“สกัดแนวรบหรือ?” ซ่งชิงหลัวชะงักไป นางว่า “สิ่งที่พวกเราควรทำที่สุดตอนนี้ มิใช่ฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์หงส์ฟ้าสองคนนั่นยังไม่ฟื้นคืนชีพดันแนวรบประจัญบาน เข้าทลายแนวอารักขาชั้นแรกของพวกมันหรือ? เ้าต้องรู้นะว่านี่มันโอกาสทองมาก”
เ่ิูส่ายหน้า “ถ้าพลังต่างกันไม่มากล่ะก็ ที่เ้าพูดมาก็ดีแล้ว ทว่า...คราวนี้ พวกเราจักใช้อีกวิธีหนึ่งเอาชนะการประลองครั้งนี้”
...
ศาลาขึ้นฟ้า
ความตกตะลึงและยินดีปรีดาผ่านพ้นไป
เ่ิูสำแดงเดชตอบโต้พลังอันชั่วร้ายในเวลาคับขันได้พอดีนั้น ที่สุดก็ต่อลมหายใจให้พวกเขาได้อีกเฮือกหนึ่ง นี่คือการตอกกลับที่ทรงความหมายที่สุดของสำนักกวางขาวนับั้แ่เริ่มประลองมา ผลการสู้เลื่องระบือจะหาที่ไหนได้
เหล่าคณาจารย์ดูเหมือนจะคลายคิ้วที่ขมวดกันเป็ปมลงได้บ้างแล้ว
“เด็กคนนี้ทำได้ดี ควรค่าจะอบรมสั่งสอน...” อาจารย์าุโท่านหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม คำที่ใช้เพรียกเ่ิูนั้นเมตตาขึ้นมากโข
อาจารย์าุโอีกท่านก็เสริมด้วยยิ้มแย้ม “ข้าบอกแล้วใช่ไหม ว่าในบรรดาลูกศิษย์ลูกหามากมายขนาดนี้ จะไม่มีใครสักคนที่ยืนขึ้นได้เลยเชียวหรือ? เด็กคนนี้ชื่อเ่ิูใช่ไหม? อื้ม ไม่เลว ต่อจากนี้ต้องเอาใจใส่เสียหน่อย ปล่อยให้อัจฉริยะที่แท้จริงจ่อมจมไปเสียเปล่านั้นมิได้”
ผู้าุโของสำนักกวางขาวมากมาย รอยย่นบนใบหน้าอันตรธานลงไม่น้อย
ระดับสูงส่วนมากย่อมรู้อยู่แล้ว ว่าที่เ้าสำนักตกลงรับคำท้าของหงส์ฟ้าในคราวนี้ มิใช่เพื่อวัดสูงวัดต่ำกับสำนักหงส์ฟ้าจริงๆ แต่อย่างใด แต่เพื่อขัดเกลาเจียระไนศิษย์อัจฉริยะทั้งหลาย ให้พวกเขาเก็บความทะนงและก้าวร้าวในใจตนไปเสีย เพื่อพัฒนาการอย่างหนักแน่นและอุตสาหะ เมื่อรู้ถึงความแตกต่างของพลังในสิ้นเชิงแล้ว การแข่งแห่งเกียรติยศสิบสำนักในปีหน้าคงมากพอจะทำผลงานน่าพอใจได้
แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น กระบวนการแข่งขันใหญ่นี้ สำหรับสำนักกวางขาวแล้ว โดยเฉพาะเหล่าเบื้องสูงทั้งหลาย มิใช่การถูกโจมตีอย่างมโหฬารเลย
สิ่งที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันก่อนหน้านี้ คือสำนักกวางขาวมีโอกาสเก้าสิบในร้อยที่จะแพ้ ทว่าไม่นึกเลยจริงๆ ว่าจะพ่ายได้อเนจอนาถขนาดนี้ นับแต่ต้นยันจบ นอกจากัเีเ้าปั่นป่วนฆ่าห้าศพติดแล้ว เหล่าฟ้าประทานที่อบรมเป็พิเศษกลับไม่มีคนใดโดดเด่นออกมาเลย...
จนเ่ิูกรายมาจากน่านฟ้า
ตาแวววาวเมื่อฆ่าสองศพ ทำให้พวกเขาถอนหายใจแรงๆ ออกมาพรืดยาวในใจ
ได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าเบื้องสูงรอบด้านแล้ว เหล่าตัวแทนนักเรียนมากมายก็บังเกิดความอิจฉาตาร้อน พวกเขารู้ดีว่าต่อจากนี้ไป เ่ิูผู้นี้ต้องกลายเป็ลูกรักที่สำนักกวางขาวประคบประหงม อย่างน้อยก็มีเบื้องสูงคอยพยุงและชุบเลี้ยงมากกว่าคนอื่นเป็แน่
ไป๋อวี้ชิงเองก็ไม่อาจห้ามตนมิให้แสดงอารมณ์ออกมา
ดรุณีฟ้าประทานผุดผาดนางนี้เองก็นึกไม่ถึง ว่าบุรุษที่นางตัดสินไปแล้วแต่เก่าก่อนว่าไม่มีทางเป็ใหญ่ได้ เกิดเป็ยาจกข้นแค้นนักจะแสดงออกมาได้โดดเด่นปานนี้
นางต้องยอมรับแต่โดยดี ว่าผลงานของเ่ิูนั้นเหนือความคาดหมายของตนจริงๆ
ั์ตาของหานซวงสวี่เองก็ปรากฏแววเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวหาย นับแต่เริ่มต้น เขาเป็หนึ่งในยอดอัจฉริยบุรุษแห่งสำนักกวางขาว ไม่ว่าจะชาติกำเนิด พลัง พร์หรือความสามารถในการต่อสู้ เขาคือยอดหัวกะทิ
ตลอดมา รอบกายเขาจะเต็มไปด้วยผู้คนสรรเสริญและป่าวร้องยินดี
ตลอดทางที่เขาย่ำเดิน จักก้าวดุจเริงรำอยู่บนร่างอัจฉริยะนับไม่ถ้วน
ทว่าเขาก็ต้องยอมรับ ตอนห้าเดือนแรกที่เขาเข้าสำนักกวางขาวนั้น ไม่มีทางมีพลังเช่นนี้ได้เลย...เ่ิูผู้นี้นำความคุกคามและแทงจิตเจ็บมาสู่เขา หานซวงสวี่เห็นภาพเด็กหนุ่มยาจกคนนี้ทำลายเื่ราวที่ตนสร้างไว้ทีละเื่ๆ อยู่เลือนราง
กลางฝูงชน หานเซี่ยวเฟยและเี๋เี่าสะดุ้งใเป็พัลวัน
ก่อนหน้าการแข่งใหญ่นี้ พวกเขาสองคนได้เตรียมการบางอย่าง เพื่อจะทำลายหทัยวรยุทธ์ของเ่ิูให้สิ้น นำความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจลืมเลือนมอบให้ไอ้หนุ่มกำเริบเสิบสานพรรค์นี้...ทว่าเมื่อมองตอนนี้แล้ว เื่ราวดันกลับตาลปัตรไปคนละทิศละทางกับที่พวกเขาคาดการณ์ไว้
เี๋เี่ายากจะควบคุมความขมขื่นในใจ
นางนึกบางสิ่งออก ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่ดั่งพูดกับตัวเองและปลุกสติคนอื่นด้วย “ศิษย์น้องชิงหยูเพิ่งแสดงกระบวนยุทธ์ไป...ทำไมข้าไม่เคยเห็นกระบวนยุทธ์นั้นเลยนะ”
หานเซี่ยวเฟยตาเป็ประกาย
ตัวแทนนักเรียนอีกคนหนึ่งอธิบายความ “ก็จริงนะ ในพริบตาเดียว ก็รุดหน้าเข้ามากลางสมรภูมิจากร้อยเมตรถัดไป จู่โจมราวัพิโรธ...กระบวนยุทธ์เช่นนี้ ไม่เคยได้ยลยินมาก่อนจริงๆ ล่ะนะ”
เมื่อถ้อยคำนี้แถลงออกไป ก็ได้ปลุกสติคนหลายคนเข้าให้
มีบางคนครุ่นคิดลึกๆ อยู่คนเดียว
“ที่เ้าพูดมาก็ถูก” อาจารย์าุโผมสีดอกเลาก้มหน้าคิดพักหนึ่งก็ว่า “ในหลักสูตรของปีหนึ่งมีกระบวนยุทธ์เช่นนี้ด้วยหรือ? ทำไมข้าจำไม่ได้กัน...แล้วยังพลังอำนาจของกระบวนยุทธ์นั้น ดูไม่เหมือนสิ่งที่ศิษย์ปีหนึ่งจะเรียนได้ถึงเลยนา”
“หรือจะเป็กระบวนยุทธ์ที่คิดค้นขึ้นมาเอง?” ตัวแทนนักเรียนคนหนึ่งโพล่งออกมา
ฉับพลันคนมากมายก็หันไปมองเขาคนนั้นเป็ตาเดียว สายตาประหนึ่งมองคนโง่เง่า
ล้อเล่นบ้าอะไร
ศิษย์ปีหนึ่งหัวเดียวกระเทียมลีบเนี่ยหรือจะคิดค้นกระบวนยุทธ์ขึ้นเอง?
เี๋เี่าก้มหน้าแล้วเพิ่มประโยคเข้าไป “แล้วก็นะ ก่อนหน้านี้ที่ภาพอักขระฉายศิษย์น้องชิงหยูไม่ได้ เห็นเป็แค่ภาพดำปิ๊ดปี๋...มันเพราะอะไรกันนะ ถึงขั้นตัดขาดการสะท้อนของสมรภูมิหุบเขาปัดป้องได้ อย่าบอกนะว่า...”
เอ่ยถึงตรงนี้นางก็หยุดไป
“อย่าบอกอะไร?” อาจารย์าุโท่านนั้นถาม
“หรือศิษย์น้องชิงหยูจะแอบซ่อนของวิเศษไว้อยู่?” เี๋เี่าว่าทั้งก้มหน้า
เมื่อประโยคนั้นดังมา คนทั้งหมดก็นิ่งค้าง
“ของวิเศษ? ของวิเศษอะไรจะตัดการสะท้อนภาพของสมรภูมิหุบเขาปัดป้องได้?” อาจารย์ยิ้มเย้ย “อาวุธิญญาขั้นสูงก็ทำพลังอำนาจระดับนี้ไม่ได้ นอกจากจะเป็สมบัติชั้นหนึ่ง...”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็รู้ถึงบางอย่าง ใจพลันเต้นระรัวดั่งบ้าคลั่ง
สมบัติชั้นหนึ่ง?
หรือเ่ิูจะแอบซ่อนสมบัติล้ำค่าไว้ในกายจริงๆ?
เปลวเพลิงรุ่มร้อนฉาดฉายในส่วนลึกของั์ตาเขาเพียงแวบเดียวก็จางหาย
ทุกคนที่ยืนล้อมรอบกันอยู่พลันลำคอแห้งผาก โดยเฉพาะเหล่าเบื้องสูงที่ล่วงรู้ความหมายของสี่คำนั้นที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์าุโ สิ่งเดียวที่ขัดขวางไม่ได้คือความรู้สึกรุ่มร้อนเป็บ้าเป็หลัง หากเ่ิูมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในกายจริง เช่นนั้นที่เขาสามารถตัดขาดการสอดแนมของภาพสะท้อนแห่งสมรภูมิได้ และยังฆ่าศิษย์หงส์ฟ้าสองศพติดได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นก็...
หรือนี่จะเป็สิ่งเดียวที่ไขกระจ่างได้?
ในภพไทวะนี้ สิ่งของอื่นจำพวกเกราะเหล็กและอาวุธแล้ว จักแบ่งตามลำดับสูงต่ำของพลังเป็ขั้นต่างๆ ขั้นแรกคืออาวุธิญญา ถัดไปเป็สมบัติ ถัดไปเป็เครื่องมือแห่งนักพรต ศาสตราแห่งจักรพรรดิ ถัดไปอีกคือ...
อาวุธิญญาพบเห็นได้มากที่สุด นักยุทธ์ขั้นอาณาน้ำพุิญญาต้องให้ความชุ่มชื้นแก่พลังภายในของตน หล่อหลอมเป็วัตุดิบแห่งอาวุธิญญา แม้จะพบพานได้ยาก แต่เมื่อพบแล้วต้องนำไปให้ปรมาจารย์หลอมอาวุธลงมือ โอกาสสำเร็จจะสูงลิบลิ่ว
และข้อเรียกร้องของการสร้างสมบัตินั้น จักต้องผ่านความโหดร้ายทารุณ
สำนักกวางขาวนับแต่ก่อตั้งสำนักมานั้น ลือกันว่ามีสมบัติอยู่แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น แถมยังเป็สมบัติขั้นต้น ในบรรดาชนชั้นสูงของทั้งนครลู่ิ ล่ำลือกันว่ามีเพียงสำนักเ้าเมืองเท่านั้นที่มีสมบัติประทานมาจากราชสำนักเสวี่ย ชนชั้นสูงตระกูลอื่นไม่ว่าจะมีบารมีเท่าไรก็ไม่อาจได้มา...
สำหรับนักยุทธ์ต่ำกว่าทะเลระทมลงมาแล้วนั้น หากได้สมบัติมาจะสามารถมีพลังในการต่อสู้เท่ากับผู้ที่ระดับเหนือกว่า และสำหรับกลุ่มอิทธิพลใดใด หากได้มาซึ่งสมบัติ จักสามารถะโข้ามขั้นปะทะกับกลุ่มอิทธิพลเก่าแก่นับไม่ถ้วนได้สบาย!
สมบัตินั้น ตามทฤษฎีแล้วสามารถทำลายกลยุทธ์ของศาสตราวุธระดับเท่าเทียมกันได้ในทันที
ดังนั้นเมื่ออาจารย์าุโเอ่ยสี่คำนั้นออกมา ใจของคนนับไม่ถ้วนก็เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
บางทีนี่อาจเป็ความเป็ไปได้
ความเป็ไปได้ที่น้อยนิดจนน่าโหวงเหวง
ทว่าพวกเขาก็ยอมที่จะพิสูจน์เอาความดู ว่าจะมีโอกาสเป็เื่จริงหรือไม่?
ก็นั่นมันคือสมบัติชั้นหนึ่งนี่ พอให้กลุ่มอิทธิพลกระทำการคลุ้มคลั่งได้ทุกรูปแบบ ความลุ่มหลงนี้มากเกินพอดีจริงๆ ทำให้สุภาพชนมากมายกระชากหน้ากากตัวเองออกและสูญสิ้นซึ่งเหตุผล
ในใจหลายต่อหลายดวง เริ่มวางแผนชั่วช้ากันบ้างแล้ว
“หรือนี่จะเป็กระบวนยุทธ์ที่เวินหว่านสอน กระบวนยุทธ์เฉพาะตัวของเวินหว่าน อาจารย์ฉู่จำได้หรือไม่?” หวังเยี่ยนผู้ไม่เอ่ยปากมาั้แ่ต้นว่า
“ ‘อัสนีแลบวายุ’ ของเวินหว่านหรือ?” อาจารย์าุโผมสีดอกเลาชะงักไป แล้วจึงเข้าใจความหมาย เขาพยักหน้าอย่างมีความนัย “อื้ม จริงด้วย การจู่โจมของเด็กคนนี้เหมือนอัสนีแลบวายุไม่น้อยเลย”
“เช่นนี้ก็กระจ่างแล้ว เวินหว่านเอาใจใส่เด็กคนนี้มาตลอด การจะสอนกระบวนยุทธ์ของตัวเองให้ลูกศิษย์ก็มิใช่เื่แปลกอะไร” อาจารย์อีกท่านพยักหน้ารับ
หวังเยี่ยนไม่เอ่ยอะไรอีก
สายตาของนางเหลือบมองเี๋เี่า ไม่ได้เปรยปรามอะไร
ทว่าเี๋เี่ากลับรู้สึกได้ชัดเจน ว่าิญญาของนางดั่งถูกมีดฟันฉับอย่างรุนแรง สายตาของหวังเยี่ยนที่หนาวลึกถึงกระดูกนั้นแฝงจิตสังหารเล็กๆ ไม่ปิดบังอยู่ด้วย
เี๋เี่าก้มหน้า
นางไม่กลัว
มุมปากค่อยๆ เชิดขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร นางก็รู้ดี รอการแข่งใหญ่ครานี้จบก่อนเถอะ เ่ิูต้องเจอปัญหา ปัญหาครั้งมโหฬาร
...
...
สมรภูมิหุบเขาปัดป้อง
ถนนสายอุดร
สองนารีตระกูลซ่งควบคุมแนวรบอย่างระมัดระวังตามคำกำชับของเ่ิู ให้แนวหน้าทหารปีศาจมุ่งตรงเข้าเขตอารักขาชั้นที่หนึ่งไม่ขาดสาย ตำแหน่งของสนามรบนั้นยังคงรักษาไว้ที่ไม่เกินร้อยเมตรจากเทวรูปปกปัก
อาณาเขตโจมตีของเทวรูปปกปักคือห้าสิบเมตร
หากศิษย์สำนักหงส์ฟ้าโผล่มา ทั้งสองสามารถถอยทัพไปตั้งหลักอยู่ในความคุ้มครองของเทวรูป อีกฝ่ายต้องไม่กล้าเข้ามาในขอบเขตนี้ ดังนั้นพวกนางจะไม่ถูกฆ่าในคราแรก
กลยุทธ์แบบนี้ ดูแล้วน่าจะเอนเอียงไปทางป้องกัน
ทำแบบนี้ไปนานๆ เข้า นอกจากจะยืดเวลาออกไปได้พักหนึ่งแล้ว ก็ไม่อาจเอาชนะในท้ายที่สุดได้เลย ทว่าเพราะความเชื่อใจที่มีต่อเ่ิู สองนางถึงยังได้ยึดมั่นในความคิดของเขาอย่างแน่วแน่
ไกลออกไปยี่สิบลี้
เ่ิูเหยียบย่ำน้ำท่วมไม่ขาดตอนเบื้องล่าง เขากำลังเดินฝ่าเกลียวคลื่น
นี่เป็แม่น้ำสายหลักที่โอบล้อมสมรภูมิหุบเขาไว้ทั้งหมด นามว่า ‘นทีหลั่งทราย’ แม่น้ำกว้างขวางถึงสิบลี้ คลื่นขุ่นหลั่งไหล เสียงดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังจนหูแทบบอด