ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง อาภรณ์ขาวราวหิมะ เสื้อคลุมสีน้ำเงินที่คลุมอยู่เื้ัก็ดูสะดุดตาเป็อย่างมาก ในมือของเขาอุ้มเตาพกไว้ชิ้นหนึ่ง แต่งกายเช่นคุณชายผู้สง่างามผู้หนึ่ง
่นี้ การแต่งกายเช่นนี้เป็ที่นิยมอย่างมากในเมืองหลวง เหตุผลก็เพราะจวิ้นอ๋องท่านนี้
จวิ้นอ๋องซูเช่อผู้สมญานามชายงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ก็เหมือนจะเป็ผู้ที่เหล่าบุรุษ สตรี คนชรา และเด็กชื่นชม หากอยู่ในยุคสมัยนี้แล้วล่ะก็ ก็คือดาราระดับประเทศที่ตรงมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็คนในยุคสมัยใดก็มีการไล่ตามดารา ดังนั้น ในสายตาของพวกเขา แม้แต่ในยามที่เขาจาม ก็น่าดูอย่างมาก
ดังนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างตกอยู่ในสถานการณ์การไล่ตามดาราอย่างบ้าคลั่ง เมื่อได้ยินกุนซือ ซูเช่อก็มองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไป ทุกสิ่งหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ แต่ในใจของเขากับร้อนระอุ ราวเปลวเพลิงที่ไร้สิ่งใดเทียม
การเลือกข้างของซูเช่อจะกำหนดทิศทางของราชสำนัก ทันทีที่ตระกูลซูสนับสนุนผู้ใด โอกาสที่คนผู้นั้นจะได้รับชัยชนะก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง นี่จึงเป็เหตุผลที่คนแต่ละฝ่ายต่าง้าโน้มน้าวตระกูลซูเข้าเป็พวก ทว่าซูเช่อเป็คนที่ลื่นไหล ไม่รับปากการชักจูงของผู้ใดง่ายๆ การที่เขาไม่ยอมเลือกข้างเสียที ก็กลายเป็การล่วงเกินคนของแต่ละฝ่ายขึ้นมาบ้าง บัดนี้ ทุกคนต่างมีความคิดเดียวกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ในเมื่อไม่ได้รับการสวามิภักดิ์จากซูเช่อ ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นได้ตัวซูเช่อไป ทว่า สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ซูเช่อนั้นมีผู้ที่เลือกไว้ในใจนานแล้ว
ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่มีอยู่ในตอนนี้ ไท่จื่อมีความสามารถปานกลาง องค์ชายใหญ่ห้าวหาญแต่ไร้ไหวพริบแผนการ องค์ชายสามอ่อนแอไร้ความสามารถ องค์ชายสี่โดยรวมแล้วก็คือคนเสเพลประจำเมืองหลวง องค์ชายห้าลุ่มหลงอยู่ในความสัมพันธ์ของบุรุษสตรี องค์ชายหกชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่นิสัยลุ่มลึก มีความทะเยอทะยาน จุดที่น่าเสียดายเพียงจุดเดียวคือขี้ระแวงเกินไป ในยามที่องค์ชายเจ็ดยังมิได้กลับเมืองหลวง องค์ชายหกเป็เพียงผู้เดียวที่สามารถคานอำนาจกับไท่จื่อได้
บัดนี้ องค์ชายเจ็ดกลับมาแล้ว เช่นนั้น ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว องค์ชายเจ็ดแม้จะมิใช่บุตรของภริยาเอก แต่ก็มีกุ้ยเฟยเป็ผู้ให้กำเนิด คนผู้นี้มีทั้งความกล้าหาญ ปฏิภาณไหวพริบ และความทะเยอทะยาน มิใช่คนธรรมดาสามัญ
เพียงแต่ซูเหล่าฟูเหรินเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต จึงคาดหวังมาโดยตลอดว่า ซูเช่อจะจงรักภักดีต่อรัชทายาท ทว่า ไท่จื่อผู้นี้กลับมิใช่ผู้ที่มีคุณสมบัติของกษัตริย์ แต่ไรมา ซูเช่อก็มีความหยิ่งทระนง จะยอมให้ตนเองสวามิภักดิ์ต่อผู้ที่ไร้ความสามารถได้อย่างไร? หากต้องให้เขาเลือกจริงๆแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมเลือกองค์ชายเจ็ดที่เพิ่งกลับมาเมืองหลวง นี่ก็เป็เหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงมาปรากฏกายที่นี่
เมื่อครู่เห็นชายที่มีฝีมือไม่เลวช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ เขาจึงได้ไม่ออกหน้าช่วยเหลือ ในเวลาเดียวกัน ชูเซ่อจึงได้ค้นพบการคงอยู่ของคนผู้นั้น คนผู้นั้นเข้าเมืองหลวงมาพร้อมองค์ชายเจ็ด จากความเคลื่อนไหวของเขา ย่อมไม่ใช่ชนชั้นสามัญเป็แน่
“เ้าคิดว่า องค์ชายเจ็ดผู้นี้เป็อย่างไร?” ในใจของซูเช่อได้มีการตัดสินใจแล้ว แต่ยังคงถามกุนซือ
กุนซือเข้าใจในตัวชูเซ่อผู้นี้ดี ในเมื่อเขาถามเช่นนี้ ก็แปลว่าพึงพอใจในตัวองค์ชายเจ็ดอย่างมากแล้ว หากไม่พอใจแล้วล่ะก็ เขาจะไม่มีทางสนใจคนผู้นี้
“องค์ชายเจ็ดผู้นี้แม้นกำเนิดจากกุ้ยเฟย ทว่า แต่เล็กก็แสดงความสามารถที่ไม่ธรรมดาออกมา และเพราะเหตุนี้จึงถูกเหล่าพี่น้องริษยา ตอนอายุได้สิบห้าถูกคนวางแผนเล่นงาน ว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาวกับพระสนม เพราะเื่นี้ทำให้ฝ่าาไม่โปรดเขา แม้จวิ้นอ๋องจะพนันข้างเขา เกรงว่าโอกาสที่จะชนะก็มีไม่มากขอรับ”
กุนซือไม่อยากเป็ผู้ที่เอาแต่ประจบเอาใจผู้มีอำนาจ แม้จะเข้าใจในสิ่งที่ซูเช่อคิด แต่ก็อยากแสดงความเห็นของตนออกมาอย่างชัดเจน เขาเป็กุนซือ มิใช่ปรสิต ไม่อาจเพื่อเอาใจเ้านายก็กล่าวสิ่งที่ขัดกับมโนสำนึกออกมา โดยเฉพาะเ้านายก็มิใช่คนเขลา เขารับกุนซือเช่นเขาไว้ก็เพื่อจะฟังความเห็นที่แตกต่าง
“เ้าพูดไม่ผิด ดังนั้น เปิ่นจวิ้นอ๋องจึงจะไม่รับปากเขาง่ายๆ มาดูว่าเขามีสิ่งใดที่จะทำให้เปิ่นจวิ้นอ๋องภักดีต่อเขาได้”
อีกด้านหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจโรคนอกสถานที่เสร็จกลับมาถึงบ้าน พึ่งเข้าประตูมาก็เห็นหยางซื่อเดินมาอย่างตื่นเต้น หยางซื่อเมื่อเห็นนาง ก็ดึงมือของนางไปกล่าวว่า “กลับมาแล้วหรือ เ้ารีบเข้าไปดูว่าใครมาแล้ว แม่จะออกไปซื้ออาหารเสียหน่อย วันนี้ตอนเที่ยงจะเข้าครัวทำของอร่อยให้พวกเ้ากินด้วยตนเอง”
หลินมู่เอ๋อร์มองชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ในเรือน ชายฉกรรจ์ผู้นั้นทำความเคารพนางอย่างกระอักกระอ่วน นางไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครมาแล้ว
“ท่านแม่ ให้คนรับใช้ไปเถิดเ้าค่ะ! ท่านเข้าครัวก็พอแล้ว เหตุใดจึงต้องไปซื้ออาหารด้วยตนเองเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์จูงมือของหยางซื่อเข้าไปด้านใน
หยางซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเป็เช่นนั้น เมื่อครู่เพราะดีใจจนเลอะเลือนไป ยังคิดว่าตอนนี้เป็เมื่อก่อน ยามนั้น ที่บ้านไม่มีบ่าวรับใช้ ไม่ว่าเป็สิ่งใดล้วนต้องลงมือทำด้วยตนเอง ไม่เพียงหลิงมู่เอ๋อร์สองพี่น้อง ยังมีซั่งกวนเซ่าเฉิน โจวฉี่เยี่ยนพี่น้อง หรือกระทั่งซูเช่อ นางล้วนดูแลอย่างรอบคอบ เพียงพริบตาเดียว ที่บ้านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้
“เ้าลองเดาดูว่าเป็ผู้ใดมาแล้ว?” หยางซื่อไม่รู้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ประสบอันตรายระหว่างทาง และเป็โจวฉี่เยี่ยนที่ช่วยไว้พอดี
นางเจตนาจะแกล้งนาง จึงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หรือว่า ‘เฉิน’ มาแล้วหรือเ้าคะ?”
หยางซื่อเมื่อได้ยินก็ถลึงตาใส่นางอย่างไม่พอใจ “มิรู้จักอาย มีหญิงสาวที่ยังมิได้ออกเรือนที่ไหน ทั้งวันเอาแต่พูดชื่อของบุรุษกัน กังวลเสียจริงว่าเ้าหนุ่มเฉินนั่นจะรังเกียจเ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์แย้มยิ้มอย่างเจิดจ้า “เขาไม่เป็เช่นนั้นหรอก เขากลัวข้าจะรังเกียจเขาต่างหากเ้าค่ะ!”
“ยิ่งมายิ่งไม่รู้จักอายแล้ว” หยางซื่อหัวเราะเสียงเบา “เอาเถอะ ไม่ต้องให้เ้าเดาแล้ว เ้าเข้าไปดูก็รู้เอง รับรองว่าต้องทำให้เ้าตกตะลึงเป็แน่”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เปิดเผยความในใจของหยางซื่อ บางครั้ง ไม่ว่าสิ่งใดหากก็กล่าวเปิดเผยไปเสียสิ้น ก็จะสูญเสียความหมายไป จึงยังคงให้นางได้ ‘สมใจ’ บ้างในบางครา
ในห้องโถงใหญ่ หลิงต้าจื้อกำลังพูดคุยกับโจวฉี่เยี่ยน โจวฉี่เยี่ยนเปลี่ยนชุดใหม่ทั้งตัว เสื้อผ้าที่ใส่ในตอนนี้ดูสมถะลงมาก มองแล้วราวกับเป็คุณชายของครอบครัวทั่วไป ต้องรู้ว่า เมื่อครู่ในยามที่พบกับนาง ชุดยาวหรูที่อยู่บนร่างของเขา เมื่อเปรียบกับของซั่งกวนเซ่าเฉินแล้วก็มิได้ด้อยกว่ากันเลย เห็นได้ชัดว่า ตัวเขาในตอนนี้มีฐานะและตำแหน่งที่ไม่เลวเช่นกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ยังจำได้ว่า เพราะเหตุใดโจวฉี่เยี่ยนจึงถูกบีบบังคับให้จากบ้านสกุลหลิงไป บนตัวเขาแบกคดีที่เกี่ยวพันถึงชีวิตไว้ บัดนี้ เขาปรากฏกายอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว ถ้าเช่นนั้น เป็ผู้ใดที่มอบความมั่นใจให้เขากัน? หรือจะพูดว่า ตัวเขาในตอนนี้ใช้ฐานะใดกัน?
“เ้าหนุ่มรุ่ยเล่า? เหตุใดจึงมิกลับมากับเ้าด้วย?” หลิงต้าจื้อสอบถามโจวฉี่เยี่ยน
“น้องชายอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งขอรับ ครั้งนี้ที่กลับมา ข้าเข้าสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายเจ็ด ต้องช่วยเขาจัดการเื่เล็กน้อย เพื่อวันหน้าจะได้พลิกคดีให้คนในครอบครัว ยังมีเื่การตายของอาจารย์ ก็ไม่อาจปล่อยไปเช่นนั้น รุ่ยเอ๋อร์เป็เด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ข้าไม่อยากให้เขาต้องมาเสี่ยงอันตรายไปกับข้า จึงหาสถานที่แห่งหนึ่งให้เขาพักอาศัยขอรับ” โจวฉี่เยี่ยนกล่าวอย่างจริงจัง
หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อได้ยินคำพูดของโจวฉี่เยี่ยน ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าโจวฉี่เยี่ยนจะเล่าเื่ให้พวกนางฟัง หรือเขาไม่กลัวว่าคนสกุลหลิงจะทรยศเขาหรือ?
ความเชื่อใจของโจวฉี่เยี่ยนทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ซาบซึ้ง นางคิดว่า หากเขายังพบกับเื่ใดอีก จะต้องให้ซั่งกวนเซ่าเฉินปกป้องเขา หรือกระทั่งให้นางไปขอร้องซูเช่อก็ได้
“เยี่ยงนั้น ตอนนี้เ้าพักอยู่ที่ใด? หากหาที่พักไม่ได้ ก็มาพักที่บ้านได้” หลิงต้าจื้อยังคงเป็เช่นในวันวาน ที่เชื่อใจโจวฉี่เยี่ยนเป็อย่างยิ่ง
“ท่านอาหลิง ตัวข้าในยามนี้…กำลังทำงานให้ราชนิกุล หากทำได้ไม่ดี อาจทำให้พวกท่านเดือดร้อนได้ ท่านไม่กลัวข้าจะนำเื่ยุ่งยากมาให้พวกท่านหรือขอรับ?” เห็นได้ชัดว่าโจวฉี่เยี่ยนก็หวั่นไหวเล็กน้อยเช่นกัน “ยังคงไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าได้ซื้อเรือนไว้ข้างนอกแล้วขอรับ”
“ข้าไม่รู้เื่พวกนั้นที่พวกเ้าทำ ข้าเป็เพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมากนัก พวกเ้าเป็คนดี ข้าชื่นชมในตัวเ้า เ้าหนุ่ม จึงได้ดีต่อเ้า” หลิงต้าจื้อพูดอย่างซื่อๆ “ส่วนเื่สร้างความเดือดร้อนให้นั้น ในตอนนั้น เ้าก็ช่วยพวกเราจัดการเื่ยุ่งยากไปไม่น้อย ตอนนั้น ก็ไม่ได้รังเกียจว่าพวกเราทำให้เ้าเดือดร้อน แล้วพวกเราจะรังเกียจเ้าได้อย่างไร?”
“ขอบคุณท่านอาหลิงมากขอรับ บุญคุณที่ท่านอาหลิงมีต่อพวกเราพี่น้อง พวกเรายากจะลืมเลือน” โจวฉี่เยี่ยนทำการคารวะเต็มพิธีการอย่างจริงจัง
“ลุกขึ้นมาเถิด อย่าได้คุกเข่าไปมาเลย ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ” หลิงต้าจื้อรีบประคองเขาขึ้นมา
“ขอรับ” โจวฉี่เยี่ยนขอบตาแดง สีหน้าตื้นตัน
“สาวน้อยมู่ เ้ายืนอยู่ตรงนั้นทำไมกัน? เ้าไม่รู้จักพี่โจวของเ้าแล้วรึ? ตอนนี้คงมิใช่รู้จักเพียงพี่ซั่งกวนของเ้ากระมัง?” ในยามที่หลิงต้าจื้อพูดคำนี้ก็มีความอิจฉาอยู่บ้าง เพราะอย่างไร บุตรสาวก็เป็คนรักของบิดาในชาติก่อน หากกล่าวตามปกติแล้ว ยามที่บุตรสาวต้องออกเรือนไป ผู้ที่รู้สึกเสียใจที่สุดมิใช่มารดา แต่กลับเป็บิดาที่รักทะนุถนอมนาง เอ็นดูนาง
แม้หลิงต้าจื้อจะพอใจซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะแย่งบุตรสาวที่เขารักและทะนุถนอมไป ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก ่นี้ เห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ในใจของหลิงต้าจื้อก็ยิ่งไม่ปกติสุขขึ้นเรื่อยๆแล้ว นี่จึงเป็เหตุผลที่พูดเช่นนี้ต่อหน้าโจวฉี่เยี่ยน เพราะในใจรู้สึกอิจฉาจนเกินไปแล้วนั่นเอง
หลิงมู่เอ๋อร์บีบนวดไหล่ของหลิงต้าจื้อ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านพ่อ ข้าย่อมจำพี่โจวได้แน่นอนเ้าค่ะ แต่ข้าเกือบจำท่านไม่ได้! ท่านดูท่าทางของท่านสิ ราวกับสตรีขี้อิจฉา อีกครู่ข้าจะบอกกับท่านแม่ว่า ให้นางใส่ใจอยู่เป็เพื่อนท่านหน่อย อย่าได้ออกไปเที่ยวกับพวกท่านป้าที่พึ่งคบกันใหม่ทั้งวัน จนทอดทิ้งเสียท่านแล้ว”
“เ้าเด็กตัวเหม็น เ้ากล้าพูดว่าข้าเป็สตรีขี้อิจฉาอีกครั้งหรือไม่?” หลิงต้าจื้อจิ้มหน้าผากของนางอย่างเคืองใจ “ยิ่งมายิ่งไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าหลิงต้าจื้อมิได้โกรธจริง นางแกล้งเย้าแหย่อย่างสุขสันต์ เงยหน้าขึ้นมองโจวฉี่เยี่ยน “พี่โจว พบกันอีกครั้งแล้ว”
“อะไรเรียกว่า พบกันอีกแล้ว?” หลิงต้าจื้อไม่พอใจกับการทักทายที่ไม่ใส่ใจของหลิงมู่เอ๋อร์
“เมื่อครู่ข้ากับพี่โจวได้พบกันแล้วเ้าค่ะ บัดนี้พบกันอีกครั้ง ก็ถือว่าได้พบกันอีกแล้วอย่างไรเ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์แสดงท่าทีว่า ข้ามิได้พูดผิดนะออกมา
“เมื่อครู่พวกเ้าได้พบกันแล้วหรือ? มิน่า ยามเห็นพี่โจวของเ้าจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย” หลิงต้าจื้อแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “เอาเถอะ พาพี่โจวเขาเ้าไปเดินดูรอบๆเถอะ”
“ได้เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พึ่งรับคำก็เห็นหลิงต้าจื้อมองไปที่ประตูทางเข้า สีหน้าเปลี่ยนเป็แปลกพิกลขึ้นมา ในใจของนางเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา
หมุนตัวหันกลับมา ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งสาวเท้ายาวเข้ามา เมื่อเขาเห็นโจวฉี่เยี่ยนก็มองจากบนลงล่างสองสามครั้ง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างลับๆ “มักได้ยินพวกท่านป้าโจวพูดถึงพี่น้องแซ่โจวท่านนี้ ช่างสง่างามอย่างแท้จริง”
หลิงมู่เอ๋อร์แอบหัวเราะในใจ ผู้อื่นฟังอารมณ์ที่แฝงอยู่ในคำพูดของซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ออก แต่นางฟังออก เห็นได้ชัดว่าหึงหวงเข้าแล้ว
นางกระแอมเบาๆ มองเขานิ่ง “เหตุใดวันนี้ท่านจึงได้มาแล้วเล่า? เมื่อวานมิได้บอกว่า วันนี้จะออกจากเมืองหลวงหรือ?”
“วันนี้จะไปแล้ว ข้ามาพบเ้าก่อนจึงค่อยจากไป” ยามเผชิญหน้ากับหลิงมู่เอ๋อร์ น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินก็อ่อนโยนลงอย่างมาก ทว่า บริเวณด้านข้างยังมีหลอดไฟดวงใหญ่[1]อีกสองดวงน่ะสิ
[1] หลอดไฟดวงใหญ่ เป็คำเปรียบเทียบ หมายถึงบุคคลที่สามที่ไม่ได้รับเชิญ หรือ ก้างขวางคอ