วันถัดมา คนทั้งหมดก็เดินทางไปยังที่นา
ที่นาหนึ่งร้อยห้าสิบหมู่ในเขตหมู่บ้านชานเมืองทางตอนเหนือแห่งนี้ แม้จะไม่นับว่าใหญ่อะไรนักแต่ก็ถือได้ว่าไม่เล็กเลยทีเดียว หลี่ลั่วพาลุงฟู่เดินดูรอบหนึ่ง ที่จริงหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้กับหมู่บ้านฟู่ยิ่งนัก ดังนั้นหากทำงานที่หมู่บ้าน ลุงฟู่ย่อมต้องยินดีเป็อย่างยิ่ง
“เป็อย่างไรบ้าง? ท่านลุงฟู่มีความคิดเห็นอันใดหรือไม่?” หลี่ลั่วเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เดินดูครบรอบหนึ่ง
“ที่นานี้เดิมเป็นาข้าว ดังนั้นดินที่นี่จึงเหมาะสมเป็อย่างยิ่งที่จะนำมาปลูกอ้อยและเฉ่าเหมย มิสู้ฤดูใบไม้ผลิปลูกพืชจำพวกอ้อยกับเฉ่าเหมย ฤดูร้อนปลูกองุ่นกับแตงโม ส่วนฤดูใบไม้ร่วงควรจะปลูก...”
“ข้าจำได้ว่าองุ่นสามารถปลูกได้จนถึงฤดูใบไม้ร่วง” หลี่ลั่วพลันนึกขึ้นได้
“นั่นเป็องุ่นที่ต่างชนิดและสายพันธุ์กันขอรับ” ลุงฟู่ตอบ “มีองุ่นชนิดหนึ่งมันจะสุกราวๆ เดือนหก อีกชนิดหนึ่งจะสุกในเดือนเก้า”
“เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด ท่านจัดแบ่งที่ออกมาห้าสิบหมู่สำหรับนำมาปลูกองุ่นโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็เดือนหกหรือเดือนเก้าก็ปลูกให้หมด จากนั้นแบ่งออกมาอีกห้าสิบหมู่สำหรับปลูกอ้อย รอให้เก็บเกี่ยวอ้อยแล้วเสร็จ ที่นาห้าสิบหมู่นี้ก็นำมาปลูกเฉ่าเหมยและแตงโม”
ลุงฟู่ฟังแล้ว รู้สึกว่าคำพูดของหลี่ลั่วมีเหตุผลยิ่งนัก แต่ว่า “ที่นาสำหรับปลูกอ้อยห้าสิบหมู่ มากเกินไปหรือไม่ขอรับ?”
“ข้ามีจุดประสงค์ของข้า” หลี่ลั่วตอบ น้ำตาลในยุคสมัยนี้แพงยิ่งนักเพราะคนยังไม่คุ้นเคยกับกรรมวิธีการผลิตน้ำตาล และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าสามารถนำอ้อยมาผลิตเป็น้ำตาลได้ ดังนั้นหลี่ลั่วจึงพลันคิดถึงวิธีนี้ขึ้นมา
“ขอรับ” ลุงฟู่เพียงตั้งใจทำงาน ไม่สามารถไปสงสัยแคลงใจเ้านายได้ ต่อให้เ้านายท่านนี้จะมีอายุเพียงห้าขวบก็ตาม
“เมื่อเป็เช่นนี้ ก็ยังมีที่นาเหลืออีกห้าสิบหมู่” หลี่ลั่วคิดใคร่ครวญ “ที่นาที่เหลืออีกห้าสิบหมู่ปลูกเถาจื่อกับหลี[1]ก็แล้วกัน”
“ขอรับ” ลุงฟู่รับคำอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นพื้นที่ในหมู่บ้านเราแยกออกมาส่วนหนึ่งสำหรับปลูกอิงเถาดีหรือไม่ขอรับ?”
“อืม เื่พวกนี้ก็ยกให้ท่านจัดการแล้ว ต้นไม้และพืชพันธุ์ท่านไปหาซื้อมา เงินไปเบิกกับหยวนโม่”
“ขอรับ โหวเหฺยโปรดวางใจ”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ลั่วก็นำคนทั้งหมดกลับจวนโหว ทว่าเมื่อเช้าตื่นเช้ามาก หลี่ลั่วจึงนอนหลับบนรถม้าไปงีบหนึ่ง รถม้ามาถึงเมืองหลวงในเวลาใกล้เที่ยง หลี่ลั่วพาหลี่จงิไปจวนฉีอ๋องก่อน
ณ จวนฉีอ๋อง
ประตูใหญ่ของจวนฉีอ๋องน่าเกรงขามยิ่งนัก ทั้งสง่างามและหรูหรา ประตูใหญ่มีทั้งหมดหกบานด้วยกัน ประตูสี่บานเรียงติดกันด้านหน้า ด้านข้างมีสองบาน แม้ประตูจะปิดไว้ แต่หน้าประตูใหญ่มีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่สองแถว แถวละสามนาย มีองครักษ์ทั้งหมดหกนายด้วยกัน
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนฉีอ๋อง หลี่จงิก็พลิกตัวลงจากหลังม้ามายังเบื้องหน้าองครักษ์ “ข้าเป็ราชองครักษ์ขั้นห้าข้างกายจงหย่งโหว ท่านโหวของข้า้าพบท่านอ๋อง”
“ใต้เท้ากรุณารอสักครู่” องครักษ์เดินเข้าไปจากประตูข้าง
ณ เรือนซิงเฉิน
กู้จวิ้นเฉินกำลังอ่านหนังสือ บนร่างสวมอาภรณ์สีขาว เส้นผมยาวสีดำขลับถูกปล่อยลงมาคลุมประไหล่ เมื่อได้ยินพ่อบ้านรายงานเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ใบหน้าที่งดงามนั้นยังไม่เป็ผู้ใหญ่เท่าใดนัก เค้าโครงรูปหน้าด้านข้างเริ่มขยายออกมาบ้างแล้ว เขาเอนกายลงพิงกับเก้าอี้ ดวงตาทั้งคู่ฉายแววล้ำลึก มีท่าทีโอบอ้อมอารี
อาจจะเป็เพราะเกี่ยวกับโอสถที่ใช้ ร่างกายจึงค่อนข้างหนาวเย็น ดังนั้นแม้กระทั่งสายตาที่ใช้มองผู้คนก็ยังมีความเ็าอยู่บ้าง
“จงหย่งโหวหรือ?” กู้จวิ้นเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นบางๆ “เชิญ...ให้คนไปเตรียมของว่างหลากหลายชนิดสักหน่อย” มาขอความช่วยเหลือจากเขาเพราะเื่ที่เกิดขึ้นในจวนใช่หรือไม่? เื่ของจวนจงหย่งโหวนั้นเขาได้ยินจากปากหลี่ต้านแล้ว ที่จริงจวนจงหย่งโหวเองนั้นไม่ได้วุ่นวายอะไร ตำแหน่งโหวเหฺยของหลี่ลั่วนั้นไม่มีผู้ใดทำให้สั่นคลอนได้ แต่บรรดาเครือญาติเ่าั้ชั่วร้ายเกินไป
“พ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านถอยออกไปแล้วรีบไปสั่งการ องครักษ์กลับไปแจ้งที่ประตูใหญ่ “ใต้เท้าท่านนี้ ท่านอ๋องเรียนเชิญท่านโหวเข้าไปพบได้ขอรับ ต้องขออภัยใต้เท้าท่านนี้และท่านโหวด้วย ประตูใหญ่ของจวนอ๋องหากไม่มีเื่สำคัญจะไม่เปิดใช้ง่ายๆ ท่านอ๋องของพวกเราในยามปกติเข้าออกก็ใช้ประตูด้านข้างนี้เช่นกันขอรับ”
ตำแหน่งของประตูข้างก็ถือว่าเป็ส่วนหนึ่งของประตูใหญ่ เพียงแต่อยู่ข้างประตูใหญ่ซึ่งมีเสากั้นแยกเอาไว้มาเชื่อมต่อกันอีกทีก็เท่านั้น
“ไม่เป็ไร” หลี่ลั่วเลิกผ้าม่านขึ้นจากในรถม้า หลี่ฉางเฉิงอุ้มเขาลงจากรถม้า
ที่แท้ก็เป็เด็กชายตัวน้อยผู้หนึ่ง องครักษ์ของจวนอ๋องรู้สึกคาดไม่ถึง
“ฉางเฉิงอยู่รอที่หน้าประตูใหญ่ ท่านอาหลี่เข้าไปกับข้า”
“ขอรับ”
การก่อสร้างอาคารของจวนชินอ๋องและจวนโหวนั้นไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ลำดับชั้นไม่เหมือน รูปแบบย่อมไม่เหมือน หลังจากเข้ามาทางประตูข้างแล้วก็พบว่าภายในกว้างขวางและโอ่โถงยิ่งนัก ระเบียงทางเดินยาวนับร้อยเมตร ทั้งสองด้านเป็แม่น้ำ ในน้ำมีปลาแหวกว่ายไปมาอยู่ บนทางเดินปูด้วยกระเบื้องสีขาวหยกแลดูงดงามและหรูหรา
นี่แค่ประตูบานเดียวเท่านั้น
เมื่อเดินจนสุดทางเดินก็เห็นป้ายหินขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ข้างบนแกะสลักตัวอักษรสามตัว ‘จวนฉีอ๋อง’ ตัวอักษรตวัดฉวัดเฉวียนราวกับเหินบินได้ ดูแล้วหยิ่งผยองยิ่งนัก ข้างๆ ป้ายหินมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ “ยินดีต้อนรับขอรับโหวเหฺย บ่าวเป็พ่อบ้านของจวนอ๋อง ท่านอ๋องพระราชทานนามให้ว่า ‘กู่’ ขอรับ”
“พ่อบ้านกู่” หลี่ลั่วฟังน้ำเสียงแล้วก็ให้รู้สึกว่ามีความแหลมอยู่ในน้ำเสียงนั้น พ่อบ้านกู่ท่านนี้คงจะเป็ขันที
“เชิญโหวเหฺยด้านในขอรับ” พ่อบ้านกู่นำทาง
เมื่ออ้อมผ่านป้ายหินไปก็เป็ทางเดินระเบียงยาวๆ อีก ทั้งสองด้านมีเหล่าสาวใช้ยืนอยู่ เมื่อเห็นว่ามีแขกเดินเข้ามา เหล่าสาวใช้จึงค้อมกายคารวะ
ทางเดินนี้เชื่อมต่อกับทางเดินเมื่อสักครู่ แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือทางเดินนี้เล่นระดับเล็กน้อย พื้นค่อยๆ ยกสูงขึ้นเรื่อย เมื่อเดินตรงไปจนสุดทางเดินก็เป็ประตูอีกบานหนึ่ง แต่ประตูบานนี้เปิดอ้ากว้างเอาไว้ ข้างในประตูนี้จึงจะเป็จวนฉีอ๋องที่แท้จริง
หน้าประตูเตรียมเกี้ยวเอาไว้แล้ว ด้วยเกรงว่าหลี่ลั่วตัวเล็ก เดินแล้วจะเหนื่อยเกินไป
หลี่ลั่วนั่งเกี้ยวไปจนถึงประตูเรือนซิงเฉิน ตลอดทางนั้นความหรูหราสง่างามของจวนฉีอ๋องทำให้เขาผู้ซึ่งมาจากโลกปัจจุบันอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเคยได้พบได้เห็นอาคารสิ่งก่อสร้างในระดับลูกหลานขุนนางและมหาเศรษฐีมามากมายแล้วแท้ๆ
อันที่จริงแล้ว นี่ต่างหากเล่าจึงจะเป็ลูกหลานขุนนางและมหาเศรษฐีรุ่นที่สองอย่างแท้จริง
สำหรับการมาของหลี่ลั่วนั้นกู้จวิ้นเฉินไม่ได้ออกมาต้อนรับ แต่ห้องหนังสือของกู้จวิ้นเฉินอยู่บนหอคอย เขาสามารถมองลงไปเห็นเงาร่างของเด็กน้อยจากทางหน้าต่างได้ ไม่เพียงแต่เห็นแค่เงาร่างของเด็กน้อยเท่านั้น กระทั่งเงายามที่เขานั่งอยู่บนเกี้ยวเข้ามาเขาก็มองเห็น
กู้จวิ้นเฉินค่อยๆ หยิบผลอิงเถาบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งผล จากนั้นเล็งไปที่หลี่ลั่ว แล้วพลันใช้แรงเล็กน้อยโยนออกไป
[1] หลี (梨) หมายถึง ลูกแพร์