บางเื่เหมือนจะคลี่คลาย แต่บางเื่กลับแย่ลง ยิ่งสืบสวนเื่ยิ่งบานปลายราวก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย
ต้นเหตุของเื่ทั้งหมดมันเกิดจากคนงานถูกทำร้าย บิดาของิหยวนโชคดีที่ยังมีชีวิตรอด แต่โชคไม่ดีที่ชาวบ้านในละแวกนั้นต้องเอาเงินที่มีอยู่น้อยนิดไปจ่ายค่าซ่อมบ้านจนไม่เหลือเงินมาซื้อข้าวปลาอาหาร จึงต้องจำใจขายบุตรหญิงชายแลกข้าวสารมากรอกหม้อ ไม่คิดว่าพ่อค้าทาสจะใจโฉดโหดร้าย รำคาญเสียงเด็กร้องไห้งอแงจึงทุบตีพวกเขาจนตาย
ในยุคสมัยนี้แค่เด็กตายไม่กี่คน ไม่ถือว่าเป็เื่ใหญ่ ทว่าสามสี่วันมานี้ ชาวบ้านต้องเผชิญปัญหาใหญ่ เงินที่หามาได้เดิมทีแทบไม่พอใช้ จู่ๆ บ้านก็มาพัง เหล่าคนงานก้มหน้าทำงานหนักเป็วัวเป็ม้ามานาน ในที่สุดก็หมดความอดทน ทิ้งจอบทิ้งเสียม รวมตัวประท้วงหน้าที่ว่าการอำเภอซานหยางเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
นายอำเภอซานหยางเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จนชินตา คิดว่าไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร อีกทั้งยังเป็โอกาสให้เ้าหน้าที่อาศัย่ชุลมุนพาหลิวเปียวและคนอื่นๆ ขึ้นศาลเพื่อไต่สวนคดีใหม่ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของชาวบ้าน
หลิวเวยที่ดื้อดึงมาตลอด สุดท้ายก็ต้องรับฟังความเห็นของคนในจวน หอบข้าวของมีค่ามากมายไปหาเฉินปั๋ว เพื่อขอโทษที่ตนเคยทำตัวหยาบคาย วาจาอ่อนน้อมขึ้นทันตา คำก็ฝู่จวิน สองคำก็พี่เหวินไห่ และแก้ตัวว่าตนเลอะเลือนจึงต้อนรับผู้มาใหม่ได้ไม่สุภาพพอ แม้ในใจเฉินปั๋วจะรู้สึกสมเพชเขา แต่ถึงอย่างไรก็เป็คนตระกูลขุนนางเหมือนกัน อีกทั้งไม่ได้คิดเคียดแค้นจนอยากกกำจัดตระกูลหลิวให้สิ้นซาก เพียงอยากให้บทเรียนอีกฝ่าย จึงต้องจำใจรับข้าวของพวกนั้นไว้ เพราะต้องรักษาหน้าตระกูลหลิว
ก็แค่เด็กตายไม่กี่คน ทว่าเดือดร้อนมาถึงที่ว่าการอำเภอ ตระกูลหลิวรู้ดีว่าจะทำตัวเป็คนดีตอนนี้นั้นเป็เื่ยาก พวกเขาจึงวางแผนทำบางอย่าง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และปล่อยให้ศัตรูเก่าอย่างวัดก่วงจี้และนายอำเภอซานหยางเล่นงานพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียว
……
เที่ยงวันนั้น ตระกูลหลิวพาคนมาล้อมที่ว่าการอำเภอซานหยาง แต่ทว่านายอำเภอปิดประตูไม่รับแขก หลิวเวยจึงเปลี่ยนแผน สวมชุดไว้ทุกข์ พาคนหามโลงศพเปล่าสองโลงบุกเข้าไปในวัดก่วงจี้ และทุบอาคารด้านหลังวัดที่ต่อเติมใหม่ทิ้ง
วัดก่วงจี้มีหรือจะยอมง่ายๆ พอรู้ว่าชาวบ้านแห่ศพเด็กที่เสียชีวิตไปล้อมจวนตระกูลหลิว ก็รีบส่งคนไปแจ้งพวกเขาว่าคนตระกูลหลิวอยู่ที่วัดก่วงจี้ ชาวบ้านจึงหามศพเด็กที่ถูกม้วนด้วยเสื่อมุ่งหน้ามาที่วัดก่วงจี้ ก่อนจะวางเด็กทั้งสองไว้ข้างโลงศพที่ว่างเปล่าของหลิวเวยที่กำลังยกธงขาวขอเจรจา ท่ามกลางสถานการณ์ดุเดือดราวกับน้ำในหม้อ
เหล่าพระภิกษุสงฆ์และคนงานในวัดก็ออกมาล้อมคนทั้งสองกลุ่มไว้ บัดนี้กลายเป็สามฝ่ายประจันหน้า วัดเล็กๆ เต็มไปด้วยผู้คน ถือไม้ถือพลองเข้ามาในวัดด้วยท่าทางฮึกเหิม ไม่เกรงกลัวสิ่งใด บรรยากาศตึงเครียดราวกับทุ่งหญ้าแห้งแล้งยามคิมหันต์ ประมาทเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงชีวิต
……
เฉินปั๋วพึ่งมาถึงก็ต้องเจอกับสถานการณ์วุ่นวายน่าปวดหัว พลันนึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เจรจาให้ยุติความบาดหมางยามที่สอนบทเรียนตระกูลหลิว
หลังส่งคนจากวัดก่วงจี้และอำเภอซานหยางกลับไปแล้ว คนเฝ้าประตูก็มารายงานว่ามีชายนามว่าโหวอิงขอเข้าพบ
“ข้าไม่พบ! แค่นี้ข้ายังยุ่งไม่พออีกหรือ! ทุกวันนี้ข้าพบหน้าใครต่อใครจนเวียนหัวไปหมดแล้ว! กลับไปบอกว่าข้ากลับแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็ผู้ใดข้าก็ไม่พบ!” เฉินปั๋วสะบัดแขนเสื้อสั่งด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว แต่พอคนเฝ้าประตูจะเดินออกไปกลับถูกรั้งไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน!”
เฉินปั๋วรู้สึกคุ้นหูชื่อนี้อย่างไรไม่รู้
เฉินปั๋วรีบเดินออกไปดูด้วยตนเอง บ่าวรับใช้รีบโค้งเตรียมขอโทษยังถูกผลักให้หลีกทาง ทันทีที่พบหน้าผู้มาเยือน เฉินปั๋วคลี่ยิ้มรีบคำนับอีกฝ่าย “ท่านคือโหวตงเลี่ยงจากหนานหยางใช่หรือไม่?”
“ก็แค่นามทั่วๆ ไป ไม่สำคัญพอให้เฉินฝู่จวินจดจำ”
โหวอิงประสานมือคำนับตอบ เฉินปั๋วเห็นอย่างนั้นก็รีบรุดเข้าไปประคองเขาขึ้น “ยี่สิบปีที่แล้วชื่อเสียงของพี่ตงเลี่ยงเป็ที่รู้จักทั่วเมืองหลวง คุณชายผู้ละทิ้งตำแหน่งขุนนางเพื่อคนรู้ใจ ออกพเนจรพร้อมตำราและกระบี่หนึ่งเล่ม ไร้ข่าวคราวมาสิบกว่าปี ท่านคงไม่รู้ว่ามีอีกหลายคนอิจฉาท่านมาก เหตุใดจู่ๆ มาปรากฏตัวที่จวนในเมืองเจียงโจวของข้าได้? นับเป็โชคดีของข้ายิ่งนัก!”
“ฝู่จวินกล่าวเกินไปแล้ว ก็แค่เื่ไร้สาระในวัยหนุ่ม ยามนี้ฝู่จวินเป็ถึงพ่อเมืองของผู้แซ่โหว”
“ว่าอย่างไรนะ? ท่านซ่อนตัวอยู่ที่เมืองเจียงโจวมาตลอดหรือ?”
“ขออภัยที่ลืมแนะนำตัว ตอนนี้ข้าเป็อาจารย์อยู่ที่สำนักศึกษาตระกูลิ ใช้ความรู้แลกอาหาร”
“ท่านว่าอย่างไรนะ?” เฉินปั๋วใแล้วใอีกจนต้องอึ้งไปพักหนึ่ง “มิน่าเล่า งานเลี้ยงที่สวนจื่อหยวนคราวนั้น ข้าส่งเทียบเชิญไป แต่เ้าสำนักศึกษาตระกูลิก็ปฏิเสธ ฮ่าๆ ที่แท้เป็ท่านนี่เอง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
เฉินปั๋วถึงกับหลุดหัวเราะ ความตึงเครียดค่อยๆ หายไป เริ่มพูดคุยผ่อนคลายขึ้น “มีเพียงคนอย่างท่านเท่านั้นที่ทำเื่เช่นนี้ได้ ทิ้งชื่อเสียงเงินทอง ปลีกตัวจากสังคม ใช้ชีวิตสันโดษในป่าเขาลําเนาไพร ท่านผันตัวเป็อาจารย์สอนลูกหลานคนอื่น พอจะมีศิษย์เก่งๆ สักสองสามคนบ้างหรือไม่?”
“เฮ้อ ไม่คู่ควรให้พูดถึง”
“จริงสิ ข้าจำได้ว่ามีเด็กสองคนจากตระกูลิมาร่วมงานเลี้ยง เป็ศิษย์ของท่านใช่หรือไม่?”
“ไยถึงคิดเช่นนั้น? แค่สอนบทเรียนกับฝึกให้คิดวิเคราะห์ ผู้ใดก็สอนได้ เหตุใดถึงคิดว่าข้าเป็คนสอน”
เฉินปั๋วคลี่ยิ้ม “หากเป็คนอื่น ศิษย์อาจประหม่าจนตัวสั่น เหงื่อไหลเหมือนสายฝน เพราะคงไม่มีผู้ใดสอนศิษย์เกี่ยวกับการตัดสินคดีความ ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”
“เป็ข้าที่สอน ฝู่จวินเดาได้ไม่ผิด” โหวอิงยิ้มพลางประสานมือก้มหัวยอมรับ “ยังไม่ถึงขั้นลูกศิษย์ลูกหา เพียงศิษย์ในสำนักศึกษา”
“แล้วท่านมาหาข้ามีเื่อันใดหรือ? รีบบอกมาเถิด ข้าอยากรู้จะแย่แล้ว” หากไม่ใช่คนฉลาด คงไม่สามารถเป็เ้าเมืองได้ เฉินปั๋วย่อมต้องเป็คนฉลาดถึงได้ตำแหน่งนี้ ั้แ่วินาทีแรกที่เขาเห็นโหวอิง เขาก็ััได้ถึงความผิดปกติ
ย้อนกลับไปสิบกว่าปีที่แล้ว โหวอิงเดินทางไปแคว้นเป่ยฉี เขาบังเอิญตกหลุมรักคุณหนูตระกูลซุย ซึ่งเป็ตระกูลใหญ่ในเจียงเป่ย ทว่าชาวฮั่นและชาวหูไม่ถูกกัน คนเหนือใต้ไม่อาจแต่งงานกันได้ ทั้งสองจึงตัดสินใจหนีไปด้วยกัน เปรียบเสมือนประกาศกร้าวว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ใดหากไม่ใช่ท่าน ก็คือยืนหยัดในความรัก กลายเป็เื่ใหญ่ะเืสองราชวงศ์
หลังส่งคนไกล่เกลี่ยหลายครั้งหลายหน ผลสุดท้ายโหวอิงก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งขุนนางหอตำราหลวง พาฮูหยินออกท่องใต้หล้ามาอยู่อย่างสันโดษ คนประเภทนี้นานปีมีหนออกมาพบหน้าผู้คน จู่ๆ มาหาถึงหน้าจวน ไม่มีทางมาเพื่อทักทายเฉยๆ แน่นอน
“ข้ามาที่นี่เพราะเป็ห่วงเื่ของท่าน” โหวอิงยิ้มพลางปฏิเสธผงห้าศิลาที่บ่าวรับใช้กำลังจะใส่ลงในชา
เฉินปั๋วหยุดการเคลื่อนไหว เฝ้ามองการกระทำของโหวอิงพร้อมเก็บรายละเอียด ก่อนจะยกยิ้มสบายๆ “ข้ารู้ว่าพี่ตงเลี่ยงไม่มีธุระไม่มาอุโบสถ [1] ไม่กี่วันมานี้ ผู้คนมากมายถาโถมมาพบข้าด้วยเหตุนี้ อย่าบอกนะว่าท่านเองก็ด้วย?”
“ความจริงข้าเข้าใจความกังวลของฝู่จวิน” โหวอิงยิ้ม “ขอถามฝู่จวิน ยามนี้คือยุครุ่งเรือง ยุคทอง หรือกลียุค”
“พี่ชายระวังคำพูดด้วย!” จู่ๆ ใบหน้าเฉินปั๋วก็เคร่งเครียดพร้อมประสานมือชูขึ้นสูง “ฝ่าาครองราชย์ ขุนนางโปร่งใส ราษฎรเป็สุข ยามนี้ย่อมต้องเป็ยุครุ่งเรือง”
โหวอิงหัวเราะไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่ใบหน้ายังเรียบเฉย “เข้าใจแล้วๆ เหตุใดต้องจริงจังถึงเพียงนี้ ที่นี่มีเราเพียงสองคน ไม่มีผู้ใดได้ยินด้วยหรอก ข้าก็แค่คนบ้านนอก จะไปรู้เื่ในราชสำนักได้อย่างไร แต่หากถามข้า ข้าว่านี่ไม่ใช่ยุครุ่งเรือง”
โหวอิงเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลง “เรียกใต้หล้าในยามนี้ว่ากลียุคก็มิผิด”
---------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไม่มีธุระไม่มาอุโบสถ (无事不登三宝殿) ความหมายเดิมหมายถึง ศาลาในวัดที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม สวดมนต์ ฯลฯ ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาใช้เพื่อบรรยายถึงคนที่จะไม่มาเยี่ยมเยียนเว้นแต่จะมีเื่สำคัญ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้