เมื่อเห็นหลินเยว่พูดกระซิบกระซาบกับจางฮุยิ ผู้ที่ยังไม่ได้เข้าทดสอบทั้ง6 คนต่างแสดงสีหน้าผิดหวังทันทีในขณะเดียวกันคนที่ค่อนข้างสนิทกับจวงเมิ่งเตี๋ยและหลี่เฉียนโจวก็ยิ่งรู้สึกโกรธ 2คนนี้มากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังเยว่ลูกศิษย์ของเว่ยจิ้นจงเขารู้สึกโกรธหลี่เฉียนโจวเป็อย่างมาก
แต่ก่อนเวลามีเื่อะไรก็จะมาเรียกผมอย่างสนิทสนมว่าสหายอย่างนั้นสหายอย่างนี้แต่พอต้องเข้าแข่งขันอย่างในตอนนี้กลับไม่หันมาแลผมสักนิดเดียว นี่ยังถือว่าเป็เพื่อนกันหรือเปล่า?
ไอ้สุนัขเลวอกตัญญู!
พอเอาไปเทียบกับหลินเยว่แล้ว ไอ้นี่ก็สู้หลินเยว่ไม่ได้เลยแล้วยังคิดอยากจะไปแข่งกับเขาอีก ไปกินขี้เถอะ!
หวังเยว่แอบด่าหลี่เฉียนโจวไม่หยุด
และเวลานี้เองผู้เฒ่าหลิวได้ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดขึ้น “ใครจะเสนอตัวเข้าไปเป็คนที่ 4”
ยังไม่ทันรอให้ผู้เฒ่าหลิวพูดจนจบจางฮุยิก็ได้ลุกขึ้นยืนและพูดขึ้น “ผมเองครับ”
ผู้เฒ่าหลิวพยักหน้าหลังจากนั้นจึงจัดการให้เ้าหน้าที่คนหนึ่งพาจางฮุยิเข้าไป
จางฮุยิแอบหยิบแว่นขยายออกมาจากกระเป๋าอย่างเงียบๆหลังจากนั้นจึงพยักหน้ากับเจี่ยเหวยเกิ่งอาจารย์ของตน รวมทั้งเฮ่อฉางเหอและหลินเยว่สุดท้ายจึงเดินตามเ้าหน้าที่เข้าไปในคฤหาสน์
“ไม่รู้ว่าความสามารถของเสี่ยวจางจะมากพอที่จะหาของแท้เจอหรือเปล่า?ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลานสาวของตาแก่จวงกับลูกศิษย์ของเฉินเฟยต่างหาของแท้เจอแล้ว”เจี่ยเหวยเกิ่งมองเื้ัของจางฮุยิพร้อมรำพึงขึ้นมาสายตาของเขามีแต่ความกังวล
“วางใจเถอะ เสี่ยวจางเก่งอยู่แล้ว เขาต้องทำได้สิ”เฮ่อฉางเหอพูดขึ้น
“นั่นสิครับ ศิษย์พี่จางเก่งกว่าผมอีกต้องทำได้อยู่แล้วครับ”
หลินเยว่พูดยอมรับอย่างหนักแน่นแต่ทว่าจากคำพูดของเขาก็เป็การยอมรับว่าตนเองหาของแท้พบแล้วเช่นกัน
เจี่ยเหวยเกิ่งพยักหน้าแต่สายตาของเขาก็ยังคงมีความกังวลอยู่
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป จางฮุยิเดินออกมาด้วยสีหน้าข้องใจดูเหมือนว่าสถานการณ์ด้านในจะไม่ได้ราบรื่นเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้
เมื่อเห็นสีหน้าของจางฮุยิเจี่ยเหวยเกิ่งจึงเกิดอาการใจกระตุก มันคงไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกนะ?
จางฮุยิติดตามเขามา 9 ปีแล้ว และก่อนหน้านั้นลูกศิษย์คนนี้ก็ขลุกตัวอยู่ในถนนวัตถุโบราณมาถึง5 ปีเมื่อนับเวลารวมกันทั้งหมดก็เป็เวลามากกว่า 14 ปี ความรู้ที่สะสมเป็เวลา 14 ปียังไม่สามารถใช้พิสูจน์ของแท้จากเครื่องเคลือบทั้ง10 ชิ้นอีกหรือ?
มันยากมากหรือว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ครบทั้งหมดในเวลาที่กำหนด?
เมื่อรอให้จางฮุยิเดินเข้าใกล้ศาลาแล้วเจี่ยเหวยเกิ่งจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหาเขา และถามขึ้น “เป็อย่างไรบ้าง?”
“ยากมาก เครื่องเคลือบ 7 ชิ้นแรก ผมได้สังเกตอย่างละเอียดแต่เครื่องเคลือบ 3 ชิ้นหลังเหลือเวลาไม่มากแล้วจึงได้แต่สังเกตอย่างลวกๆ คาดไม่ถึงว่าเครื่องเคลือบเหล่านี้จะพิสูจน์ยากมากต้องใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องเยอะมากเลยครับ”
จางฮุยิพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา
และเวลานี้เอง หลินเยว่และเฮ่อฉางเหอจึงเดินตามเข้ามา
“เป็ยังไงบ้างล่ะ?” หลินเยว่ถามขึ้น
จางฮุยิส่ายศีรษะและพูดขึ้น “ผมรู้สึกลังเลระหว่างแจกันเคลือบเขียนสีเฝินไฉ่ในสมัยราชวงศ์ชิงกับชามลายครามในรัชศกว่านลี่แห่งราชวงศ์ิเครื่องเคลือบทั้ง 2 ชิ้นนี้ผมว่ามันเหมือนของแท้ทั้งคู่ไม่ว่าจะสังเกตอย่างไรก็หาความผิดปกติไม่เจอ”
พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่างจากคนอื่นๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะได้ยิน
หลินเยว่เกิดอาการใจกระตุกขึ้นทันทีรอยตำหนิที่เกิดจากรถสามล้อไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆ ไปจะสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายเขาจึงถามออกมาอย่างระมัดระวัง “แล้วสุดท้ายคุณเลือกชิ้นไหนล่ะ?”
เฮ่อฉางเหอและหลินเยว่จึงถามขึ้น เพราะพวกเขารู้“ความลับ” จากของทั้ง 2 ชิ้นนี้เป็อย่างดีจึงมองจางฮุยิอย่างตื่นเต้น
“สุดท้ายผมเลือกชามลายครามในรัชศกว่านลี่แห่งราชวงศ์ิผมรู้สึกว่าชิ้นนี้มันน่าจะมีโอกาสมากกว่า”
ถึงแม้ว่าจางฮุยิจะพูดเช่นนี้แต่ทว่าสีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงความมั่นใจสักเท่าไร
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเยว่จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นทุบหน้าอกของจางฮุยิแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณนี่แน่จริงๆ ขนาดไม่แน่ใจยังเดาถูกอีก!”
“ฮะ?”
จางฮุยิอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเขาคิดตามคำพูดของหลินเยว่ได้ทันจึงถามออกมาอย่างตื่นเต้น“คุณก็เลือกชามลายครามใบนั้นเหมือนกันหรอ?”
หลินเยว่ยิ้มและพยักหน้าตอบ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เจี่ยเหวยเกิ่งเพิ่งได้สติขึ้นมาจากความรู้สึกผิดหวังภายในใจหลังจากนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ลูกศิษย์ของคุณเลือกถูกแล้ว!” เฮ่อฉางเหอพูดพร้อมรอยยิ้มและตบบ่าของเจี่ยเหวยเกิ่ง“ใต้ก้นแจกันเคลือบเขียนสีเฝินไฉ่ในรัชศกยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิงใบนั้นมีรอยตำหนิจากรถสามล้อมที่เล็กมากรอยหนึ่งหากเป็คนทั่วๆ ไปก็คงจะมองไม่เห็น ดังนั้น เฝินไฉ่ใบนั้นเป็ของปลอมน่ะสิ”
“จริงหรือ?”
สายตาของเจี่ยเหวยเกิ่งที่มองท่านเฮ่อฉางเหอแฝงความตื่นเต้นเล็กน้อย
เฮ่อฉางเหอพยักหน้าและพูดตอบ“ไม่เชื่อก็ลองถามเสี่ยวเยว่ดูสิ”
เจี่ยเหวยเกิ่งและจางฮุยิต่างหันไปมองหลินเยว่อย่างพร้อมเพรียงกันสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เป็ไปตามที่อาจารย์ของผมพูดเลยครับใต้ก้นแจกันมีรอยตำหนิจากรถสามล้อ มันเป็ของเลียนแบบเกรดเอในสมัยสาธารณรัฐจีนน่ะ”
หลินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเยว่แล้วเจี่ยเหวยเกิ่งและจางฮุยิต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน
ทายถูกก็ดีแล้ว!
เฮ่อฉางเหอกระเถิบตัวเข้าไปนั่งข้างๆเจี่ยเหวยเกิ่งและตบบ่าอีกฝ่ายพร้อมพูดขึ้น “อายุอานามก็เยอะขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังยึดติดกับชื่อเสียงเหล่านี้ขนาดนี้ล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อฉางเหอเจี่ยเหวยเกิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเบะปากใส่อีกฝ่ายและพูดตอบ “ตอนนี้เป็เพราะลูกศิษย์ของคุณพิสูจน์ได้ถูกต้องแล้วคุณถึงมาพูดจาประชดประชันแบบนี้อย่างนั้นหรือก่อนที่จะเริ่มทำการทดสอบไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ร้อนใจเป็กังวลแทบเป็แทบตายแต่ตอนนี้กลับมาเริ่มพูดประชดผมอีก”
เฮ่อฉางเหอยิ้มเขินเล็กน้อย
เมื่อได้ยินผู้าุโทั้งสองท่านสนทนากันหลินเยว่จึงได้แต่แอบหัวเราะ “ฮ่าๆ”
สำหรับคนรุ่นก่อนศักดิ์ศรีของตนเองไม่ได้เป็เื่ใหญ่ขนาดนั้น แต่หากมีเื่ที่เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ของตนแล้วพวกเขาจะทำตัวประหนึ่งยามที่กร็องเด้ต์* มองเห็นทองคำพวกเขาจะให้ความสำคัญกับลูกศิษย์เหนือสิ่งอื่นใด เพราะอาจารย์ดูแลลูกศิษย์ของตนใกล้ชิดยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆของตัวเองเสียอีก ความรู้สึกเช่นนี้คนอื่นคงยากที่จะเข้าใจ ดังนั้น จึงไม่มีใครกล่าวโทษปฏิกิริยาที่ดูเกินไปของเจี่ยเหวยเกิ่งเลย
เจี่ยเหวยเกิ่งหันหน้าไปหาลูกศิษย์ของตนเองและพูดตำหนิอย่างเข้มงวด “คุณเป็คนที่ขลุกตัวอยู่บนถนนวัตถุโบราณมาสิบกว่าปีแล้วแค่รอยตำหนิจากรถสามล้อยังมองไม่เห็นอีกหรือ? มีลูกตาไว้ประดับเฉยๆ หรือไง......”
เจี่ยเหวยเกิ่งไม่ได้ไว้หน้าลูกศิษย์ของตนเองเลยสักนิดเขาเอ่ยปากตำหนิไปตามที่ควรจะเป็นี่ถึงจะเป็การกระทำที่เกิดจากความรักและหวังดีอย่างลึกซึ้ง
จางฮุยิก้มหน้ารับฟังอย่างเงียบๆเขาไม่กล้าโต้เถียงเลยสักคำ
เฮ่อฉางเหอทนมองต่อไปไม่ได้ จึงพูดแทรกขึ้น “เวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นไม่ว่าใครก็คงจะกลายเป็คนสะเพร่าได้เหมือนกัน หากมองพลาดไปนิด สังเกตตกหล่นไปหน่อยก็เป็เื่ปกติมากคุณตำหนิเสี่ยวจางแบบนี้มันดูแรงเกินไปหรือเปล่า แค่พูดอบรมนิดหน่อยก็น่าพอ ทำไมล่ะพอคุณพูดแล้วก็รู้สึกติดลมบนจนหยุดปากไม่ได้อย่างงั้นหรือ”
“หากไม่ตำหนิหนักๆ สักครั้งเขาคงไม่จดจำหรอก ครั้งนี้จำได้แล้วหรือยังล่ะ?”
เจี่ยเหวยเกิ่งก็รู้สึกว่าตนเองพูดแรงจนเกินไป เขาจึงถือโอกาสนี้พูดตัดจบ
“จำได้แล้วครับ จำได้แล้วครับ”
จางฮุยิรีบพูดตอบ
“ต้องอย่างนี้สิ หึ!”
เจี่ยเหวยเกิ่งทำเป็สบถหึในลำคอแต่ทว่าเสียงหึของเขาไม่ได้มีความโกรธสักเท่าไร
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของตนไม่ได้โกรธอีกแล้วจางฮุยิจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก และถือโอกาสนี้พูดขอบคุณหลินเยว่ “ขอบคุณนะหากไม่ได้เป็เพราะคุณบอกให้ผมหยิบแว่นขยายเข้าไปด้วยผมก็คงไม่รู้ว่าจะพิสูจน์โต้วลายครามเขียนลายก้านเกลียวในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อใบนั้นได้อย่างไรฟองอากาศในนั้นมันสังเกตได้ไม่ง่ายเลย ขอบคุณนะ”
หลินเยว่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดตอบ“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลยแว่นขยายเป็สิ่งที่นักพิสูจน์เครื่องเคลือบต้องเตรียมไว้ตลอดเวลาอยู่แล้วผมก็แค่เตือนคุณให้หยิบเข้าไปด้วยเท่านั้นเอง”
เจี่ยเหวยเกิ่งก็ยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรอีก
คนที่ 5 ที่เข้าไปทำการทดสอบคือลูกศิษย์ของผู้าุโที่เป็เพศหญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มผู้าุโทั้ง10 ท่าน
เวลานี้หลินเยว่นั่งรอเพียงอย่างเดียวก็เริ่มรู้สึกเบื่อเขาจึงเริ่มขอความรู้เกี่ยวกับเครื่องเคลือบจากอาจารย์ของตน เพราะเขายังต้องเข้าร่วมการทดสอบรอบที่2 อีก เขาจึงจำเป็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไป
ขณะที่เฮ่อฉางเหอกำลังอธิบายอย่างติดพันนั้นเจี่ยเหวยเกิ่งก็เริ่มเข้ามาร่วมวงอธิบายด้วยหลังจากนั้นจวงตงเฟิงก็เริ่มกระเถิบตัวเข้ามาร่วมด้วยเช่นกัน สุดท้ายจึงกลายเป็คน3 คนกำลังทำการสอนหลินเยว่
ณ เวลานี้ ใน 1 คำถามจะมีการอธิบายด้วย 3 มุมมอง หรือบางทีก็จะมีอาจารย์คนหนึ่งพูดอธิบายแล้วอาจารย์คนอื่นๆพูดเพิ่มเติม ทำให้หลินเยว่ได้รับความรู้มากมาย
* กร็องเด้ต์ (Grandet) เป็ตัวละครสำคัญในนวนิยายเื่ “เออเฌนี กร็องเด้ต์”ของออนอเร่ เดอ บัลซัค นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ตัวละครนี้เป็บิดาของเออเฌนี กร็องเด้ต์เขาเป็นักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาก แต่เป็คนขี้เหนียวมากเช่นกันในสายตาของเขาแล้ว ภรรยาและลูกสาวของเขายังมีค่าน้อยกว่าเหรียญทองคำ 1 เหรียญเสียอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้