ดูจากน้ำเสียงแล้ว เยี่ยนปู้หุยน่าจะรู้จักท่านชายหลิว
เ่ิูพลันนึกขึ้นมาได้ ว่าท่านชายหลิวเคยเล่าว่าเขาเคยนั่งดื่มชากับเยี่ยนปู้หุย เช่นนี้แล้ว แปลว่าสองคนนี้น่าจะเคยเป็สหายกันมาก่อนหรือ?
“เห็นท่าว่าขนาดเทพาลู่ลงมือเองก็ยังไม่อาจฆ่าเ้าได้สินะ” ท่านชายหลิวมีสีหน้าและแววตาที่เยือกเย็นขึ้น กระนั้นยังคงประดับรอยยิ้มอ่อนจาง เขาว่าต่อ “ผ่านมาหลายปี พลังของเ้าคงเพิ่มพูนไปด้วย”
บนเมฆาขาว เยี่ยนปู้หุยค่อยๆ เปิดเปลือกตา
เ่ิูใจสั่นเล็กน้อย
นั่นมันแววตาอะไรกันน่ะ
ราวกับดวงเนตรที่ไม่เป็เนื้อเดียวกัน ยากจะจำกัดความได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เหมือนจะสงบ เหมือนจะโกรธขึ้ง เหมือนจะเศร้าสร้อย...เ่ิูไม่เคยพบเคยเห็นแววตาของใครหน้าไหนจะมีอารมณ์ซับซ้อนได้เช่นนี้มาก่อน แค่แววตาเท่านั้น แต่เหมือนหลอมรวมเอาทุกความรู้สึกที่มีบนโลกนี้มาไว้ในที่เดียว
“ถ้าพลังข้าไม่เพิ่มขึ้น ข้าคงตายไปนานแล้ว” เยี่ยนปู้หุยตอบแ่เบา
สีหน้าเขาสงบนิ่ง สายตาไร้สิ้นสุด เสมือนว่ามองทะลุผ่านกายท่านหลิว ผ่านเรือเหาะอักขระและอากาศรอบด้านสู่กาลเวลาาอันแสนไกล
“แต่เ้าาเ็นี่” ท่านหลิวเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เพื่อจะรักษาแผล เ้าถึงได้ฆ่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจใต้บังคับบัญชา สูบเอาพลังปราณชีวิต แค่นี้ก็รู้ได้ว่าเ้าเจ็บหนักมาก”
เ่ิูยินคำแล้วชะงักเล็กน้อย เขาพลันนึกได้ในบัดดล
ที่แท้แล้วเรือรบอินทรีั์ที่เจอโดยบังเอิญนั่น เหตุที่ยอดฝีมือปีศาจตายสนิทกันหมด ปรากฏเป็สภาพการณ์อันน่าพิศวงนั่น มิใช่เพราะถูกข้าศึกโจมตี แต่เป็เพราะเยี่ยนปู้หุยใช้วิชาลับดูดเอาพลังปราณชีวิตของพวกเขามาทดแทนอาการาเ็ของตัวเอง มิน่าเล่าถึงไม่มีร่องรอยต่อสู้อะไรบนเรือนั่นเลย ยอดฝีมือเผ่าปีศาจตายโดยไม่ได้ตอบโต้แม้แต่น้อย
วิธีการน่ากลัว
ความคิดโฉดชั่ว
แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเองยังทำได้ลงคอ
“มนุษย์ข้ายังฆ่ามาหมดแล้ว นับประสาอะไรกับเผ่าปีศาจกลุ่มเล็กๆ...าเ็แล้วอย่างไร พลังข้ากำลังเติบโต พลังของลู่เฉาเกอก็กำลังเติบโต” เยี่ยนปู้หุยมองกลับมายังท่านชายหลิว สีหน้าเรียบสงบดังเดิม “าเ็ด้วยน้ำมือเขาหาใช่เื่น่าอับอายไม่ ยังไม่นับที่สิบปีก่อน ลู่เฉาเกอขึ้นชื่อว่าเป็ยอดฝีมืออาณาทะเลระทมในตำนาน ผ่านมาสิบปี เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงระดับนี้กลับไม่กล้าห้ำหั่นซึ่งๆ หน้า แต่มุ่งหวังวางแผนเพื่อจะฆ่าข้า ข้าไม่ควรรู้สึกได้รับเกียรติหรอกหรือ? เทพาโยวเยี่ยนในตำนาน มันก็แค่นี้!”
“สามหาว กล้าให้ร้ายผู้บัญชาการลู่!”
“ไอ้บ้าคลั่ง หุบปากไป”
“คนทรยศ สมควรตาย!”
นักรบบนเรือเหาะล้วนผ่านสมรภูมิมาร้อยศึกจนชำนิชำนาญ คนมากมายมองเทพาโยวเยี่ยนอย่างลู่เฉาเกอเป็แบบอย่างอันศักดิ์สิทธิ์ เคารพนับถืออย่างสุดหัวใจ ตอนนี้ต่อให้เป็คนโฉดเยี่ยงาามารผลาญโลกันตร์อย่างเยี่ยนปู้หุย แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวว่าลู่เฉาเกอ พวกเขาก็โกรธจัดอย่างอดไม่ไหว ต้องก่นด่าออกมาอย่างเต็มปากคำ
เยี่ยนปู้หุยได้ยินแล้วก็ยิ้มบาง
เขาไม่โมโหจนลงมือฆ่า ไม่แม้กระทั่งมองทหารแกร่งกล้าที่โกรธจนจมูกแทบเบี้ยวนั่นแม้แต่หางตา
และก็เงียบไป เยี่ยนปู้หุยเงยหน้ามองปุยเมฆอันห่างไกล เช่นเดียวกับความทรงจำ ช่างเนิ่นนานนัก ก่อนเอื้อนเอ่ยเสียงเฉื่อยและไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ไม่ว่าจะผ่านมานานสักเท่าใด ข้าก็เห็นแต่พวกเ้าเคารพยกย่องบุรุษคนนั้น มองเขาเป็เทพ มองเขาเป็พ่อบังเกิดเกล้า นึกว่าเขาเป็ยอดคนไม่มีสิ่งใดกระทำไม่ได้ นึกว่าเขาเป็ยอดปราชญ์พิทักษ์โลก...ฮึๆ น่าขำเสียจริง คนอย่างไรก็ยังเป็คนอยู่วันยันค่ำ จะกลายเป็เทพเ้าไปได้อย่างไร...ถ้าเป็ข้าเมื่อก่อน พวกเ้าได้ตายไปพันรอบหมื่นรอบแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าจะไม่ฆ่าพวกเ้า”
ท่านหลิวยืนหยัดบนหัวเรือ เขายิ้มบางเบาพลางว่า “เ้าไม่ฆ่าพวกเรา? เช่นนั้นจะปล่อยพวกเราไปใช่ไหม?”
เยี่ยนปู้หุยเผยรอยยิ้มเหยียดหยามแล้วตอบ “ท่านชายหลิว ไม่เจอกันหลายปี เ้ายังเป็พวกเ้าแผนการอยู่อีก แต่ว่าผ่านมานานเพียงนี้ เ้าหมดน้ำคำไปเท่าใดแล้ว ได้ประโยชน์อะไรไหม?”
ท่านหลิวเหมือนได้ความจากคำพูดของอีกฝ่าย เขาก้มหัวไม่พูดไม่จา
“หลายปีนักที่ข้าไม่ได้ดื่มชาของท่านชายหลิว” เยี่ยนปู้หุยเปลี่ยนเื่คุยกะทันหัน น้ำเสียงของเขาเงียบสงัดและไม่ใส่ใจ
ท่านหลิวเงยหน้า เขาเอ่ยอย่างเอื้อเฟื้อ “จะไปยากอะไรเล่า ซิ่งเอ๋อร์ หยิบเครื่องชาของข้ามาซิ”
ซิ่งเอ๋อร์เด็กหนังสือ สีหน้าเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน เขาเดินกลับเข้าไปในห้องเรือเหาะ ไม่นานก็ออกมา หอบอุปกรณ์ชงชาทั้งชุดไว้ตรงหน้า เขาวางมันไว้บนหัวเรืออย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงต้มน้ำอยู่อีกทางโดยไม่ต้องรอให้ท่านชายหลิวสั่ง
เยี่ยนปู้หุยแบมือ
ก้อนเมฆกลุ่มหนึ่งลอยเข้ามา ราวกับของมีชีวิต ห่อหุ้มเอาทั้งเครื่องชาและซิ่งเอ๋อร์เอาไว้ จากนั้นจึงพาเหาะมากลางอากาศ
ภาพนี้ราวกับเมฆาเดือดขี่หมอก
ท่านชายหลิวขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองเ่ิูที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ย “ท่านทูตตรวจการณ์เย่ พาข้าขึ้นไปเถิด”
เ่ิูกระตุ้นปีกอาชาขาว ประคองไหล่ท่านชายหลิว กายขยับแวบหนึ่งจึงมาตกอยู่บนก้อนเมฆกลุ่มนั้น
เท้าเหยียบลึกราวกับว่าเหยียบบนผืนดินของจริง
ท่านชายหลิวนั่งขัดสมาธิ ท่าทางราวกับกำลังวาดภาพ เขาเริ่มต้มชาและแช่ใบชา
กิริยาของเขาดูชำนาญนัก ทุกการกระทำแผ่ความรู้สึกสดสวยออกมาอย่างยากจะอธิบาย ร่างกายราวกับแอบแฝงเส้นทางไว้ เ่ิูเห็นวิธีชงชาของซิ่งเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าศิลปะชงชาของเขาใกล้ความจริงแล้ว แต่พอเห็นท่านหลิวต้มชา เขาถึงเข้าใจว่าสองคนนี้ห่างชั้นกันเกินไป
อากาศไร้ซึ่งสายลม
ปุยเมฆปุยแล้วปุยเล่า เช่นเดียวกับอากาศรอบด้าน ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง
เรือเหาะอักขระเงียบสงัด
คนบนเรือเหาะก็นิ่งเสมือนซากฟอสซิล
พริบตาเดียว ชาก็ถูกต้มจนได้ที่
“เชิญ” ท่านชายหลิวเก็บแขนเสื้อแล้วยกมือ
เยี่ยนปู้หุยเดินลงมากลางอากาศ ทุกก้าวที่เดินล้วนกลายเป็เมฆขาว ราวกับดอกบัวขาวเบ่งบานไร้ราคี กลีบพิสุทธิ์ราวกับอัญมณีรองรับเขาไว้ เขาเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าโต๊ะน้ำชา ทุกกิริยาประหนึ่งเซียนมาเยือนพื้นโลก ทั้งกายไม่อาจมองเห็นแม้เศษเสี้ยวไอปีศาจ ยากจะเชื่อได้จริงๆ ว่าคุณชายผู้ดีอ่อนเยาว์เหมือนเซียนทุกอณูิญญาผู้นี้ จะเป็คนทรยศที่ได้รับการปลูกกระดูกปีศาจจากเคล็ดวิชาปีศาจ
ถ้วยชากระเบื้องเคลือบน้ำเงิน น้ำชาสีมรกตส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
เยี่ยนปู้หุยเผยอปากดูด
น้ำชากลายเป็ศรวารีจมจ่อมเข้าปากเขาไป
เ่ิูผู้ยืนอยู่ด้านข้าง พอเห็นภาพนี้แล้วอดนึกถึงค่ำคืนนั้นมิได้ คืนที่เขาดื่มชากับท่านชายหลิว ตัวเขาในตอนนั้นก็ดื่มด้วยวิธีนี้เช่นกัน มิน่าเล่าท่านชายหลิวถึงเกิดความรู้สึกว่าตัวเขาเหมือนใครคนหนึ่ง เห็นทีว่าท่านหลิวกับเยี่ยนปู้หุยน่าจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น อย่างน้อยสองคนนี้ต้องเคยดื่มชาร่วมกันมาหลายครั้ง หาไม่แล้วเยี่ยนปู้หุยชายโฉด คงไม่นึกอยากดื่มชาของท่านชายหลิวเอากะทันหันเช่นนี้หรอก
เ่ิูรู้สึกเหมือนตัวเขาเข้าใจเยี่ยนปู้หุยขึ้นมาเล็กน้อย
เป็มนุษย์คนหนึ่ง ต่อให้ไปพึ่งพาเผ่าปีศาจ แต่อย่างไรก็หาใช่คนเผ่าเดียวกัน แม้ว่าผู้บัญชาการปีศาจเชาเสวี่ยจะเชื่อใจเขา น่ากลัวว่าปีศาจตนอื่นคงไม่ยอมรับเขาอย่างแท้จริง หลายปีมานี้ เขาคงเหงามากกระมัง?
คนเดียวในเผ่าปีศาจ เห็นต่างเผ่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะน่าเบื่อสักเพียงไหนกันหนอ?
“เลิศรส ไม่ได้ดื่มมานานปีแล้ว” เยี่ยนปู้หุยดื่มรวดเดียวสามอึก ถึงถอนใจชื่นชม
ท่านชายหลิวแช่ชา รินชาต่ออีกถ้วยชนิดไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย เขาว่า “ชาเลิศรสแค่ไหน หากดื่มด้วยวิธีนั้นก็เสียเปล่า”
“เ้าพูดถูกอยู่ แต่พูดคำนี้มากี่ครั้งแล้วเล่า พูดไปก็เสียเปล่าเหมือนกัน” เยี่ยนปู้หุยเอ่ยเสียงเบา “เ้าพูดให้ข้าฟังมากี่ครั้งแล้ว?”
ท่านชายหลิวยิ้มบาง “หากเป็เื่ที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ข้าก็จะยังยืนยันเหมือนเดิม”
ในคำพูดเขายังมีคำพูดแฝงอยู่อีกชั้น
เยี่ยนปู้หุยจะไม่ได้ยินได้อย่างไร
เขาดื่มชาอีกถ้วย จากนั้นจึงตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเ้าเป็ฝ่ายถูก? ก็เหมือนกับชา เป็ของดื่มแก้กระหายเท่านั้น มันเกิดมามีค่าแค่ให้ดื่ม ดังนั้นแค่ดึงค่าของมันออกมาได้ จะดื่มอย่างไรก็เหมือนกัน เหตุผลนี้เหมือนกันกับคนนั่นแหละ ถ้าดึงคุณค่าตัวเองออกมาได้ จะด้วยวิธีการไหนก็ไม่สำคัญ ทำไมมนุษย์ถึงกระหายความแข็งแกร่งนัก ก็เพราะเมื่อแกร่งแล้วจะสามารถควบคุมบงการคนอื่นได้ ในเมื่อเผ่ามนุษย์ไม่ยอมก้มหัวให้ข้า ข้าก็จะกลายเป็ปีศาจเสีย ไต่เต้าสู่ความแข็งแกร่งเหมือนกัน รอข้าแกร่งกล้าอย่างแท้จริงก่อนเถิด ไม่ช้าก็เร็วข้าจะควบคุมบงการพวกเ้าทุกคน”
สีหน้าแววตาเ็าของเขาก่อนหน้า ราวกับลาภยศนั้นเปราะบาง
ทว่าตอนเอ่ยประโยคนี้ กลิ่นอายกลับเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง ท่าทีเชื่อมั่นว่าแกร่งกล้าไร้ศัตรู ราวกับกระบี่เทพสะท้านภพเปล่งความคมออกจากฝัก
“เ้าผิดแล้ว ชาต้องช้าเสมอ ถึงจะเข้าถึงรสชาติสุดพิเศษของมันได้ คนอย่าทำความชั่วเพราะเห็นเื่ชั่วเป็เื่เล็ก อย่าละความดีเพราะเห็นเื่ดีเป็เื่เล็ก จึงจักมีชื่อเสียงเชิดชูไปตลอดกาล” ท่านชายหลิวยกถ้วยชาขึ้น เขาค่อยๆ ละเลียดดื่ม โต้กลับไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
เยี่ยนปู้หุยหัวเราะ “ใช่ไหมเล่า? ในอดีต ข้ายึดมั่นความดี ละเว้นความชั่ว ผลเป็อย่างไร? อีกเดี๋ยวเดียวข้าก็จะตายคาสนามรบ ลูกเมียข้าไม่ได้รับการปกป้อง ตอนนี้ ข้าไม่สนสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ข้าไร้ศีลธรรม ข้าจะแก้แค้น ให้พวกมันได้ชดใช้ในสิ่งที่พวกมันกระทำ ให้พวกมันกลัวข้า หวั่นเกรงข้า ได้ยินชื่อข้าแล้วกลัวจนหัวหด กระเสือกระสนวิ่งหนี ไม่กล้าเป็ปรปักษ์กับข้า ข้าคิดว่าข้ายืนยันทุกอย่างครบแล้วนะ”
“เื่ในตอนนั้นน่ะ ที่จริงแล้ว..” ท่านชายหลิวกำลังจะเอ่ย
เยี่ยนปู้หุยหัวเราะดูเบาอย่างไม่เห็นอยู่ในสายตา ยามปัดป่ายมือแล้วดื่มลงไปอีกสามถ้วยติด เขายืนขึ้นอย่างว่องไว กลิ่นอายแผ่รัศมีไปพันลี้ เขาตัดบทเสียงเบา “เอาล่ะ หยุดเื่เทศนากับเหตุผลน่าเบื่อนี่เสียที ข้าฟังเหตุผลมามากพอแล้ว แต่ชีวิตข้าก็ยังบัดซบ ท่านหลิว ท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว ตอนนี้เยี่ยนปู้หุย มิใช่บัณฑิตอ่อนต่อโลกแห่งด่านโยวเยี่ยนเช่นตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว”
ท่านหลิได้วยินคำแล้วก็หยุดพูด ท้ายสุดก็ถอนใจยาว
“ฮ่าๆ ผ่านมานานหลายปี ได้ดื่มชาท่านชายหลิวอีกครั้ง เป็เื่มาไวไปไวเหลือเกิน วันนี้ดวงพวกเ้าไม่สู้ดี หนีมาเจอข้าที่นี่ เข้าภพผนึกรักษาอาการของข้า แต่ข้าจะไม่ฆ่าพวกเ้า” เยี่ยนปู้หุยหยัดยืนขึ้น เขาหัวเราะร่า “ท่านชายหลิว ข้ารบกวนเ้าเื่หนึ่ง”
“พูดมาเถิด” ท่านชายหลิวลอบโล่งอกในใจ
เยี่ยนปู้หุยบอกชัดถ้อยชัดคำ “รบกวนเ้าไปบอกลู่เฉาเกอทีว่า คราวนี้เขาสังหารข้าไม่ได้ ต่อไปก็ไม่มีโอกาสเหลืออีกแล้ว ในสิบปีมานี้วรยุทธ์เขาพัฒนาช้าเหลือเกิน หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป อีกห้าปีเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว และพอถึงตอนนั้น สถานการณ์ของเราจะกลับตาลปัตรกัน ข้าจะเป็ฝ่ายไล่ฆ่าเขาแทน หวังว่าพอถึงเวลาเขาคงโชคดีเช่นข้าในตอนนี้นะ”
รัศมีแข็งกล้าะเิออกมาเฉียบพลันจากกายเยี่ยนปู้หุย
ท้องนภารอบด้านถูกกลิ่นอายแกร่งกล้าไม่อาจพรรณนาจ่อมจม หมู่เมฆกลิ้งตลบราวกับคลื่นโหมกระหน่ำ เรือเหาะอักขระลำั์เหมือนเรือแจวลำเล็กดิ้นรนอย่างยากเข็ญท่ามกลางคลื่นรุนแรงน่าสะพรึงกลัว ราวกับศัตรูที่มีสิทธิ์ถูกจมเมื่อไรก็ได้ ผู้คนบนลำเรือ กระทั่งหลิวจงหยวนยังสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าตะลึงตื่นกลัว นี่มันไม่เกี่ยวข้องกับความกล้าหรือปณิธาน แต่เป็สัญชาตญาณความกลัวของสิ่งมีชีวิตที่มีต่อผู้แข็งแกร่งล้วนๆ
“ข้าจะบอกเขา” ท่านชายหลิวรับคำจริงจัง
“พวกเ้าไปเถอะ” เยี่ยนปู้หุยปัดมือ
เ่ิูมองเขาแวบหนึ่ง กระตุ้นปีกอาชาขาวพาท่านชายหลิวและซิ่งเอ๋อร์กลับลงบนเรือเหาะอักขระ
เรือเหาะอักขระเริ่มเคลื่อนไหวและสั่นะเือย่างช้าๆ มันกำลังจะเหาะออกจากเขตแห่งนี้...
ตอนนั้นเองที่เยี่ยนปู้หุยหันหน้ากลับมาฉับพลัน แววตาเหมือนฟ้าแลบมองเ่ิู เขานิ่งแล้วว่า “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ให้เขาอยู่นี่”
คนที่เขาชี้ คือเ่ิู