วันถัดมา
คนของศาลาว่าการได้นำศพของหมอ ที่แขวนคอตัวเองตายในคุกไปยังจวนสกุลหนี แต่สวีซื่อไม่ยอมให้พวกเขานำศพเข้ามาในจวน ด้วยข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ทั้งยังสั่งให้หลินมามากับบ่าวรับใช้ นำศพไปทำพิธีฝังอย่างรีบเร่ง
ส่วนภรรยาของหมอและบุตรชายวัยสิบสามปี ได้ถูกหลินมามาส่งตัวออกจากเมืองหลวงไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่หนีเจียเอ๋อร์ส่งคนไปตามหา จึงเพิ่งทราบว่าพวกเขาออกนอกเมืองไปแล้ว
นางจึงสั่งให้คนไปยังโรงพนันเสี่ยวเหยา เลยรู้ข่าวว่าหวงซานหายตัวไปั้แ่วันที่กลับมาจากจวนสกุลหนี ั้แ่วันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาเป็ตายร้ายดีอย่างไร
แม้จะรู้ว่าสองเื่นี้เป็แผนการของสวีซื่อ แต่ก็ไร้หลักฐาน หนีเจียเอ๋อร์จึงได้แต่นอนขมวดคิ้วด้วยความกังวล
ตอนนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ “เ้าคงไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นท่าทีเหนื่อยหน่ายเช่นนี้ของตัวเองหรอก จริงหรือไม่?”
ปลายนิ้วเรียวยาวเกี่ยวเส้นผมของนางด้วยท่วงท่าอันสง่างาม และนำไปทัดไว้ด้านหลังใบหู ก่อนกดลงที่ขมับทั้งสองข้าง ทำให้หนีเจียเอ๋อร์รับรู้ถึงััของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แขนแกร่งที่ปัดผ่านจมูก ทิ้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนสดชื่น
หนีเจียเอ๋อร์หายใจเข้าลึกๆ หลับตาผ่อนคลายไปกับการนวดของเขา “เหนื่อยหน่ายหรือ? เหอะ! หากจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าเอือมระอาต่างหาก”
โจวชิงหวาคลี่ยิ้ม “แล้วมันต่างกันด้วยหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์ส่งเสียง “อืม…” ออกมาด้วยความผ่อนคลาย “ตอนนี้ข้าได้บทเรียนใหม่ เปลี่ยนความเ็ปให้เป็ความแข็งแกร่ง สักวัน จะทำให้พวกเขาอกแตกตายไปเลย… คอยดู!”
ชายหนุ่มยกมือลูบศีรษะนางสองสามครั้ง ดวงตาฉายแววยินดี แต่ก็แฝงไปด้วยความสงสารระคนเห็นใจ “นี่สิ! ถึงจะเป็หนีเจียเอ๋อร์ที่ข้ารู้จัก”
หนีเจียเอ๋อร์ส่ายหน้า พลางพูดอย่างหงุดหงิด “อย่ามาทำเหมือนข้าเป็สัตว์เลี้ยงนะ!” ว่าแล้ว ก็ส่งสายตาทิ่มแทง
เ้าย่อมมิใช่สัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว...
โจวชิงหวายกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเขา ดูอ่อนโยนประดุจสายน้ำ “เ้าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าสลดใจเล็กน้อย”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วถาม “สลดใจอันใด?”
จู่ๆ โจวชิงหวาก็หมอบตะแคงลงข้างๆ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบเรือนผมของหญิงสาว ดวงตาสีเข้มทอประกายแวววับ “ข้าก็อยากจะเลี้ยง... เ้า”
ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดผิวกาย ส่งผลให้ใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกำลังมึนเมา
ความรู้สึกอันคลุมเครือ ทำให้หนีเจียเอ๋อร์หายใจลำบาก “ขืนยังไม่ลุกอีก หากว่าแผลฉีกขึ้นมา อย่าโทษข้าก็แล้วกัน!”
นอกจากจะไม่ลุกขึ้นตามที่หญิงสาวขู่แล้ว เขากลับขยับเข้ามาใกล้อีกต่างหาก “สองวันที่ผ่านมา ข้าเสียแรงไปกับการดูแลเ้าไม่น้อย เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ขอนอนพักสักครู่เถอะ”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มล้อเลียนตน หนีเจียเอ๋อร์ก็ทั้งโกรธทั้งอาย คิดจะเอื้อมมือไปผลัก แต่ก็ต้องชะงักค้าง เพราะเสียงหายใจอันแ่เบา และเปลือกตาที่ปิดสนิทของเขา...
อย่างไรเสีย เขากับนางถือว่าเป็พี่น้องร่วมน้ำนม หากไม่มีใครคิดข้ามเส้น แค่นอนข้างๆ กันเช่นนี้ ก็คงไม่เป็อันใดกระมัง
หนีเจียเอ๋อร์ถอนมือ แล้วหลับตาลง...
พอจังหวะหายใจของนางเริ่มสม่ำเสมอ โจวชิงหวาก็ลืมตาขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า
จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก เขาจึงผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ
พอเสี่ยวเสวียนผลักบานประตูเข้ามา ก็ต้องแปลกใจ “คุณชายโจวก็อยู่ด้วยหรือเ้าคะ?”
โจวชิงหวาแตะนิ้วลงบนริมฝีปากของตน ส่งสัญญาณให้เสี่ยวเสวียนเงียบ เพื่อมิให้เป็การรบกวนหนีเจียเอ๋อร์ พลางหยิบเข็มเงินสองเล่มจากแขนเสื้อออกมายื่นให้ “ต่อไปนี้ เ้าต้องทดสอบอาหารและเครื่องดื่มทุกครั้ง ว่ามีพิษเจือปนหรือไม่?”
เสี่ยวเสวียนรับเข็มเงินมาด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เ้าค่ะ คุณชายโจวไม่ต้องเป็ห่วง”
โจวชิงหวาเหลือบมองหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนเดินทางกลับจวนสกุลโจว และส่งคนไปสืบหาที่มาที่ไปของเหล่าชายชุดดำ ซึ่งมาทำร้ายพวกตนที่เรือนพักร้อนในคืนนั้น
...
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากมืดแปดด้านกับการตามหาตัวคนร้าย หนีเจียเฮ่อก็ฝากความหวังไว้ที่ต้วนอวิ๋นหลาน ซึ่งอาสาเข้ามาจัดการเื่นี้ให้ ดังนั้นทุกครั้งที่พบหน้ากัน เขาก็มักจะสอบถามถึงความคืบหน้าของการสืบสวนเสมอ แต่คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้า และบอกว่ายังไม่พบเบาะแสใดๆ...
ห้าวันผ่านไป หนีเจียเฮ่อก็แทบรอไม่ไหวที่จะออกจากตำหนักองค์รัชทายาท แล้วมุ่งหน้าไปยังจวนท่านแม่ทัพ เพื่อพบต้วนอวิ๋นหลานเป็การส่วนตัว
ต้วนอวิ๋นหลานที่กำลังจัดการกับงานในกองทัพ พอได้รับรายงานจากคนเฝ้าประตู ว่าหนีเจียเฮ่อมาขอพบ ก็วางพู่กันลงด้วยความรำคาญและหงุดหงิด
ลูกน้องคนสนิทจึงถามขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ จะให้ข้าส่งเขากลับไปก่อนหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง!” ต้วนอวิ๋นหลานลุกขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “หากทำเช่นนั้น เขาต้องไปสืบหาเื่นี้เองแน่”
สือหู่จึงกล่าว “ท่านแม่ทัพ ข้าไม่เข้าใจเลย เหตุใดเราถึงต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่เหล่านี้ด้วยขอรับ?”
ต้วนอวิ๋นหลานแสดงสีหน้าเยือกเย็น “สิ่งที่ข้าทำ เ้าไม่จำเป็ต้องถามหาเหตุผล เข้าใจหรือไม่?”
สือหู่ก้มหน้าลง “เข้าใจแล้วขอรับ!”
ต้วนอวิ๋นหลานเดินไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนออกมาที่ห้องโถง แล้วทักทายอย่างกระตือรือร้น “เจียเฮ่อ ลมอะไรพัดเ้ามา?”
เขามองไปยังกล่องชาที่ว่างเปล่า พลางตำหนิเสียงหงุดหงิด “เหตุใดไม่ชงชาให้ใต้เท้าหนี?”
ขาดคำ บ่าวคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมถาดน้ำชาพอดี “ท่านแม่ทัพ ชาขอรับ!”
ต้วนอวิ๋นหลานเข้ามาขวาง ดึงถาดชาออกมาจากมือบ่าวรับใช้ ก่อนส่งให้หนีเจียเฮ่อด้วยตัวเอง “เจียเฮ่อ นี่คือชาอู่หลงชั้นดีที่ฝ่าาประทานมาให้ข้า เชิญดื่ม!”
หนีเจียเฮ่อก้มลง แล้วใช้สองมือประคองถ้วยชาขึ้นมา “ขอบคุณท่านแม่ทัพ” เขาจิบชา ก่อนเอ่ย “ชาดี!”
นั่งไปสักพัก หนีเจียเฮ่อก็กล่าวว่า เขาอยากจะมีส่วนร่วมในการสืบสวนอย่างลับๆ
ต้วนอวิ๋นหลานจึงย้อนถามเสียงขรึมทันที “เ้าสงสัยในความสามารถของข้าหรือ? จึงไม่ไว้ใจให้จัดการเื่นี้”
หนีเจียเฮ่อแสดงท่าทีร้อนรน “ท่านแม่ทัพเข้าใจผิดแล้ว เจียเฮ่อมิได้มีเจตนาเช่นนั้น”
ในฐานะที่ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพั้แ่อายุยังน้อย ชื่อเสียงด้านความสามารถของอีกฝ่าย ย่อมเป็ที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นฉีหลาน โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
แม่ทัพหนุ่มหัวเราะอย่างจริงใจ “ไปบอกเสี่ยวเอ๋อร์ ว่าพี่ใหญ่คนนี้จะช่วยนางแน่ แต่เื่นี้คงต้องใช้เวลาสักหน่อย”
นั่นทำให้หนีเจียเฮ่อละอายใจยิ่งนัก จึงได้แต่คลี่ยิ้ม “เข้าใจแล้ว ข้าจะนำความไปบอกนางเอง”
“ข้าจะไปส่ง” ต้วนอวิ๋นหลานออกมาส่งอีกฝ่าย และยืนรอจนกระทั่งรถม้าหายลับไปจากสายตา ก่อนจะกลับเข้าจวน
...
ณ ห้องหนังสือจวนสกุลโจว
สือหวู่เข้ามารายงานว่า “นายท่าน คนของเราเห็นชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีแผลไฟไหม้ขนาดใหญ่ที่ข้อมือในโรงเตี๊ยม าแของเขายังไม่หายดี คาดว่าอาจจะเป็ผู้ต้องสงสัย เราจึงส่งคนติดตามไป แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ... นายท่านรู้หรือไม่ ว่าคนผู้นั้นไปที่แห่งใด?”
โจวชิงหวาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “เลิกพูดมาก แล้วบอกมาเถอะ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้