การประลองรอบสองคู่สุดท้ายนั้นจบลงที่เฉินหยางไม่ทันระวังตัวเหยียบโดนเส้นขอบเวทีจึงทำให้เกาจวิ้นชนะไปในที่สุด
ตอนท้าย ทังฝานลุกขึ้นกล่าวคำพูดปลุกใจ จากนั้นประกาศแยกย้าย ทุกคนกลับไปยังห้องตัวเอง เวลายามนี้ยังเช้าอยู่ พึ่งจะบ่ายสามสี่สิบห้า ตะวันยังไม่ลงเขา
แม้การแข่งจะจบลงเร็ว แต่โหยวเสี่ยวโม่ดูอย่างได้อรรถรส
ในตอนที่เขาดูบรรดาศิษย์พี่แข่งขันประมือกัน เขาก็ยิ่งคาดหวังว่าตัวเองจะเหมือนศิษย์พี่ที่มีฝีมือและพลังมากมาย
ตลอดที่ผ่านมาความคิดนี้ไม่เคยหายไป เสียดายที่มีสภาวะร่างกายนักหลอมโอสถผูกมัดอยู่ แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อฟังหลิงเซียวแล้ว นักหลอมโอสถก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่คนกล่าว อย่างเช่น ถ้านักหลอมโอสถคนนึงสามารถพัฒนาฝีมือจนแก่กล้าระดับหนึ่ง พลังปราณิญญาสามารถแปรสารเป็วัตถุใช้โจมตีผู้อื่นได้
แม้หลิงเซียวจะบอกว่ามีแต่นักหลอมโอสถระดับสูงเท่านั้นที่ทำได้ แต่สิ่งใดในโลกล้วนมีข้อยกเว้น
เมื่อเดือนกว่าที่แล้ว นับั้แ่เป็ศิษย์ในขงเหวิน สถานะของเขาก็ดั่งน้ำขึ้นเรือสูง จากนี้ไปเขาจึงไม่ใช่เพียงศิษย์ฝึกหัดแล้ว ดังนั้นขอบเขตอำนาจก็สูงขึ้น ตอนนี้เขาสามารถเข้าหอคัมถีร์ชั้นสองได้แล้ว
ป้ายอำนาจยังคงเป็ป้ายเดิมที่ผู้เฒ่าหอคัมภีร์ให้เขาไว้ ทว่าหลังๆ เขามัวแต่เก็บตัวและทำธุระ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยได้ใช้ป้ายนั้นเท่าไหร่
ตอนนี้คือโอกาสเหมาะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปสำรวจหอคัมภีร์ ดูสิว่าจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับพลังปราณิญญาหรือเปล่า บนนั้นน่าจะมีบันทึกที่เขาไม่รู้ เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น ไม่มีอะไรที่คนทำไม่ได้!
หลิงเซียวรู้ว่าเขาจะไปหอคัมภีร์ จึงจะไปด้วย
หอคัมภีร์ไม่ได้อยู่สายกลาง ดังนั้นต้องมีคนพาเขาออกไป ไม่งั้นม่านมิติทางเข้านั้นต้องขังเขาไว้ข้างนอกแน่
“เ้าจะไปยืมตำราอะไรรึ?” หลิงเซียวคิดๆ แล้วเอ่ยถาม
“ตำราที่เกี่ยวกับพลังปราณิญญา แล้วยังมีพวกขนานยาเซียนตันและหญ้าเซียนน่ะ หอคัมภีร์มีหลายชั้น ข้าเคยไปแค่ชั้นหนึ่ง ดังนั้นรอบนี้ข้าจึงอยากไปเดินดูชั้นสอง” โหยวเสี่ยวโม่พูดออกไปเพียงบางส่วนและปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงไว้
“พลังปราณิญญา? เ้ากำลังฝึกฝนพลังปราณไม่ใช่รึ ยังต้องดูตำราอะไรอีก?” หลิงเซียวสบตามองโหยวเสี่ยวโม่ ที่เกี่ยวกับยาเซียนตันและหญ้าเซียนนั้นเพิ่มพูนความรู้ก็จริง แต่เขารู้สึกว่าตำราพลังปราณนั้นไม่จำเป็
โหยวเสี่ยวโม่หลบตาเขาอย่างอายๆ “เอ่อ ข้ายังไม่เข้าใจอะไรบางอย่างน่ะ”
หลิงเซียวจ้องเขาพร้อมยักคิ้วข้างนึง ปรายตาลง มุมปากเผยรอยยิ้มเบาๆ จะโกหกก็ไม่หัดรู้จักเก็บสีหน้าก่อน ครึ้มใจอยากจะแกล้งเขาจึงกล่าว “มีอะไรที่ไม่เข้าใจ เ้าถามข้าตอนนี้ก็ได้ ไหนๆ เวลาก็ยังเช้าอยู่”
โหยวเสี่ยวโม่เหงื่อเริ่มซึมหน้าผาก โหยวเสี่ยวโม่ไม่คิดว่าเขาจะถามล้วงลึกขนาดนี้ ชำเลืองมองเขาอย่างไม่พอใจ ก้มหน้าห่อเหี่ยว จากนั้นก็พูดความจริงออกมาหมด “ตอนเช้าท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่า นักหลอมโอสถสามารถโจมตีผู้อื่นได้ แต่มีเพียงนักหลอมโอสถระดับสูงเท่านั้นที่ทำได้ ท่านก็รู้ว่าข้าคุณสมบัติด้อย ดังนั้นข้าจึงอยากลองหาดูว่าพอมีทางลัดที่จะแปรพลังปราณให้กลายเป็วัตถุได้หรือเปล่า”
“เ้าเป็คนซื่อบื้อหรือ?” หลิงเซียวคิ้วขมวดขึ้นเพราะคำพูดเขา
“ข้าไม่ใช่คนซื่อบื้อซะหน่อย” โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้ว่าทำไมจึงพูดเช่นนั้น แต่ก็ยังตอบโต้กลับไป
“ถ้าเ้าไม่ใชคนซื่อบื้อ แล้ววิชายุทธ์ตรงหน้าทำไมไม่ตั้งใจฝึกฝน รังแต่จะไปหอคัมภีร์หาทางลัดเพื่ออะไรกัน?” หลิงเซียวรู้มาตลอดว่าเขาซื่อบื้อ แต่ไม่คิดว่าจะบื้อขนาดนี้
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก พลันคิดตามความคิดที่เขาสื่อ แล้วก็เบิกตาโตโพล่งออกมา “ท่านหมายถึงวิชายุทธ์คัมภีร์ิญญา์นั่นรึ? เพียงแค่ฝึกฝนมันก็สามารถช่วยแปรพลังปราณให้เป็วัตถุได้หรือ?”
หลิงเซียวเคาะหัวเขาทีนึง “แน่นอน ไม่งั้นจะเรียกวิชายุทธ์ขั้นยอดเยี่ยมได้ยังไง!” บื้อได้ใจจริงๆ
“เอ่อ ตอนนั้นท่านไม่ได้บอกข้าว่าฝึกคัมภีร์ิญญา์แล้วจะได้ผลลัพธ์เช่นนั้น ข้านึกว่าแค่ช่วยเพิ่มพลังเท่านั้น” โหยวเสี่ยวโม่กุมหัวคร่ำครวญ วิชายุทธ์ขั้นยอดสื่อถึงอะไรเขายังไม่รู้เลย
“ตอนนี้เ้ารู้รึยัง?” หลิงเซียวจ้องหน้าน่าสงสารของเขาแล้วก็หลุดขำ
โหยวเสี่ยวโม่ลังเลอยู่ครู่นึง จึงเอ่ยถาม “งั้นต้องฝึกนานแค่ไหนถึงจะทำแบบนั้นได้?”
หลิงเซียวย้อนนึกถึงตอนแปลเนื้อหาในคัมภีร์ “”คัมภีร์ิญญา์มีทั้งหมดหกขั้น สามขั้นแรกค่อนข้างง่าย แต่จะบรรลุจากขั้นสามไปขั้นสี่นั้นยากพอสมควร แต่เพราะเหตุนี้ เมื่อเ้าบรรลุถึงขั้นสี่ พลังปราณิญญาของเ้าก็จะเริ่มแปรเปลี่ยนสารพลัง
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามฝึกฝนให้ถึงขั้นสี่ให้ได้” โหยวเสี่ยวโม่ฟังแล้วรู้สึกแน่วแน่ จากนั้นบันทึกเื่นี้ไว้เป็เป้าหมายที่สองที่ต้องทำ เป้าหมายเื่แรกคือตั้งใจหาเงินซื้อเมล็ดพันธุ์ อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็การทดสอบเข้าสำนักแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะเป็ศิษย์สำนักเทียนซินเต็มตัวแล้ว แต่กระบวนการนี้ยังไงก็ต้องผ่าน
“ซื่อบื่อ!” หลิงเซียวเห็นเขาสองตาเป็ประกาย อดไม่ไหวเคาะหัวเขาอีกทีนึง “ตอนนี้ยังจะไปหอคัมภีร์อยู่มั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดง ท่าทีเก้อเขิน พลันส่ายหัว “ยังไม่ไปดีกว่า ค่อยยืมตอนกลับไปก็ได้ ตอนนี้เวลายังเหลืออีกเยอะ ข้าไปหลอมยาดีกว่า” พูดจบก็วิ่งไปเลย
หลิงเซียวมองเงาหลังที่วิ่งไปไวๆ จู่ๆ ก็มีความคิดที่ว่าโหยวเสี่ยวโม่ไม่สามารถขาดเขาได้ บื้อชะมัด
คิดๆ ไป ในใจก็เต้นรัวมีความสุข ราวกับจะแตกออก เป็ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน หลิงเซียวขมวดคิ้ว เหมือนว่าเขายิ่งอยู่ยิ่งใส่ใจโหยวเสี่ยวโม่แล้ว เสียดายที่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าทำไม จึงเดินจากฝั่งห้องไปหาพวกหลัวเซี่ย
เดิมทีเขาเชื่อใจแค่โจวเผิงคนเดียว เพราะในความทรงจำของหลินเซียว โจวเผิงคือคนที่จงรักภักดีกับเขาที่สุด เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้ความลับของหลินเซียว และการประลองเมื่อวาน โจวเผิงไม่อยากให้ศิษย์พี่ใหญ่ต้องเผยพลังความสามารถดังนั้นจึงจงใจถอนตัว แต่เื่พลังบรรลุขั้นก็เื่จริง แต่เพื่อให้เสมือนจริงมากขึ้น หลิงเซียวจึงให้คำชี้แนะเขาไปบ้าง
ในส่วนของหลัวเซี่ยกับฉินซื่ออวี๋ ในความทรงจำของหลินเซียวทั้งสองคนยังอยู่ใน่ดูท่าที
ทว่าวันหลัวเซี่ยยอมรับยาเซียนตันจากโหยวเสี่ยวโม่ หลิงเซียวคิดว่าหลัวเซี่ยคนนี้พอลองทดสอบได้ แต่ก่อนที่เขาจะจากไป ก็ไม่วายร่ายม่านมิติไว้ชั้นนึง
โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าหลิงเซียวออกไปก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นหยิบอุปกรณ์และวัตถุดิบที่ใช้หลอมยาออกมาจากถุงเก็บของ
ขณะที่ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอก ทีแรกโหยวเสี่ยวโม่นึกว่าหลิงเซียวย้อนกลับมา กำลังจะเปิดประตู จู่ๆ ก็นึกได้ว่าถ้าเป็หลิงเซียว เขาไม่มีทางเกรงใจแบบนี้ ดังนั้นคนด้านนอกต้องไม่ใช่หลิงเซียวแน่ จึงรีบไปเก็บข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ถุงเก็บของ จากนั้นไปเปิดประตู
โหยวเสี่ยวโม่เปิดประตูออกเห็นคนด้านนอก ท่าทางเอะใจ “เ้าคือ…” เขาลืมชื่อ
คนที่มาเห็นเขา ยิ้มเผยลักยิ้มมุมปาก “ข้าคือเจียงหลิว เ้ายังจำได้ไหม?”
พูดถึงชื่อนี้ โหยวเสี่ยวโม่นึกออกทันใด เด็กหนุ่มคนนี้คือคนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน ตอนนั้นถูกเลือกเข้าสำนักพร้อมกัน จากนั้นถูกทัพ์เลือกตัวไป ครั้งนั้นที่ตื่นมาก็พบกับเขาคนแรก ดังนั้นจึงจำได้คร่าวๆ
“ที่แท้ก็คือเ้านี่เอง เ้ามีธุระอะไรงั้นหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มพร้อมเอ่ย คนๆ นี้ในสายตาเขาดูไม่เลว
“เ้ามีเวลาว่างหรือไม่?” เจียงหลิวถามพร้อมเสียงหัวเราะ
“ตอนนี้เหรอ น่าจะมี” โหยวเสี่ยวโม่นึกถึงว่าเมื่อครู่เตรียมจะหลอมยา แต่นานทีได้เจอเพื่อนร่วมบ้านเกิด เขาสามารถพักเื่หลอมยาไว้ก่อนซักพักได้ เพราะเขาเองก็อยากสอบถามข้อมูลเื่หมู่บ้านดอกท้อนั่นเหมือนกัน เผื่ออีกหน่อยเจอคนจากหมู่บ้านนั้นจะได้ไม่หลุดเผยไต๋
“ถ้าเป็เช่นนั้น พวกเราหาที่คุยกันเป็ไง?” รอยยิ้มของเจียงหลิวดูซื่อๆ แต่ก็ดูบื้อๆ ด้วย
ข้อเสนอนี้ตรงกับความตั้งใจของโหยวเสี่ยวโม่พอดี จึงตกลงโดยไม่ได้คิดอะไร เดินเข้าห้องเขียนข้อความฝากไว้ให้หลิงเซียว จากนั้นออกไปกับเจียงหลิว
สถานะของเจียงหลิวตอนนี้พอๆ กับโหยวเสี่ยวโม่ แม้ว่าจะเข้าสำนักได้ไม่กี่เดือน แต่ด้วยพร์ ครั้งนี้ประจวบเหมาะกับมีการประลองเกิดขึ้น อาจารย์จึงใช้โอกาสนี้ให้เขามาเรียนรู้เก็บประสบการณ์ พบปะเหล่าศิษย์ร่วมสำนัก ไม่เหมือนกับความโชคดีของโหยวเสี่ยวโม่ เขานั้นมีอาจารย์ที่คอยคิดวางแผนให้ แน่นอนว่า เพราะเขามีพร์ด้วย
โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้จักทาง เพราะสองวันมานี้เวลาส่วนใหญ่ก็หลอมยาอยู่แต่ในห้อง
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังไม่ค่อยคุ้นชินกับสายกลางเท่าไหร่ เจียงหลิวพาเขาไปไหนก็ยังไม่รู้ แต่ระหว่างทางที่มา พวกเขากลับไม่พบศิษย์คนไหนเลย โหยวเสี่ยวโม่คิดว่าแค่คุยกันไม่น่าต้องเดินมาไกลขนาดนี้ จึงหยุดเรียกเขา
“ศิษย์น้องเจียงหลิว นี่เ้าจะพาข้าไปไหนกัน?”
เจียงหลิวเดินมุ่งหน้าต่อ แกล้งไม่ได้ยิน
โหยวเสี่ยวโม่ขมวดคิ้ว งั้นก็ไม่เดินต่อดีกว่า ยืนอยู่ที่เดิมดูสิว่าเขาจะรู้ตัวเมื่อไหร่
ไม้นี้ใช้ได้ผลจริงด้วย เจียงหลิวหยุดเดินและหมุนตัวกลับมา เพราะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขานึกว่าโหยวเสี่ยวโม่กลับไปแล้ว พลันเผยให้เห็นสีหน้าพะวงชั่วแวบนึง แต่พอเห็นโหยวเสี่ยวโม่ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรก็ถอนหายใจออกมา
นี่ทำให้โหยวเสี่ยวโม่ที่ยืนรอเขาว่าจะหยุดเมื่อไหร่เห็นท่าทีทั้งหมดอย่างชัดเจน จึงเกิดความสงสัยขึ้น
-----------------------------------------