ซุนเคอไม่ใช่คนดี หากเป็คนดีคงรักษาตำแหน่งหัวหน้ามือปราบไว้ไม่อยู่
หลังจากแน่ใจแล้วว่าปาหลีว์จื่อคือคนที่อยู่เื้ั เขาว่าจะเตือนเจียงหงหย่วนไปด้วยในตัว ยืมมือเจียงหงหย่วนมาฆ่าหรือทำให้ปาหลีว์จื่อพิการ
เขาไม่ได้กลัวมือตัวเองเปื้อนเื แค่ไม่อยากมีปัญหากับทางบ่อนก็เท่านั้น
กล้าปองร้ายเขาเช่นนั้นหรือ
กล้าสวมเขาให้เขา
ซุนเคอแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก
รอก่อนเถิด เขาจะค่อยๆ คิดบัญชี
เพียงพริบตาก็ถึงวันล่าปา[1]
สถานศึกษาหยุดเรียนอย่างเป็ทางการแล้ว หลินหวั่นชิวให้เจียงหงหนิงพาเด็กๆ ที่ช่วยระบายสีมาที่บ้าน เข้าครัวทำโจ๊กล่าปาหม้อใหญ่ด้วยตัวเอง ตุ๋นไส้หมู หูหมู หางหมู จากนั้นผัดไฟแดงด้วยพริกแดงแห้ง
อันที่จริงเนื้อพะโล้ผัดกับพริกเขียวจะอร่อยที่สุด น่าเสียดายที่ฤดูหนาวไม่มีพริกเขียว
หลินหวั่นชิวจึงใช้พริกแดงแห้ง ฮวาเจียวและกระเทียมมาผัดแทน ออกมารสชาติไม่เลวเลย
ไว้ซื้อที่ดินเพิ่ม นางจะสร้างเรือนอุ่นสำหรับเพาะเลี้ยงพืช เชิญคนมาปลูกผักสักสองคน
ในยุคนี้ บ้านที่มีเรือนอุ่นมีแต่ครอบครัวร่ำรวย แต่ส่วนใหญ่ปลูกไว้กินเอง ถึงจะอยากขายอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดซื้อไหว
จะขายให้ภัตตาคารยิ่งเป็ไปไม่ได้ เพราะภัตตาคารมีเรือนเพาะเลี้ยงเป็ของตัวเอง
หลินหวั่นชิวชอบเงิน เพราะเงินสามารถนำพาชีวิตสุขสบายมาให้นาง ด้วยความเร็วในการหาเงินของนางตอนนี้ นางไม่รู้สึกกดดันที่จะสร้างเรืองเพาะพืชแต่อย่างใด
กลิ่นหอมจากห้องครัวลอยอบอวลไปทั่วบ้าน เด็กหนุ่มทั้งหลายพากันน้ำลายไหล
“ข้าไปช่วยงานที่ครัวดีกว่า” คำว่าสุภาพบุรุษอยู่ห่างจากห้องครัวใช้ไม่ได้กับบ้านเจียง พวกเขาเห็นเจียงหงหนิงไปช่วยงานหลินหวั่นชิวที่ครัวอยู่บ่อยๆ บวกกับหลินหวั่นชิวคอยสั่งสอนเป็ประจำ พวกเขาค่อยๆ รู้สึกว่าการได้ทำอาหารให้คนที่รักกินเป็เื่ที่มีความสุขมาก
“ข้าก็จะช่วยด้วย”
“ห้องครัวจุพวกเราได้หมดหรือ อย่าไปเกะกะดีกว่า” ไต้หงเฟยห้ามปราม
เพื่อนทั้งสองนั้นจึงจะยอมนั่งลงตามเดิมอย่างเชื่อฟัง ไต้หงเฟยพูดอีกว่า “เวลาวาดภาพต้องมีสมาธิ หากถูกสิ่งเร้าจากภายนอกรบกวนง่ายเกินไปคงไม่อาจประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้”
เด็กสองคนนั้นตั้งใจฟังมาก พวกเขาสงบจิตใจสักพักและเริ่มระบายสีด้วยความระมัดระวังต่อ
ไม่นาน หลินหวั่นชิว ยาวสวี และเสี่ยวเฉาก็ยกกล่องอาหารหลายใบเข้ามา
วางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ นางพูดกับพวกเขาว่า “พวกเราทำถึงเท่านี้ก่อน พวกเ้านำอาหารพวกนี้กลับบ้านไปแบ่งกับครอบครัว นี่คือซองแดงที่จะให้พวกเ้า ไว้เลยวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งไปแล้ว หากพวกเ้ายินดี จะมาระบายสีที่นี่ต่อก็ได้ หรือหากไม่อยากมาแล้วก็บอกหงหนิงและแนะนำเพื่อนสักคนสองคนให้ข้าก็ได้เช่นกัน”
เด็กหนุ่มทุกคนรับซองแดงและขอบคุณหลินหวั่นชิว ไม่ใช่เื่ง่ายกว่าจะเจอนายจ้างดีเช่นนี้
“ทิ้งหนังสือภาพที่ยังระบายสีไม่เสร็จไว้ที่นี่ ผ่านปีใหม่ไปแล้วค่อยมาทำต่อ ทุกคนลำบากกันมามาก ถึงเวลาต้องพักผ่อนแล้ว” หลินหวั่นชิวพูด
“ขอบคุณเถ้าแก่หลินขอรับ” เด็กหนุ่มทุกคนขอบคุณ แม้พวกเขาจะคิดแต่เื่หาเงินทุกวัน แต่นี่ใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเขาห้าคนต้องลงสนามสอบ่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ้าเวลามาทบทวนบทเรียนเช่นกัน
บรรดาเด็กหนุ่มขอบคุณหลินหวั่นชิวแล้วแยกย้ายกันออกจากบ้านเจียง
เนื่องจากยังเป็เวลากลางวัน หลินหวั่นชิวจึงไม่ได้เรียกรถมาพาไปส่ง
ไต้หงเฟยยังอยู่ต่อ เขามอบกระดาษม้วนหนึ่งให้หลินหวั่นชิวด้วยมือทั้งสอง “ได้ยินหงหนิงบอกว่าพรุ่งนี้ท่านจะขึ้นบ้านใหม่ ข้าจึงวาดภาพบุปผาบานสะพรั่งสื่อความหมายถึงความมั่งมีศรีสุข…วาดได้ไม่ดีนัก หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจอยู่แล้ว!” หลินหวั่นชิวรีบรับ จะรังเกียจได้อย่างไร ภาพที่เด็กคนนี้วาดขายได้ราคาดีมากบนเสียนอวี๋
แต่ว่า…จะนำของขวัญขึ้นบ้านใหม่ไปขายคงไม่ดี มิเช่นนั้นผู้ให้คงเสียใจ
หลินหวั่นชิวจัดโต๊ะทำงานและใช้ผ้าเช็ด วางม้วนภาพลงบนโต๊ะและค่อยๆ กางออก
ไต้หงเฟยเห็นนางทะนุถนอมภาพของเขาขนาดนี้ก็ยิ้มกว้างประหนึ่งดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว
ทั้งอบอุ่น ทั้งเจิดจ้า
ภาพบุปผาบานสะพรั่งเป็ภาพดอกโบตั๋น ดอกโบตั๋นงดงามเพริศพริ้งยิ่งนัก หากฝีมือไม่ดีพอ ภาพนี้จะดูเชยและธรรมดา แม้จะหรูหรา แต่กลับเป็ความหรูหราแบบไร้รสนิยมของพวกเศรษฐีใหม่
แต่ภาพของไต้หงเฟยไม่ได้เป็เช่นนั้น เขาวางสัดส่วนได้ดีมาก แม้จะเป็ภาพบุปผาสีสันแพรวพราว แต่ก้อนหิน ลำธารและองค์ประกอบอื่นๆ ภายในภาพกลับทำให้ภาพนี้ดูมีระดับ
เลือกสีอย่างชาญฉลาดและกล้าหาญ แม้จะฉูดฉาดแต่ไม่ได้รู้สึกเอียน ทิ้งห่างพวกเศรษฐีใหม่ไปสิบซอย มีความสง่างามสูงศักดิ์อย่างแท้จริง
หลินหวั่นชิวถูกใจั้แ่แวบแรก
“ข้าชอบมาก!” นางกล่าว “ขอบใจเ้านะ!”
“ไม่เป็ไรขอรับ ข้าไม่มีของขวัญมีค่ากระไรจะมอบ” ไต้หงเฟยพูดอย่างอายๆ
“เดิมทีข้าก็อยากเชิญพวกเ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้าน แต่พรุ่งนี้คนเยอะและวุ่นวาย ข้าจึงคิดว่าไว้เลยปีใหม่แล้วค่อยเชิญพวกเ้ามา” หลินหวั่นชิวพูดกับไต้หงเฟย อีกฝ่ายอุตส่าห์มอบของขวัญ ไม่อธิบายคงไม่ได้
พรุ่งนี้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่บ้านหลังใหม่ในหมู่บ้านเค่าซาน น่าจะวุ่นวายจนเด็กๆ ใกลัว
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ขออวยพรให้ท่านมีความสุขกันวันปีใหม่ล่วงหน้า!” ไต้หงเฟยบอกลา หลินหวั่นชิวไม่ทันเห็นว่าหูเขาแดงระเรื่อ
“ได้ เ้ารีบกลับเถิด ถ้าโจ๊กล่าปาเย็นแล้วก็อุ่นนะ” หลินหวั่นชิวเดินออกไปส่งไต้หงเฟยแล้วกลับเข้าครัว
เที่ยงนี้เจียงหงหย่วนไม่ได้กลับมา นางทานข้าวกับเจียงหงหนิง แบ่งโจ๊กล่าปากับเนื้อตุ๋นออกมาส่วนหนึ่ง ให้ยายสวีนำไปส่งให้เจียงหงป๋อที่บ้านหมอฉู่
หลังทานข้าวเสร็จ หลินหวั่นชิวกลับห้องไปเก็บข้าวของ ขนเสื้อผ้ากลับไปด้วยเกินครึ่ง เพราะั้แ่วันพรุ่งเป็ต้นไปต้องอยู่ในหมู่บ้านแล้ว คงไม่ค่อยได้มาอำเภอบ่อยๆ
ส่วนหน้าร้าน ตราบใดที่มีสินค้าเพียงพอย่อมไม่มีปัญหา ตอนนี้เด็กสาวทั้งสองทำงานได้ดีมาก ฝากให้เจียงหงหย่วนช่วยนำยอดซื้อขายสินค้ากลับมาให้ทุกวันเป็พอ
หงหนิงไม่ต้องเก็บของ เขาเรียนหนังสือ จำเป็ต้องอยู่ในอำเภอ
กระทั่งเมื่อนางเก็บของใกล้เสร็จ เจียงหงหย่วนจึงกลับมา ทั้งครอบครัวขึ้นรถล่อเดินทางสู่หมู่บ้าน
“คืนนี้พวกเรานอนบ้านกุ้ยเซียงหรือบ้านตัวเอง” หลินหวั่นชิวถามระหว่างเดินทาง นางไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมที่นี่ ไม่รู้ว่าย้ายเข้าบ้านก่อนขึ้นบ้านใหม่ได้หรือไม่
เจียงหงหย่วนตอบ “บ้านตัวเอง แค่ไม่ใช้ห้องหลักเป็พอ ไปกินข้าวที่บ้านฟู่กุ้ยก่อน เมื่อวานข้าบอกพวกเขาไว้แล้ว”
“ได้!” หลินหวั่นชิวขานรับ
เชิงอรรถ
[1] วันล่าปา(腊八) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ในสมัยดึกดำบรรพ์ คำว่า “腊” (ล่า) เป็ชื่อของพิธีกรรมเซ่นไหว้ ซึ่งพัฒนามาจากคำว่า“猎” (เลี่ย) หมายถึงการล่าสัตว์ เพราะ่ท้ายปีพืชผลถูกเก็บเกี่ยวตากแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้คนจึงเข้าป่าล่าสัตว์สำหรับบูชาบรรพบุรุษและเทพเ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับเป็สิริมงคล จึงเรียกว่า“腊祭” (ล่า จี้) หมายถึงพิธีเซ่นไหว้ด้วยสัตว์ที่ล่ามาได้ ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ ขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสองตามจันทรคติของจีนถูกกำหนดให้เป็ “腊八节” (เทศกาลล่าปาเจี๋ย)อย่างเป็ทางการ ในสายตาของประชาชนทั่วไป เทศกาลล่าปาเจี๋ยเป็เหมือนการโหมโรงสำหรับการขึ้นปีใหม่ เมื่อถึงเทศกาลล่าปาเจี๋ย ผู้คนจะเริ่มเลือกซื้อสินค้าสำหรับปีใหม่ชนิดต่างๆ เก็บกวาดตบแต่งบ้านเรือน ทุกๆบ้านต้องทำ“腊八粥” (ล่าปาโจว หรือ โจ๊กสำหรับวันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสอง) ซึ่งมีส่วนผสมหลากหลายชนิด เช่น ข้าวขาว ข้าวเหนียวดำ ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง เม็ดบัว พุทราจีน เนื้อลำไยแห้ง มันเทศและเก๋ากี้ เป็ต้น หลังจากที่โจ๊กปรุงสุก ต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษก่อน หลังจากนั้นจะแบ่งให้ญาติมิตร และสุดท้ายทั้งครอบครัวจะรับประทานล่าปาโจวที่เอร็ดอร่อยด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน