“คุณอาครับ ผมติดตามแพทย์แผนจีนแก่ๆ คนหนึ่ง ั้แ่ตอนเด็กๆ ผมจึงมีความรู้เื่ยาค่อนข้างเยอะ เช้าวันนี้น้าโซ่งมาหาผมที่โรงเรียน ถามเื่ที่ผมส่งดอกไม้ให้รั่วปิน ตอนนั้นผมก็เริ่มรู้สึกว่าเื่นี้ไม่ชอบมาพากล หลังจากนั้นผมเจอเศษยาพิษที่ติดอยู่บนการ์ด…”
ฉินหลางรู้ว่าถ้าเขาอยากเจอรั่วปิน ก็จะต้องเกลี้ยกล่อมรั่วไห่ชวนให้ได้ก่อน
โชคดีที่รั่วไห่ชวนคุยง่ายกว่าโซ่งเวินหยู แม้ดูจากภายจะเขาจะดูดุมาก แต่ความจริงกลับมีเหตุผลมาก
รั่วไห่ชวนฟังฉินหลางเล่าเื่ราวความเป็มาแล้ว พยักหน้าเบาๆ “ขอบใจเธอมากนะฉินหลาง เธอกล้าบุกฐานทัพเพื่อช่วยชีวิตเพื่อน หาได้ยากจริงๆ เพียงแต่ ที่เธอบอกว่า ‘จบแล้ว’ เมื่อกี้ มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“คุณอาครับ หลังจากรั่วปินถูกพิษแล้ว ข้อเท้าเธอจะมีรอยดำก่อน จากนั้นก็เป็ข้อมือ แล้วที่สุดท้ายก็คือลำคอ ถ้าเมื่อไหร่ที่มีรอยดำรอบลำคอแล้ว นั่นก็คือพิษเข้าสู่หัวใจแล้ว แสดงว่าพิษได้กระจายไปทั่วร่างกายของเธอแล้ว คาดว่า…คาดว่าจะ…”
พูดถึงตรงนี้ ฉินหลางก็ไม่สามารถพูดต่อไปได้แล้ว
“ฉันรู้แล้ว” รั่วไห่ชวนรู้ว่าสิ่งที่ฉินหลางพูดมันหมายความว่าอะไร แต่ยังไงซะนั่นก็เป็ชีวิตลูกสาวของตน เขาถามอย่างไม่ยอมสิ้นหวัง “แล้ว เธอยังมีวิธีอยู่ใช่ไหม?”
“ถ้ารอยดำที่คอยังไม่ปรากฏ ผมยังมั่นใจอยู่ แต่ว่าตอนนี้…ผมทำได้แค่พยายามอย่างเต็มที่เท่านั้น! อย่างน้อย ผมก็สามารถยืดอายุเธอให้นานขึ้นได้!” ฉินหลางกลุ้มใจ
รั่วไห่ชวนไม่ได้ถามอะไรอีก สามสิบกว่านาทีผ่านไป เฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนดาดฟ้าโรงพยาบาลเมืองผิงชวน โรงพยาบาลนี้เป็โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจังหวัดผิงชวน และรั่วปินพักอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่ดีที่สุด นี่ไม่ใช่ห้องที่คนธรรมดาๆ ที่มีครอบครัวธรรมดาๆ จะสามารถนอนได้
ตอนรั่วไห่ชวนมาถึงโรงพยาบาล กลับพบว่ารั่วปินไม่ได้อยู่ในห้องพักผู้ป่วย เมื่อถามพยาบาล จึงได้รู้ว่าอาการของรั่วปินทรุดหนัก ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน
ฉินหลางฟังแล้ว ก็ก้าวเท้าวิ่งไปทางห้องฉุกเฉิน รั่วไห่ชวนก็ไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเอง รีบวิ่งตามหลังไป
เพียงแต่ ทั้งคู่ต่างก็ถูกพยาบาลกันไว้ข้างนอกห้องฉุกเฉิน
โดยเฉพาะเมื่อข้างหน้าฉินหลาง ยังมีโซ่งเวินหยูที่ยืนขวางอยู่อีกคน
โซ่งเวินหยู่มองเห็นฉินหลาง ก็ราวกับเห็นหนามตำตา ทิ่มแทงจิตใจ เธอพูดอย่างเย็นเยียกว่า “แกมาที่นี่ได้ยังไง! รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลยนะ—ถ้าลูกสาวฉันเป็อะไรขึ้นมาละก็….”
“น้าใจเย็นๆ ก่อนสิครับ ผมมาช่วยรั่วปิน!” ฉินหลางไม่อยากเถียงกับโซ่งเวินหยูในเวลานี้
โชคดี ที่ตอนนี้รั่วไห่ชวนก็มาถึงแล้ว
รั่วไห่ชวนพูดอย่างขาดห้วง “เ้าฉินเขา….เขา….มาช่วยรั่วปินจริงๆ เธอ…เข้าใจเขาผิด…”
“ฉันเข้าใจเขาผิดเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา รั่วปินจะเป็อย่างนี้ได้ยังไง—”
“คุณอาครับ ไม่ทันแล้ว พิษของรั่วปินกำเริบแล้ว สถานการณ์กำลังแย่ลงเรื่อยๆ ต้องให้ผมให้ไปในห้องฉุกเฉินเท่านั้น ถึงจะทำให้รั่วปินอาการทรงตัวได้!” ฉินหลางขอความช่วยเหลือจากรั่วไห่ชวน
“ไห่ชวน คุณห้ามฟังมันนะ!”
“เวินหยู! ครั้งนี้ เธอจะต้องฟังฉัน!” ปกติรั่วไห่ชวนจะเชื่อฟังภรรยามาก แต่ท่าทีวันนี้กลับแข็งกร้าวผิดปกติ เมื่อหยุดโซ่งเวินหยูได้แล้ว เขาก็หันไปถามพยาบาล “บอกฉันมา ว่าตอนนี้ผู้ป่วยอาการแย่ลงเรื่อยๆ หรือว่ากำลังดีขึ้น?”
“ขอโทษค่ะท่าน ขอให้ท่านเชื่อใจแพทย์ของเรา พวกเขาจะพยายามอย่างสุดกำลังแน่ค่ะ…”
“บอกฉันมาว่าตอนนี้ลูกสาวฉันอาการเป็ยังไง!” รั่วไห่ชวนพูดดังขึ้นอย่างกะทันหัน พยาบาลกลัวจนตัวสั่น รีบพูดขึ้น “ท่านอย่าเพิ่งโมโหนะคะ…ฉันจะเชิญแพทย์ออกมาบอกท่านทันที ท่านรอสักครู่นะคะ…”
เพียงไม่นาน ก็มีนายแพทย์วัยกลางคนเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ความจริงแล้วเขาเป็แค่แพทย์สำรอง เขาไม่ได้เข้าร่วมกับการช่วยชีวิตรั่วปิน เพราะพื้นฐานครอบครัวของเธอไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงใช้แพทย์พร้อมกันถึง 5 คนในการช่วยชีวิตเธอ
นายแพทย์คนนี้ก็รู้ว่าผู้ปกครองของรั่วปินเป็คนที่ยุ่งด้วยไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงฝืนอธิบาย “ท่านผู้นำทั้งสอง จู่ๆ อาการของผู้ป่วยก็ทรุดลง พวกเราก็จนปัญญาแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้เรารวบรวมแพทย์ที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลแล้ว ต้องพยายามช่วยชีวิตเธอสุดกำลังแน่นอนครับ….เพียงแต่ พวกคุณเตรียมใจไว้บ้างก็ดีนะครับ”
“เตรียมใจอะไรกัน ก่อนจะมาโรงพยาบาล ลูกสาวฉันแค่เป็ไข้ตัวร้อนไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มันเป็อย่างนี้ได้ยังไง…เตรียมจงเตรียมใจอะไร ถ้าลูกสาวฉันเป็อะไรไปละก็—”
“เวินหยู! สงบสติอารมณ์เดี๋ยวนี้นะ!” รั่วไห่ชวนพูดแทรกภรรยา จากนั้นหันไปบอกนายแพทย์ว่า “ในเมื่อพวกเธอไม่มั่นใจว่าจะช่วยชีวิตลูกสาวฉันได้รึเปล่า งั้นก็ให้เขาเข้าไปเถอะ!”
“เขา?” นายแพทย์วัยกลางคนมองฉินหลาง พลางสงสัยว่ารั่วไห่ชวนสติไม่ปกติไปแล้วแน่เลย
“เขาเป็หมอ!” รั่วไห่ชวนพูดอย่างหนักแน่น “ให้เขาเข้าไป!”
“ไม่ได้ครับ ถ้าเกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้น พวกเราไม่สามารถรับผิดชอบได้…”
“งั้นฉันจะเข้าไปด้วย!” รั่วไห่ชวนพูดอย่างเย็นเยือก “ถ้าเกิดเื่ ฉันรับผิดชอบเอง! เร็วๆ หรือจะให้ฉันเป่าหัวเธอ!”
เดิมทีนายแพทย์ยังคิดว่ารั่วไห่ชวนเป็คนมีเหตุผลซะอีก คิดไม่ถึงว่าเขากลับจะชักปืนแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก พูดได้เพียง “ได้ครับ เชิญครับ เข้าไปกันหมด! ถ้าเกิดปัญหาอะไร ทางโรงพยาบาลไม่รับผิดชอบนะครับ!”
รั่วไห่ชวนไม่ได้สนใจนายแพทย์คนดังกล่าว เขากับฉินหลางพุ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
“นี่—ฆ่าเชื้อ! นี่นายเป็หมอประสาอะไร!” นายแพทย์วัยกลางคนบ่นพึมพำ แต่กลับพาฉินหลางกับรั่วไห่ชวนเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างจนปัญญา
ตอนฉินหลางและรั่วไห่ชวนปรากฏตัวในห้องฉุกเฉิน ทั้งหมอและพยาบาลในห้องต่างมองกันตาค้าง
ในขณะนี้นายแพทย์คนหนึ่งกำลังเตรียมจะผ่าตัดขยายหลอดลมให้รั่วปิน เพราะตอนนี้รั่วปินหายใจลำบากแล้ว รั่วไห่ชวนเห็นมีดผ่าตัดในมือนายแพทย์ดังกล่าว จู่ๆก็ควักปืนออกมา พร้อมกับตะคอกเสียงดังลั่น “ไสหัวไปให้หมด!”
หมอและพยาบาลอึ้งไปตามๆกัน จากนั้นก็รีบถอยไปบริเวณริมห้อง รั่วไห่ชวนหันไปบอกฉินหลางว่า “เ้าหนู ถึงตาของเธอแล้ว! ถ้าช่วยชีวิตลูกสาวฉันไม่ได้ ฉันก็จะเป่าหัวนายเหมือนกัน!”
ในขณะนี้สัญญาณชีพของรั่วปินต่ำมาก การเต้นของหัวใจช้าลงจนถึงนาทีละ 30 ครั้ง อาจจะตายได้ทุกเมื่อ เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว
ตอนแรกฉินหลางอยากเอายาจิ่วเซียงยี่ลู่ใส่เข้าไปในปากรั่วปิน แต่ก็ห่วงว่าเธอจะกลืนไม่ได้ ใน่เวลาชี้เป็ชี้ตายแบบนี้ ฉินหลางเห็นว่ารั่วปินกำลังหยอดน้ำเกลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงนำยาจิ่วเซียงยี่ลู่ 2 เม็ดใส่ลงไปในน้ำเกลือ แล้วเข้าไปในร่างกายรั่วปินโดยผ่านสายน้ำเกลือ
บางอย่างของการแพทย์สมัยใหม่ก็ควรจะนำมาใช้ อย่างเช่นการให้ยาผ่านทางสายน้ำเกลือ เพราะมันเห็นผลเร็วกว่าการกินยามาก ผ่านไปไม่ถึงสองนาที สภาพร่างกายของรั่วปินเริ่มคงที่ การเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นเป็ห้าสิบกว่าครั้งต่อนาที เธอเริ่มหายใจได้สม่ำเสมอมากขึ้น เธอค่อยๆ มีได้สติ แต่เมื่อเธอลืมตา มองเห็นสถานการณ์ภายในห้อง เธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “พ่อ…อย่าฆ่า…ฉินหลาง!”
รั่วไห่ชวนรีบเก็บปืนในมือ แล้วมาข้างเตียงรั่วปิน พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “ลูกรู้ไหม พ่อล่ะอยากจะฆ่าหมอชุ่ยๆ พวกนี้ให้หมดซะจริงๆ แต่ฉินหลาง เขาไม่ได้เป็หมอชุ่ยๆ เ้าหมอนี่เป็คนดี!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้