ซย่านีมีความสุขเป็อย่างยิ่งที่ได้เช่าบ้านที่ตนพอใจ ระหว่างทางกลับบ้านเพื่อเป็การขอบคุณเฝิงหย่งเธอจึงกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ฉันขอเชิญพี่เฝิงหย่งกับพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยไปกินเป็ดย่างได้ไหมคะ?”
“ไม่ต้องหรอกๆ” เฝิงหย่งยิ้มกล่าว “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน รอเธอย้ายบ้านเรียบร้อยแล้วฉันกับเซี่ยงเหมยค่อยไปขึ้นบ้านใหม่ของเธอดีกว่า”
“เื่นั้นมันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ” ซย่านีกล่าวต่อ “แต่ว่าอย่างไร ฉันก็อยากเลี้ยงเป็ดย่างนะ...พี่เฝิงหย่ง พี่ก็อย่าปฏิเสธอีกเลย เขาว่ากันว่าเป็ดย่างที่กรุงปักกิ่งน่ะอร่อยมากเลย ฉันมาที่นี่ตั้งหลายปีแล้วกลับไม่เคยได้กินสักครั้ง ครั้งนี้ฉันมีเงินในมือก็เลยอยากพาพวกเด็กๆ ไปลิ้มลองอาหารใหม่ๆ บ้าง! ถึงตอนนั้นหากพี่กับพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยมาด้วยกัน เราคนเยอะขึ้นจะต้องอบอุ่นคึกคักกันแน่ๆ”
ซย่านีพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เฝิงหย่งเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปจึงได้แต่ตบปากรับคำ
......
่หลายวันมานี้หลี่เสวี่ยหรูมีชีวิตไม่ง่ายเลย แม้ว่าเธอจะสลัดจางหวาเฟิงที่คอยตามพัวพันทิ้งไปได้แต่หลี่กั๋วกังก็ถูกจางหวาเฟิงจัดการอย่างร้ายกาจ ผู้เป็บิดาจึงทำได้เพียงระบายโทสะใส่หลี่เสวี่ยหรูเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ถูกหลี่กั๋วกังดุด่าไปเสียหมด
ในทางกลับกันหลี่เสวี่ยหรูเอง ก็ไม่รู้ว่าใครเป็ตัวต้นเื่ที่แพร่กระจายข่าวเกี่ยวกับจางหวาเฟิงที่เข้ามาทำงานในโรงงานเครื่องจักร มีคนมากมายพากันหัวเราะเยาะเธอบอกว่าเธอรังเกียจความจนและรักความสบายจนทอดทิ้งคนรักเก่าจากชนบท ผลสุดท้ายก็ทำให้หนุ่มคนรักเก่าผู้นี้ยอมกลับใจแล้วหาลู่ทางเข้ามาในโรงงานเครื่องจักรแห่งนี้จนได้แถมยังมีคำกล่าวอีกว่า ‘อย่าได้รังแกคนหนุ่มสาวที่ยากจน’ [1]
เธออยากจะพ่นคำด่าสักฉอดจริงๆ หากมิใช่เพราะบิดาของเธอ คนกะล่อนอย่างจางหวาเฟิงมันจะไปมีปัญญาเข้ามาทำงานในโรงงานเครื่องจักรได้อย่างไร?! แต่หลี่เสวี่ยหรูไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ เธอทำได้เพียงอธิบายกับคนอื่นว่าเธอไม่ได้มีคนรักเก่าและบอกว่าจางหวาเฟิงผู้นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยสักนิด แม้คนอื่นๆ ปากจะบอกว่าเชื่อแต่ในใจก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
บังเอิญว่าวันนี้เป็วันอาทิตย์พอดี หลี่เสวี่ยหรูจึงนัดกับซ่งเหม่ยอวิ๋นให้ออกมาเจอกันเพราะอยากผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย คนทั้งสองเดินจูงมือกันไปได้ไม่ไกลนัก จู่ๆ หลี่เสวี่ยหรูก็เห็นเงาร่างที่ดูคุ้นตาคนหนึ่ง เธอดึงซ่งเหม่ยอวิ๋นเข้ามาใกล้แล้วชี้ไปทางด้านหนึ่ง “เอ๊ะ เธอดูสิ นั่นใช่พี่สะใภ้รองของเธอหรือเปล่า?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นมองไปตามทิศทางที่หลี่เสวี่ยหรูชี้บอก “ใช่ นั่นหล่อนนี่นา เป็ซย่านีจริงๆ ด้วย”
หลี่เสวี่ยหรูถามขึ้น “เธอกับผู้ชายที่อยู่ข้างๆ มาด้วยกันหรือเปล่านะ?”
ผู้คนเดินไปมากันขวักไขว่อยู่บนถนน ซ่งเหม่ยอวิ๋นเอียงคอแล้วมองผ่านฝูงชนจากที่ไกลๆ “อืม ดูเหมือนจะใช่นะ”
“คนนั้นเป็ใครกัน? ไฉนจึงดูเหมือนเฝิงหย่งเล่า?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นหรี่ตาลงบังเอิญว่าเฝิงหย่งกำลังเอียงหน้าคุยกับซย่านีอยู่พอดี ทำให้ซ่งเหม่ยอวิ๋นมองเห็นได้อย่างชัดเจน “ไม่ผิดแน่ เป็เฝิงหย่งจริงๆ ”
หลี่เสวี่ยหรูพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ทำไมพวกเขาสองคนถึงมาเดินด้วยกันเล่า?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมากนัก เธอจึงพูดแบบสบายๆ ว่า “จู่ๆ ก็บังเอิญเจอกันบนท้องถนนล่ะมั้ง? ่นี้ซย่านีสนิทกับเซี่ยงเหมยมากๆ หล่อนไปบ้านเซี่ยงเหมยเป็ประจำบางทีหล่อนอาจจะคุ้นเคยกับเฝิงหย่งด้วยล่ะมั้ง?”
หลี่เสวี่ยหรูเป็คนที่ความรู้สึกไวมาก เธอถามต่อ “่นี้ซย่านีไปบ้านเซี่ยงเหมยบ่อยเลยหรือ?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นแสยะยิ้มมุมปาก “ใช่ หล่อนไม่ได้ไปแค่คนเดียวนะ ยังหอบลูกหอบเต้าไปด้วย ทั้งเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ หยางหยางและซิงซิงก็ถูกหล่อนกระเตงไปด้วยกันสี่คนแม่ลูก หล่อนไม่ได้กินข้าวที่บ้านเลยด้วยซ้ำทุกวันๆ เธออยู่จนดึกดื่นถึงค่อยกลับบ้าน ทำราวกับว่าบ้านเซี่ยงเหมยเป็ครอบครัวของเธออย่างไรอย่างนั้น”
หลี่เสวี่ยหรูขมวดคิ้วเบาๆ พลางถามต่อ “ก่อนหน้านี้ ซย่านีกับเซี่ยงเหมยไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อนใช่ไหม?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นหยิบเมล็ดแตงโมกำหนึ่งออกมาจากถุง เธอพูดไปพลางแทะเมล็ดแตงโมไปพลาง “ไม่นะ แต่ก่อนซย่านีอยู่ทำงานที่บ้านตลอดทั้งวัน น้อยครั้งมากที่หล่อนจะออกจากบ้าน หล่อนไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเพื่อนบ้านหลังไหนเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้หล่อนก็เหมือนกับโดนอะไรเข้าสิงเสีย งานการในบ้านก็ไม่ยอมทำนอกจากเข้านอนในยามกลางคืนแล้วหล่อนก็แทบจะไม่อยู่บ้านเลย ไม่รู้ว่าไปทำอะไรที่บ้านเซี่ยงเหมยนักหนา”
[1] อย่าได้รังแกคนหนุ่มสาวที่ยากจน 莫欺少年穷 เป็สุภาษิต มีความหมายว่า อย่าดูถูกคนหนุ่มสาวที่ยากจนเพราะคนเหล่านี้มีอนาคตไร้ขีดจำกัด ความอ่อนเยาว์ก็คือต้นทุน ขอเพียงทำงานหนักไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องประสบความสำเร็จได้สักวัน
