อยู่เผิงเฉิง!
เผิงเฉิงเป็อีกแหล่งหนึ่งของการค้าของเถื่อน ดังนั้นโจวเฉิงจะอยู่เผิงเฉิงก็ไม่ใช่เื่แปลก
เซี่ยเสี่ยวหลานคันยุบยิบอยู่ในใจ พอรู้ข่าวของโจวเฉิงเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาขนนกมาลากผ่านหัวใจเธอ แม้จะรู้ว่าโจวเฉิงมีภารกิจที่ต้องทำ และคงไม่ได้เดินไปไหนมาไหนตามท้องถนนของเผิงเฉิง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยังมีความหวัง ถ้าเธอบังเอิญเจอโจวเฉิงขึ้นมาล่ะ
“คุณน้า ปิดเทอมฤดูหนาวฉันอยากไปเผิงเฉิงค่ะ”
กวนฮุ่ยเอ๋อส่งเสียงอืมตอบรับเบาๆ
ทำไมเธอต้องคัดค้านไม่ให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปเสี่ยงดวงด้วยเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะโจวกั๋วปินห้ามไว้ กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็คงไปเสี่ยงดวงแล้วเช่นกัน แน่นอนว่าเธอย่อมคิดถึงลูกชาย เป็ข้าราชการทหารแล้วอย่างไร โจวเฉิงเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น จู่ๆ ก็ถูกแยกตัวออกไปสอบสวน กวนฮุ่ยเอ๋อกลัวเหลือเกินว่าลูกชายจะรู้สึกไม่ยุติธรรม
“เธอจะไปวันไหนเล่า ก่อนไปมากินข้าวที่บ้านสักมื้อสิ คุณปู่บอกว่าให้ไปหาที่บ้านของท่าน”
เื่นี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงตกรับปากทันที “วันไหนก็ได้ค่ะ ถ้าให้ดีเอาเป็วันที่คุณปู่กับคุณย่าท่านสะดวกแล้วกันค่ะ”
สองผู้าุโของตระกูลโจวไม่ต้องทำงาน ชีวิตของวัยเกษียณมีวันไหนที่ไม่ว่างบ้าง?
แต่ถึงแม้คุณปู่โจวจะไม่ทำงาน แต่ก็ใช่ว่าใครอยากเจอก็สามารถเจอได้ ต่อให้เป็ข้าราชการระดับหัวหน้า ถ้าอยากมาเยี่ยมคุณปู่โจวยังต้องดูอารมณ์ของท่านก่อนด้วยซ้ำ
ต่อให้เป็คนตระกูลโจวก็ใช่ว่าจะไปรบกวนได้ทุกวัน เพราะหลังเกษียณแล้วท่าน้าใช้ชีวิตอย่างสงบ
เซี่ยเสี่ยวหลานมีมารยาทและรอบคอบ แต่กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก นี่ยังไม่เห็นตัวเองเป็คนของตระกูลโจวสินะถึงได้เกรงใจกันถึงขนาดนี้... แต่ก็ใช่ ยังไม่ทันคุยเื่แต่งงานกับโจวเฉิง อีกทั้งพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เคยเจอกัน เด็กผู้หญิงก็สมควรที่จะสงวนท่าที
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เพียงต้องไปกินข้าวที่บ้านโจว ทว่าเธอยังมีธุระอื่นที่ต้องทำในปักกิ่ง ตอนนี้เธอสามารถคว้าชัยในการแข่งขันภาษาอังกฤษมาได้ สอบปลายภาคก็เสร็จสิ้นแล้ว ถึงเวลาที่เธอควรไปดูหน้าร้านทั้งสองสาขาของตัวเองสักที
อ้อ ถ้านับร้าน ‘Luna’ ด้วยก็จะเป็สามร้าน
ถึงอย่างไร ‘Luna’ ก็อยู่ที่ซีตัน ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่จำเป็ต้องเดินทางไปหลายที่ ทุกคนที่หอพักกำลังเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน สำหรับนักศึกษาจากต่างเมือง การได้กลับบ้านในรอบครึ่งปีถือเป็เื่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันการกลับบ้านสักครั้งเป็เื่ที่ยากยิ่งนัก เพราะคงไม่อาจหยิบมือถือขึ้นมาซื้อตั๋วรถไฟ แม้แต่เพจเจอร์ตอนนี้ก็ยังไม่แพร่หลาย นับประสาอะไรกับโทรศัพท์มือถือ
ไม่เกี่ยวกับว่ามีเงินหรือไม่ จะเรียนอยู่หัวชิงหรือว่าวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งทุกคนล้วนต้องไปแย่งซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟทั้งสิ้น แบกกระเป๋าน้อยใหญ่ขึ้นรถ ไม่ต่างอะไรกับแรงงานที่ออกจากบ้านมาหางานทำในต่างเมือง
“น้องหก เธอซื้อตั๋วได้หรือยัง”
หยางหย่งหงเดินเข้าห้องมาพร้อมกับตั๋วรถไฟในมือ
“อีกสองวันฉันค่อยกลับ พี่ใหญ่ซื้อตั๋วได้แล้วหรือ”
ตอนนี้หยางหย่งหงรู้สึกดีใจมาก “ใช่น่ะสิ ถ้ารู้ก่อนว่าจะโชคดีแบบนี้ ฉันคงแบกสัมภาระไปด้วยแล้ว ไม่คุยแล้วๆ ตั๋วรถเป็ของรอบบ่าย ฉันต้องรีบไปที่สถานีรถไฟแล้ว”
หยางหย่งหงสวมกอดเซี่ยเสี่ยวหลาน ข้อมือของเธอมีพลัง โครงสร้างร่างกายแข็งแกร่ง ทำเอาเซี่ยเสี่ยวหลานหายใจแทบไม่ออก หลังกอดเซี่ยเสี่ยวหลานเสร็จ หยางหย่งหงก็หิ้วกระเป๋าหนังงูใบใหญ่สองใบวิ่งลงชั้นล่างทันที
“พี่ใหญ่ นั่งรถไปนะ อย่าประหยัดเงินจนเดินไปล่ะ ระวังจะพลาดรถไฟ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานะโเสียงดัง หยางหย่งหงโบกมือให้พร้อมกับวิ่งไปตามทาง กระเป๋าหนังงูที่อยู่ในมือเธอเหมือนไร้น้ำหนัก เซี่ยเสี่ยวหลานมองแล้วยิ้มขำกับตัวเอง
ซูจิ้งกับลฺหวี่เยี่ยนเป็คนปักกิ่ง หลังทั้งสองคนเก็บของเสร็จก็กลับบ้านได้ทันที
คนอื่นทยอยซื้อตั๋วรถไฟได้กันหมดแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนสุดท้ายที่ออกจากหอพัก ตอนล็อคประตูห้องเธอเพิ่งรู้ตัวว่า ภาคเรียนที่หนึ่งของปีการศึกษานี้ได้จบลงแล้ว
ครึ่งปีมานี้ได้อะไรมาบ้าง?
รางวัลต่างๆ เหมือนจะเป็เื่รอง ที่สำคัญคือเซี่ยเสี่ยวหลานได้เพื่อนร่วมหอที่น่ารักมาหลายคน!
ทางด้านหลิวหย่งทำการตกแต่งภายในอย่างเอาใจใส่ หลังเซี่ยเสี่ยวหลานถือถ้วยรางวัลไปหาเขา หลิวหย่งก็ลูบแล้วลูบอีก
“ดี ดีจริงๆ! มาดูนี่สิ หลานสาวฉันเก่งใช่ไหมเล่า? แข่งภาษาต่างชาติกับนักศึกษาทั้งประเทศ เธอได้ที่หนึ่งด้วยนะ!”
หลิวหย่งไม่เคยโอ้อวดว่าตนมีเงินเท่าไร ไม่เคยโอ้อวดว่าตนรู้จักคนใหญ่คนโตที่ไหน ทว่าเขากลับพูดถึงหลานสาวทั้งวัน คนงานทั้งใหม่และเก่า ไม่ว่าใครก็รู้ว่าหลานสาวของเถ้าแก่หลิวเป็นักศึกษาของหัวชิง... มีลูกหลานแบบนี้อยู่ในครอบครัวย่อมอดที่จะโอ้อวดไม่ได้อย่างแน่นอน
หลิวหย่งถือถ้วยรางวัลพลางคิดในใจ พวกคนไม่เอาไหนที่บ้านเซี่ย ถ้ารู้ว่าเสี่ยวหลานจะได้ไปต่างประเทศคงไม่อกแตกตายเลยหรือไรกัน?
ยังมีไอ้คนหน้าไม่อายอย่างเซี่ยต้าจวินด้วย ถึงกับบอกให้คุณชายตระกูลตู้มาหาเสี่ยวหลาน หลิวหย่งคิดแล้วก็กัดฟันกรอด เซี่ยต้าจวินรวยแล้วจะลืมพี่น้องตัวเองได้อย่างไร หลิวหย่งตัดสินใจแล้วว่าเขาจะช่วยบอกเื่ของเซี่ยต้าจวินกับคนตระกูลเซี่ยให้เอง
หาตัวเซี่ยต้าจวินไม่เจอเช่นนั้นก็ไปหาคุณชายใหญ่ตู้ที่เผิงเฉิงสิ
โครงการที่เผิงเฉิงของเครือเชิงหรงเพิ่งเริ่มต้นขึ้น คุณชายใหญ่ตู้คงไม่มีทางไปไหนได้ง่ายๆ
ส่วนที่ว่าคนตระกูลเซี่ยจะได้เจอกับคุณชายใหญ่ตู้หรือเปล่านั้น หลิวหย่งไม่สนใจ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าคุณลุงของตนกำลังคิดทำอะไร เธอเพียงเดินดูรอบๆ ร้านเท่านั้น
“ลุงคะ ก่อนปีใหม่ร้านจะตกแต่งเสร็จหรือเปล่า”
หลิวหย่งวางถ้วยรางวัลอย่างอาลัยอาวรณ์ “จะไม่เสร็จได้อย่างไร ลุงคุยกับพวกช่างแล้ว พวกเราจะทำงานล่วงเวลาจนถึงปลายเดือนสิบสองของปฏิทินจีน จากนั้นลุงจะให้โบนัสกับทุกคน และอนุญาตให้กลับบ้านไปฉลองตรุษจีนได้!”
เซี่ยเสี่ยวหลานดูก็รู้ว่าตอนนี้งานใกล้เสร็จสิ้นแล้ว
ระยะเวลาสั้นแค่นี้ เห็นได้ชัดว่าหลิวหย่งคงเร่งงานอยู่ตลอด
ให้เงินกับคนงานมากเท่าไรก็คงไม่มีทางได้งานเช่นนี้ มีแต่คุณลุงของเธอเท่านั้นที่เอาใจใส่ขนาดนี้
“ฉันยังไม่กลับซางตูนะ ต้องไปเผิงเฉิงก่อน แล้วจะกลับบ้านก่อนตรุษจีนค่ะ”
“หลานจะไปดูกิจการที่ร้านวัสดุหรือ”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าตอบรับ ภารกิจของโจวเฉิงเป็ความลับ เื่นี้ไม่ต้องให้กวนฮุ่ยเอ๋อกำชับเธอก็รู้ว่าไม่ควรพูดให้ใครฟัง
“อย่างนั้นไปเถิด ที่นี่มีลุงช่วยดูให้แล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน”
มีนักศึกษาคนไหนลำบากแบบเซี่ยเสี่ยวหลานบ้างเล่า ปิดเทอมทั้งทียังต้องคอยเป็ห่วงเื่ธุรกิจ หลิวหย่งสามารถช่วยอะไรได้ก็ยินดีช่วยทั้งนั้น
“ลุงก็อย่าเหนื่อยเกินไปนะคะ ถ้างานทางนี้เสร็จไม่ทันก่อนตรุษจีน หลังตรุษจีนค่อยทำต่อก็ได้ ฉันไม่รีบเปิดร้านหรอก”
หลิวหย่งรับคำอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด ที่ปักกิ่งอากาศหนาวไว หาก้าเปิดร้านให้ทันขายชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิ เดือนมีนาคมก็ควรที่จะเปิดร้านได้แล้ว การตกแต่งร้านจะเลื่อนไปหลังตรุษจีนได้เสียที่ไหน หลังตกแต่งเสร็จแล้วยังต้องรอให้กลิ่นสีหายไปอีกระยะหนึ่งอีกด้วยน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานดูร้านเสร็จแล้วถึงได้เดินทางไปกินข้าวที่บ้านโจวอย่างสบายใจ
บ้านพักของสองผู้าุโตระกูลโจว ชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานเคยเห็นจากเว็บบอร์ดอินเทอร์เน็ต นึกไม่ถึงเลยว่าการเกิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้เธอได้เข้ามาในสถานที่แบบนี้ แม้ครั้งก่อนเธอจะเคยมากับโจวเฉิงแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เธอมาที่นี่ด้วยตนเองเพียงลำพัง
พอเห็นโจวอี๋ เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้ทันทีว่าอาหารมื้อนี้คงอยู่กันพร้อมหน้าทั้งบ้านโจว ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากคุณปู่โจว พวกโจวอี๋และคนอื่นๆ มีหรือที่จะโผล่มาในเวลาแบบนี้ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นนิ่งมาก เธอทักทายโจวอี๋ด้วยสีหน้าสบายๆ ราวกับลืมเื่ที่เคยบาดหมางกับโจวอี๋ไปหมดสิ้น
โจวอี๋ไม่เข้าใจ เซี่ยเสี่ยวหลานใจกว้างหรือเล่นละครเก่งกันแน่?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ใจกว้างหรือเล่นละครตบตา เธอแค่มั่นใจมากขึ้นทุกวัน สังเกตได้จากการยอมรับจากคุณปู่โจว ท่าทีของกวนฮุ่ยเอ๋อที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถเผชิญหน้ากับคนตระกูลโจวได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น
โจวอี๋คิดอย่างไร มันไม่สำคัญั้แ่แรกอยู่แล้ว!
—--------------------------------------------------
หวังเจี้ยนหัวสอบปลายภาคเสร็จแล้ว ทว่าสิ่งที่เห็นหลังกลับมาบ้านก็คือหวังก่วงผิงที่นั่งดื่มเหล้าเมามายกับหร่านซูอวี้ที่ตาบวมแดง
“เจี้ยนหัว พ่อของลูกถูกสั่งย้ายไปอยู่สำนักประวัติศาสตร์พรรค...”
หากบอกว่าไม่ใช่ฝีมือของคนตระกูลโจวใครจะไปเชื่อกัน?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เป็ไรแม้แต่ปลายเล็บ แต่ตระกูลโจวโหดร้ายเหลือเกิน รังแกกันเกินไปแล้ว!
หร่านซูอวี้คิดถึง่เวลาแปดปีที่ลำบากตรากตรำอยู่ในไร่ เธอร้องไห้โฮสุดเสียงอย่างปวดใจอีกครั้งต่อหน้าลูกชาย
หวังเจี้ยนหัวยืนนิ่งเป็ท่อนไม้
สถานที่อย่างสำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์... พ่อของเขายังมีอนาคตได้อีกหรือ!