนูตระกูลใหญ่ และสิ่งที่ย่าอวี๋รู้สึกขัดหูขัดตามากที่สุดก็คือ แค่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ ไม่รู้ว่าจี้หย่าจะอวดดีอะไรนัก
“ถ้าอาเฟินกับนายกทังชอบพอกันจริง จี้หย่าคงโมโหจนอกแตกตายแน่...”
ย่าอวี๋พึมพำกับตัวเอง พอดีกับที่เซี่ยเสี่ยวหลานยกถ้วยน้ำชาออกมา “ย่าว่าอะไรนะคะ”
“เปล่าหรอก เธอชงชาเป็หรือเปล่า”
ใส่ใบชา เทน้ำร้อน แล้วยังต้องทำอะไรอีกหรือ? เซี่ยเสี่ยวหลานรู้จักศาสตร์การชงชาอยู่บ้าง เพราะเธอเคยจิบชากับลูกค้าเป็ครั้งคราว ทว่าเธอไม่จำเป็ต้องมีพิธีรีตองอะไรกับทังหงเอินมิใช่หรือ
เื่ของหนุ่มสาว เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็เป็มือใหม่ จึงไม่เชี่ยวชาญเท่าย่าอวี๋
ย่าอวี๋เรียกเซี่ยเสี่ยวหลานเอาไว้อย่างใ ก่อนจะลงมือสอนวิธีชงชาให้กับเธอนานกว่าครึ่งชั่วโมงเต็ม
อีกด้าน หลิวเฟินเชิญทังหงเอินเข้ามาดื่มน้ำ ทว่าน้ำชากลับไม่ถูกยกออกมาเสียที เธอจึงต้องชวนเขาคุยเพื่อฆ่าเวลา
ทังหงเอินไม่ได้มีท่าทีผิดจากปกติแม้แต่น้อย เขาทำเหมือนกับที่ใส่ใจประชาชนคนอื่นๆ ทังหงเอินถามถึงกิจการร้านเสื้อผ้าของหลิวเฟินว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่
“ฉันได้ยินเสี่ยวหลานบอกว่า พวกเธอ้ามาเปิดสาขาที่ปักกิ่ง มีความคืบหน้าบ้างแล้วหรือยังล่ะ”
“มีค่ะ เห็นว่าตอนนี้กำลังฝากผู้จัดการธนาคารคนหนึ่งช่วยดูที่ทางให้ อยู่ทางฝั่งตะวันตก พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปดูสักหน่อย”
แผนเดิมคือการพาย่าอวี๋ไปเดินเล่นในปักกิ่ง เพราะย่าอวี๋บอกว่าไม่เคยมาที่นี่ ทว่าเมื่อครู่ย่าอวี๋เพิ่งบอกว่าสมัยยังสาวตนเคยเรียนอยู่ที่เป่ยผิง เป่ยผิงก็คือกรุงปักกิ่งสมัยยังไม่ได้รับการปลดแอก หลิวเฟินไม่ใช่คนโง่ อยู่ดีๆ ย่าอวี๋จะโกหกเธอทำไม นั่นก็เพราะย่าอวี๋เป็ห่วงเธอมิใช่หรือ!
อย่างไรก็ต้องเดินเที่ยว คืนนี้หลิวเฟินเองก็รู้สึกโมโหกับท่าทีของตระกูลจี้เช่นกัน เสี่ยวหลานบอกว่าจะทำให้ตระกูลจี้ยอมก้มหน้ารับผิดให้จงได้ หลิวเฟินไม่รู้ว่าจะต้องสู้ไปจนถึงขั้นไหน แต่เธอจะปล่อยให้เสี่ยวหลานพยายามอยู่คนเดียวไม่ได้ ดังนั้นตัวเธอเองก็ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ร้านที่ซางตูมอบให้พี่สะใภ้เป็คนดูแล ส่วนตัวเธอนั้นจะต้องเปิดร้านที่ปักกิ่ง
จะให้เสี่ยวหลานเป็คนเตรียมการจนเสร็จหมดทุกอย่าง แล้วเธอค่อยมาเป็คนเฝ้าร้านคงไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เฝ้าร้านไม่ใช่เื่ยาก จ้างพนักงานมาสักคน ให้เงินเดือนหลายสิบหยวน งานแบบนี้ใครๆ ก็สามารถทำได้
หลิวเฟินมีจุดยืนของตัวเองเช่นกัน ทังหงเอินอดที่จะมองเธอไม่ได้ ครั้งแรกที่ทานอาหารเช้าด้วยกันตอนอยู่หยางเฉิง ทังหงเอินไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำว่าหลิวเฟินหน้าตาเป็อย่างไร การพบหน้าหลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้สนใจเธอสักเท่าไร หากไม่ใช่เพราะเขาปอดอักเสบเฉียบพลันตอนอยู่หมู่บ้านประมง เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับหลิวเฟินดั่งเช่นทุกวันนี้
ในความทรงจำที่เลือนราง ครั้งแรกที่เขาเจอหลิวเฟิน เธอเป็คนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่กล้าเป็จุดสนใจ ไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ทว่าตอนนี้ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งปี เธอดูมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก!
เมื่อก่อนเป็ฝ่ายถูกกระทำ ปัจจุบันเป็คนที่ทะเยอทะยานใฝ่หาความก้าวหน้า นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าชื่นชม
ย่าอวี๋ถ่วงเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นฉลาดเกินไป ตั้งใจเรียนสิ่งไหนไม่ทันไรก็กระจ่างแจ้ง ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานยกน้ำชามาให้ ทังหงเอินจิบมันเพียงสองอึก ก่อนทิ้งท้ายว่า
“พรุ่งนี้ทานข้าวด้วยกันเถิด วันมะรืนฉันก็จะกลับเผิงเฉิงแล้ว”
ย่าอวี๋วิ่งออกมา “ทานข้าวข้างนอกแพงจะตาย ที่นี่มีอุปกรณ์ทำครัวครบครัน มาทานข้าวที่บ้านหลังนี้ก็แล้วกัน”
“นั่นสิคะ คุณทัง มาทานข้าวที่บ้านเถอะค่ะ”
บ้านหลังนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานมีระบบทำความร้อน ในบ้านอุ่นสบาย มาทานข้าวที่นี่หาใช่เื่ลำบากแต่อย่างใด ดังนั้นทังหงเอินจึงไม่ปฏิเสธ
—---------------------------------------------------
ขากลับ มือของทังหงเอินเคาะเบาะที่นั่งสองครั้ง จู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นได้
“เสี่ยวหวัง เลื่อนตั๋วเครื่องบินกลับเผิงเฉิงของพวกเราเสีย เลื่อนเป็วันมะรืน”
หา?!
ไหนบอกว่าจะกลับวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ?
ที่เผิงเฉิงยังมีงานอีกมากมายที่ต้องสะสาง เื่ด่วนที่สุดคือการลงทุนจากเครือเชิงหรง เสี่ยวหวังรู้ดีว่าเลขาเผิงโทรมาสองครั้งแล้ว เพื่อแจ้งเื่ของเครือเชิงหรงโดยเฉพาะ
ทว่าเสี่ยวหวังทำงานเป็คนขับรถให้ทังหงเอินมาสามสี่ปี เขาไม่ใช่คนฉลาดมากมายมัก แต่เวลาที่ไม่ควรถาม เขาก็จะไม่มีวันปริปากถามแน่นอน
“ท่านวางใจได้เลยครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย”
เสี่ยวหวังไม่ต้องถามอะไรให้มากความ หลังทังหงเอินกลับมาที่สำนักงานประจำกรุงปักกิ่ง เขาก็ทำการเลื่อนนัดทานข้าวมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้ออกไป เสี่ยวหวังจึงได้รู้ว่า ที่แท้พรุ่งนี้เ้านายจะไปทานข้าวที่บ้านของเซี่ยเสี่ยวหลาน
นักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!
เชิงอรรถ
[1] ชื่อเรียกพื้นที่บริเวณรอบพระราชวัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้