อวิ๋นซีมองสายตาของบุตรสาวและสามีที่เต็มไปด้วยความน่าสงสารจับใจราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทำร้ายจิตใจก่อนจะตัดสินใจปล่อยมือบุตรสาวเสีย แล้วเดินนำหน้าไปอย่างสุขกายสบายใจ หวานหว่านได้แต่มองแผ่นหลังของมารดาจากนั้นก็หันมองหน้าบิดา นางถามเสียงเบา “ท่านพ่อ ตกลงว่าสุรากุ้ยฮวานี่ ข้ายังดื่มได้ใช่หรือไม่เ้าคะ? ”
จวินเหยียนถามบุตรสาวอย่างปลงๆ “เ้าอยากกินผักหรือ?”
หวานหว่านส่ายหน้า “ไม่อยากเ้าค่ะ” หากมีเนื้อ ชีวิตของนางก็จะเบิกบานใจ ดังนั้นหากให้ต้องกินผักเพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างจากการเอาชีวิตน้อยๆ ของนางไปหรอกหรือ?
“เช่นนั้นก็จบแล้วมิใช่หรือไร” จวินเหยียนลูบศีรษะน้อยๆ ของบุตรสาว “ยามอยู่ต่อหน้ามารดาเ้าความคิดที่อยากจะดื่มสุราของเ้าเ่าั้ หากจะให้ดีที่สุดก็เก็บมันไว้เพียงในใจเถอะมิเช่นนั้น หากนางล่วงรู้เข้า ผลลัพธ์ที่จะตามมา เราย่อมรับกันไม่ไหว”
จำได้ว่า ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งที่หวานหว่านดื่มสุรา เขาในฐานะที่เป็บิดาต้องชดใช้ด้วยการกินผักไปถึงหนึ่งเดือนเต็มๆแม้แต่กายภรรยาก็ยังแตะไม่ได้ไปอีกเดือนหนึ่งเช่นกัน ถึงกระนั้นหากให้ต้องกินผักไปเรื่อยๆก็ช่างเถอะ แต่การกินภรรยาไม่ได้เนี่ย...จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกถึง่เวลาในหนึ่งเดือนนั้นขึ้นมามารดาเถอะ ทุกสิ่งอย่างผ่านไปอย่างอัดอั้นตันใจยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้นครั้งหน้าท่านพ่ออย่าได้ลืมแอบนำมาให้ข้าได้ลองลิ้มสักหน่อยนะเ้าคะ”เมื่อนึกถึงรสชาติอันเลิศล้ำของสุรา หวานหว่านก็อดเลียปากตัวเองไม่ได้ สิ่งที่น่าเสียดายก็คือสุราแรงที่ท่านอาอู๋ิให้คนส่งมานั้นถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินของจวนอ๋อง ซึ่งท่านพ่อไม่ให้คนนำมาด้วยแม้สักไห
จวินเหยียนหยิกจมูกน้อยของบุตรสาวเบาๆแต่สายตาของเขากลับจดจ้องอยู่ที่ภรรยาตัวน้อยด้านหน้าอยู่ตลอด และในตอนนี้เอง จู่ๆณ ที่ไม่ไกลนักก็มีเสียงใของคนดังลอยมา “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านเป็อันใดไปเ้าคะ”
อวิ๋นซีสังเกตเห็น ณ สถานที่ที่ไม่ไกลนักมีสตรีนางหนึ่งที่เดินๆ ไปก็ล้มพับลงบนพื้นชั่วขณะนั้นนางก็เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่สตรีนางนั้นล้มลงไม่ได้สติ ในตอนนั้นสาวใช้ข้างกายกำลังกอดคนที่ยามนี้มีสีหน้าเขียวสลับม่วงพลางร้องะโไม่หยุด“ใครก็ได้ช่วยไปตามท่านหมอมาให้ข้าที”
อวิ๋นซีเบียดกายเข้าไปในฝูงชน จากนั้นจึงรีบขึ้นหน้าไปแล้วนั่งลงคุกเข่าเพื่อจับชีพจรให้สตรีนางนั้น ฉับพลันนั้นสาวใช้ที่ร้องะโเมื่อครู่นึกอยากจะปัดมือของนางออกแต่เป็นางที่พูดขัดเสียงขรึมขึ้นมาเสียก่อน “ข้าเป็หมอหากไม่อยากให้ฮูหยินของเ้าสิ้นใจ ดีที่สุดก็อย่าได้ยุ่งไม่เข้าเื่”
สาวใช้ถูกสายตาของอวิ๋นซีทำให้ใจนไม่กล้าพูดอันใดต่อ และทำเพียงสวมกอดฮูหยินตนอยู่เช่นนั้นทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นซีอย่างเอาเป็เอาตายหากว่าสตรีนางนี้ทำเื่อันใดที่ไม่ดีต่อฮูหยินของนางขึ้นมาละก็ นางก็จะขอสู้ตาย
อวิ๋นซีเลิกอาภรณ์ของสตรีนางนี้ขึ้น เพียงแค่เลิกขึ้นมานิดหน่อยก็เห็นว่าที่ขาของอีกฝ่ายมีาแเล็กๆสีดำอยู่
“นางถูกงูพิษกัด” เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีก็รีบหยิบเข็มเงินที่พกติดตัวอยู่ตลอดมาฝังลงไปที่เท้าของสตรีงดงามผู้นี้ และเป็เซียงเอ๋อร์ที่เบียดกายเข้ามาพร้อมนำกล่องเล็กๆ ออกมาให้จากนั้นจึงพูดว่า “ฮูหยิน มีดผ่าตัดอยู่นี่เ้าค่ะ”
ทันทีที่อวิ๋นซีรับมาแล้วก็หยิบเชือกที่ทำขึ้นจากเถาชุนเถิง [1] อายุร้อยปีขึ้นมาจากในกล่องอย่างรวดเร็ว แล้วนำมามัดไว้บริเวณเหนือาแที่ถูกงูกัดจากนั้นก็ทำการรักษาตามขั้นตอน ในเวลาเดียวกันนั้นผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ก็ได้เห็นฝีมือที่ชำนิชำนาญของนางกระทั่งการกรีดเปิดปากแผลอย่างมั่นใจเด็ดขาดนั้น ทุกคนที่เฝ้าดูเป็อันต้องตกตะลึงจนนิ่งค้างไป
สาวใช้คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเซียงเอ๋อร์ห้ามไว้“ฮูหยินของข้าเพียงอยากจะช่วยนำพิษงูออกมาจากร่างของฮูหยินเ้า หากไม่ทำเช่นนี้นางก็อาจมีอันตรายถึงชีวิต”
ท้ายที่สุดเืจำนวนไม่น้อยก็ทะลักล้นออกมาจากปากแผล เพียงไม่นานเืเ่าั้ก็แปรเปลี่ยนเป็สีแดงพร้อมๆกับใบหน้าสีเขียวม่วงของสตรีงดงามผู้นั้นที่ค่อยๆ ดีขึ้น
“โชคดีที่งูร้ายตัวนี้มิใช่งูที่พอกัดแล้ว คนจักต้องเสียชีวิตในทันที มิเช่นนั้นวันนี้ต่อให้จะพยายาม...” คำพูดสุดท้ายยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ตอนนี้เองที่สายตาของนางเพิ่งจะตกลงบนใบหน้าของสตรีงดงามอย่างแจ่มชัดชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีก็ตะลึงค้างไป สีหน้าปรากฏแววไม่อยากเชื่อ
“ฮูหยินของพวกเ้ามีนามว่าอะไร” อวิ๋นซีมองสาวใช้ ถามเสียงขรึม
เมื่อสาวใช้ได้ยินคำถามนั้น เดิมทีไม่คิดบอก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฮูหยินตนจึงได้ตอบเสียงเบา “ฮูหยินของข้ามีนามว่า หลิงเยว่เซวียน”
อวิ๋นซียืนขึ้น พูดกับเซียงเอ๋อร์ “นำยาถอนพิษขวดหนึ่งให้นางไป จากนั้นก็จัดการเก็บให้เรียบร้อยแล้วไปกินข้าวกันเถอะ” เมื่อพูดจบ นางก็เดินไปยังข้างกายของสามีและบุตรสาวที่มามุงอยู่ที่นี่ได้ครู่หนึ่งแล้ว“พวกเราไปกันเถอะ”
จวินเหยียนกวาดสายตาไปยังหลิงเยว่เซวียนที่ถูกสาวใช้ประคองจากไป จากนั้นจึงโอบบ่าภรรยาไว้แล้วเดินจากไปยังทิศทางของตน
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วบุรุษผู้หนึ่งก็ขี่ม้านำองครักษ์กว่าสิบคนมุ่งหน้ามา และทันทีที่บุรุษบนหลังม้าเห็นสตรีงามถูกสาวใช้ประคองอยู่สีหน้าก็เปลี่ยนไป “เยว่เอ๋อร์” เขาพลิกกายลงจากหลังม้าด้วยความเป็กังวลสุดขีดรีบเร่งเดินไปหาภรรยา จากนั้นจึงอุ้มคนขึ้นมาในอ้อมแขน ถามเสียงขรึม“นี่มันเื่อันใดกัน? ”
สาวใช้สองคนรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้นไม่ทราบว่าเหตุใดพระชายาถึงโดนงูพิษกัดได้”
เมื่อบุรุษผู้นั้นได้ยินคำว่างูพิษก็ให้รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง
สาวใช้อีกคนรีบพูดต่อ “โชคดีตอนที่พระชายาสลบไป บังเอิญมีฮูหยินผู้หนึ่งที่เป็วิชาแพทย์ผ่านมาพอดีจึงได้ช่วยจัดการนำพิษออกจากาแ ทั้งยังทิ้งขวดยาถอนพิษไว้ให้พระชายาอีกด้วยเพคะ”
เมื่อบุรุษคนนั้นได้ยินแล้ว สีหน้าก็อ่อนลง“ได้ถามหรือไม่ว่าฮูหยินผู้นั้นมีนามว่าอันใด? ”
“ไม่ได้ถามเพคะ เมื่อนางช่วยพระชายาเสร็จแล้วก็จากไปเลยเพคะ”
เมื่ออวี๋อ๋องได้ยินก็ขบคิดอย่างล้ำลึกอยู่เพียงผู้เดียวไปสองอึดใจจากนั้นจึงอุ้มร่างภรรยากลับจวนอ๋องไป เขาเชื่อว่า ขอแค่คนยังอยู่ในหวายหนาน ไม่ว่าอย่างไรเขาจักต้องช่วยภรรยาตามหาผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางไว้จนเจอได้แน่
ทางด้านอวิ๋นซี หลังจากที่กินอาหารเย็นกันเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาต่างก็พากันกลับไปพักผ่อนยังโรงเตี๊ยม
นอกจากนี้ ทุกสิ่งก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของอวิ๋นซีเลยสักนิดเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน บุรุษก็เริ่มจะเป็อันธพาลขึ้นมาอีกแล้ว ยามนี้เห็นว่าอายุครรภ์ของนางจวนจะครบสามเดือนนางก็อดไม่ได้ให้เป็กังวลจริงๆ เมื่อถึงตอนนั้นบุรุษผู้นี้จะทรมานนางจนลงจากเตียงไม่ได้อีกเลยหรือไม่เพราะก่อนหน้านี้เขาก็มักจะทำเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น มีครั้งหนึ่งที่เขาสั่งให้นางพักผ่อนอยู่แต่ในจวนห้ามออกไปไหน แต่นางกลับไม่เชื่อฟัง และคิดเพียงว่าตนควรทำอะไรให้มากหน่อย เพื่อที่สิ่งที่พวกเขา้าจะยิ่งได้มารวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่า บุรุษผู้นี้ไม่ได้คิดเฉกเช่นเดียวกัน เขาใช้วิธีการอันโหดร้ายที่ทำให้วันต่อมานางไม่อาจลงจากเตียงได้อีกเลยทำได้แค่เป็เด็กดีว่านอนสอนง่าย พักผ่อนเพียงในจวน จึงอาจเรียกได้ว่าบุรุษผู้นี้ร้ายจะตายเขามักจะใช้วิธีเช่นนี้มาลงโทษนาง
“สารเลว ยังจะมาอีก” เมื่อเห็นมือเขาเกาะกุมมือนาง ก่อนจะค่อยๆ ฉุดดึงไปยังที่ที่หนึ่งทำให้นางถึงกับโกรธเป็ฟืนเป็ไฟทันที “เหล่าเหนียง [2] จะพักผ่อน”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็เลิกคิ้ว “เ้าว่า เหล่าเหนียง? ”
“ในท้องข้ามีก้อนเนื้ออยู่ไม่ใช่หรือไร หากไม่ใช่เหล่าเหนียงแล้วจะเป็อันใดได้”นางบีบบริเวณที่เขาให้นางยื่นมือออกไปอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันทีนางหัวเราะฮ่าฮ่าออกมา “หากยังไม่ปล่อยมืออีก ข้าจะฝังเข็มให้ท่านสักสองเข็ม เพื่อที่ท่านจะได้พักกายเปลี่ยนนิสัยสักครึ่งปี”
“เป็ความคิดที่ชั่วร้ายยิ่ง” เขามองนาง ปล่อยมือนาง แล้วรีบพูด
นางแค่นเสียงเ็า “ก็มิใช่เรียนมาจากท่านหรือไร”
คนผู้นี้ไม่ต่างจากช่างสามวันไม่รื้อกระเื้ัคา [3] จริงๆ
“อาซี ข้ารักเ้า” เขากอดนางไว้ จุมพิตริมฝีปากแดงของนางเบาๆจากนั้นก็ฝังศีรษะลงไปยังซอกคอนางแล้วหลับใหล
อวิ๋นซีมองบุรุษที่เป็เช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากถอนใจอย่างปลงๆ เหตุใดเมื่อมองดูแล้วบางครั้งคนผู้นี้ก็ยังเป็เหมือนเด็กน้อยเสียยิ่งกว่าหวานหว่าน ทว่าทันทีที่นึกถึงบุตรสาวนางก็กอดสามี อมยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็นอนหลับไปด้วยกัน
กระทั่งเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนางดังขึ้น จู่ๆ จวินเหยียนก็เปิดตาขึ้นเขามองดวงหน้าสงบสุขยามหลับใหลของนาง ก่อนจะถอนใจอย่างปลงๆ “เปิ่นหวาง้าแค่ให้เ้าและลูกอยู่ดี คนอื่นที่เหลือล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรารู้หรือไม่? ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ชุนเถิง(绳子)คือ ไม้เลื้อยจำพวกไอวี่
[2] เหล่าเหนียง(老娘)เป็คำที่ใช้เรียกแทนตัวเองของผู้เป็มารดาผู้ชราหรือคำเรียกแทนตัวเองของสตรีวัยกลางคนที่แต่งงานแล้ว
[3] สามวันไม่รื้อกระเื้ัคา(三天不打上房掀瓦)เปรียบเทียบถึงเด็กดื้อรั้นซุกซนหรือคนที่วอนโดนตี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้