ชาวบ้านช่วยกันนำร่างอันแห้งเหี่ยวของกลุ่มโจรมากองไว้ด้วยกัน จากนั้นก็จุดไฟเพื่อเผาร่างของพวกเขา ส่วนมู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่ก็เดินตามผู้ใหญ่บ้านไปยังเรือนพักของเขา
ไม่นานพวกชาวบ้านก็รวบรวมสำรับอาหารที่อยู่ในเรือนพักของพวกเขา มามอบให้มู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่เพื่อเป็การขอบคุณ
“กองโจรูเาซานปรากฏตัวขึ้นในูเาซานเมื่อเจ็ดปีก่อน ในรัศมีร้อยลี้ล้วนถูกพวกเขาปล้นสะดมและชิงทรัพย์สินไปจนหมด ตอนแรกพวกเขาจะเลือกปล้นเฉพาะพวกคนรวยเท่านั้น ไม่เคยลงมือกับคนยากไร้อย่างพวกเรามาก่อน และไม่ได้เข่นฆ่าคนไม่เลือกหน้าเหมือนอย่างทุกวันนี้ด้วย พวกเราถึงอยู่รอดกันมาได้”
“แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหลายปีมานี้พวกเขากลับยิ่งจะอวดดีมากขึ้น ไม่เพียงแค่ปล้นชิงอาหารเท่านั้น แต่ยังฉุดคร่าสตรี สังหารผู้บริสุทธิ์ จุดไฟเผาทำลายและยังทำชั่วอีกสารพัด เมื่อพวกเราไม่มีทางเลือก ต่อมาพวกเราจึงรวบรวมกำลังทรัพย์จากทุกคนที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ ระดมเงินก้อนหนึ่งเพื่อขอให้สำนักศึกษาเทียนอวิ่นส่งคนมากวาดล้างกองโจรกลุ่มนี้ และในที่สุดพวกท่านก็มาถึง”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างขมขื่น
เด็กหนุ่มทั้งสองได้เปิดเผยสถานะบัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นให้อีกฝ่ายได้ทราบแล้ว
เมื่อมู่เฟิงมองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของพวกชาวบ้าน เขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า “ทุกท่านวางใจเถิด เรามาครั้งนี้ย่อมต้องกวาดล้างกองโจรกลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นทุกท่านจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง”
“ขอบคุณคุณชายมาก”
พวกชาวบ้านรีบคำนับเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อเป็การขอบคุณ
“พี่เฟิง หม่าลี่เป็ถึงยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นสอง ท่านมีแผนจะจัดการกับเขาอย่างไรหรือขอรับ?”
ไป๋จื่อเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“จำนวนคนในกองโจรนั้นมีไม่น้อย อีกทั้งวรยุทธ์ของหม่าลี่ก็แข็งแกร่งกว่าเรา หากเราเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงเราย่อมเสียเปรียบแน่ ดังนั้นในกรณีนี้เราจำต้องใช้ปัญญาในการต่อสู้”
ดวงตาของมู่เฟิงทอประกายกร้าว พร้อมกับแผนการที่ผุดขึ้นมาในใจของเขา
“โอ้ ต่อสู้ด้วยปัญญา? ต่อสู้อย่างไรหรือขอรับ?”
ไป๋จื่อเยว่ยังคงไม่เข้าใจ
มู่เฟิงเหลือบมองไปยังโจรสองคนที่อยู่นอกประตูและถูกมัดไว้กับเสาไม้ จากนั้นมุมปากของเขาก็บิดโค้งในทันที
“มีวิธีแล้วกัน!”
มู่เฟิงยิ้มกว้าง จากนั้นเขาก็เดินไปหาโจรสองคนที่ถูกมัดกับเสาด้านนอก
“พวกเ้าสองคน อยากจะมีชีวิตรอดหรือว่าอยากตาย?”
มู่เฟิงถามอย่างเ็า
“แน่นอนว่าข้าน้อยอยากมีชีวิต ท่านวีรบุรุษได้โปรดปล่อยข้าน้อยไปเถอะขอรับ”
คนทั้งสองรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“หากอยากจะรอดน่ะง่ายมาก เชื่อฟังข้าแล้วกลืนเม็ดยาสองเม็ดนี้ลงไปเสีย”
ฉับพลันนั้นบนฝ่ามือของมู่เฟิงก็พลันมีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น ก่อนที่เม็ดยาสีดำสองเม็ดจะปรากฏบนฝ่ามือของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยื่นเม็ดยาให้พวกเขาคนละเม็ด
“คุณชาย เอ่อ นี่มันคือยาอะไรหรือขอรับ?”
โจรทั้งสองต่างจ้องเม็ดยาสีดำด้วยความลังเล ไม่มีใครกล้ารับมันมา
“หยุดพูดไร้สาระ ข้าให้พวกเ้ากลืนก็กลืนลงไป หากไม่ทำ ข้าจะฆ่าพวกเ้าทิ้งเสีย”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ทั้งยังแผ่รังสีสังหารออกมา
โจรทั้งสองใกลัวเป็อย่างมาก พวกเขาจึงรีบกลืนเม็ดยาลงไปในทันที
“มันคือยาสลายจิต หลังจากกินมันเข้าไปแล้ว หากไม่ได้รับยาแก้พิษภายในเวลาสามวัน ลำไส้ของพวกเ้าจะเน่าเปื่อย ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและตายในที่สุด”
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เอ่อ นี่มัน...”
โจรทั้งสองต่างหน้าซีดด้วยความใ ก่อนจะพยายามอาเจียนยาเม็ดนั้นออกมา
“พวกเ้ากล้าสำรอกมันออกมารึ”
ไป๋จื่อเยว่เตะไปยังหน้าท้องของโจรผู้หนึ่ง
“ไม่ต้องห่วง ข้ามียาแก้พิษ ตราบใดที่พวกเ้าเชื่อฟังข้า พวกเ้าจะไม่ตาย”
มู่เฟิงยิ้มเยาะ
“เชื่อฟัง เชื่อฟัง หากคุณชายบอกทิศตะวันออก พวกข้าย่อมไม่กล้าไปทิศตะวันตก”
โจรทั้งสองต่างรีบตอบรับในทันที หากเป็ชีวิตของพวกเขาเอง พวกเขาย่อมรักตัวกลัวตายอยู่แล้ว
“ดีมาก”
มู่เฟิงยิ้ม สำหรับยาสลายจิตเป็เื่ที่มู่เฟิงพูดมั่วไปเท่านั้น สิ่งนี้ยังมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าธุลีกาย
วันรุ่งขึ้น มู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่รีบมุ่งหน้าไปยังูเาหม่าซานพร้อมกับโจรทั้งสอง
หลังจากผ่านเส้นทางกลางหุบเขาขนาดเล็กที่มีความยาวกว่าสองร้อยเมตร ในที่สุดพวกมู่เฟิงก็หยุดลง
“ทำเลดี เอาเป็ที่นี่แหละ”
มู่เฟิงกวาดตามองไปรอบหุบเขาอย่างพึงพอใจ เขานำแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์มอบให้ไป๋จื่อเยว่จำนวนหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มวางกับดักในหุบเขาทันที
ภายในหุบเขาขนาดเล็กแห่งนี้ถูกเด็กหนุ่มสองคนใช้แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์วางกับดักเอาไว้ไม่ต่ำกว่าสามสิบตำแหน่ง ซึ่งแน่นอนว่าโจรทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าแผ่นยันต์เ่าั้คืออะไร เนื่องจากมันเป็สิ่งที่เหนือระดับเกินกว่าที่โจรป่าอย่างพวกเขาจะรู้จัก
เพียงไม่นานการจัดวางแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ก็เสร็จสมบูรณ์ จากนั้นมู่เฟิงก็ไปยังด้านล่างของหุบเขา และทำการวาดลายเส้นเพื่อวางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้ทั้งสองฝั่ง เขาใช้หินเทวะแปดก้อนเป็ฐานค่ายกล หลังจากวางทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มก็ใช้ดินกลบเพื่อไม่ให้ใครดูออก
กว่าจะเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทำให้ร่างกายและจิตใจของมู่เฟิงรู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย
“เอาละ ตอนนี้พวกเ้าแค่ทำตามที่ข้าบอก หลอกล่อหัวหน้าของพวกเ้าให้ไปที่หมู่บ้านเสี่ยวหลี่ แต่จำไว้ว่าอย่าได้คิดเล่นแง่กับข้า ไม่อย่างนั้นพวกเ้าจะไม่มีวันได้รับยาแก้พิษ”
มู่เฟิงไม่ลืมที่จะพูดจาข่มขู่โจรทั้งสองเป็การส่งท้าย อีกฝ่ายทำได้เพียงพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง จากนั้นพวกเขาก็ควบม้ากลับฐานในทันที
“เอาละ ตอนนี้เราไปดักรอดูผลลัพธ์กันเถอะ”
มู่เฟิงยิ้มร่า
“พี่เฟิง วิธีนี้จะได้ผลหรือขอรับ?”
ไป๋จื่อเยว่เป็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจมู่เฟิง เพียงแต่วิธีการของมู่เฟิงนั้นน่าเหลือเชื่อเกินไป
“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหา แผ่นยันต์เ่าั้มากพอที่จะรับมือกับพวกเขาได้ ขอเพียงสามารถกำจัดกองกำลังส่วนใหญ่ของพวกเขาได้ ข้ากับเสี่ยวเทียนจะรับหน้าที่จัดการกับตัวหัวหน้าใหญ่เอง”
มู่เฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ การซุ่มโจมตีด้วยวิธีการเช่นนี้เป็กลวิธีที่ทางกองทัพใช้ค่อนข้างบ่อย
ไป๋จื่อเยว่พยักหน้า จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็ปีนขึ้นไปบนหน้าผาที่มีความสูงกว่าสามสิบเมตร เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ในที่ลับตา
หลังจากควบม้ามานานกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดโจรทั้งสองคนก็มาถึงูเาหม่าซาน
บริเวณเชิงเขาของูเาหม่าซานนั้นมีรั้วไม้สูงกว่าสิบเมตรตั้งล้อมรอบทางเข้าูเาเอาไว้เพื่อป้องกันการบุกรุกและเป็การประกาศอาณาเขต
“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่กู๋เหล่าเอ้อร์หรอกหรือ เหตุใดพวกเ้าจึงกลับกันมาแค่สองคนเล่า”
เวรยามที่เฝ้าประตูทางขึ้นเขาจดจำคนทั้งสองได้ในทันที พวกจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“อย่าเพิ่งถามเลย เกิดเื่ใหญ่แล้ว ข้ามีเื่สำคัญต้องรายงานหัวหน้าใหญ่”
ชายหนุ่มที่ชื่อกู๋เหล่าเอ้อร์รีบกล่าวขึ้นด้วยความร้อนใจ จากนั้นคนทั้งสองก็รีบควบม้าขึ้นูเาต่อในทันที เมื่อถึงที่หมายพวกเขาก็รีบลงจากหลังม้าและตรงดิ่งเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งเป็ฐานโจรของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานคนทั้งสองก็มาถึงโถงกลางซึ่งเป็แหล่งรวมตัวได้โดยไม่มีใครขวาง
ในบริเวณโถงกลาง หม่าลี่และพรรคพวกกำลังดื่มกินกันอย่างสบายอารมณ์ เมื่อคนทั้งสองเข้ามาถึงกลางโถง พวกเขาก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าหม่าลี่อย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่ เกิดเื่แล้วขอรับ”
ขณะนี้หม่าลี่กำลังตระกองกอดเด็กสาวผู้มีใบหน้าไร้ชีวิตไว้ในอ้อมแขน เขากระดกชามสุราเข้าไปก่อนจะเอ่ยถามว่า “เกิดเื่อะไรขึ้น เร่งด่วนมากนักรึ?”
“เมื่อคืนนี้หลังจากที่พี่น้องของเราได้รับคำสั่งให้ไปปล้นสะดมในหมู่บ้านเสี่ยวหลี่ ระหว่างที่กำลังทำตามคำสั่งก็เกิดการปะทะกับคนกลุ่มหนึ่งเข้าขอรับ ยังไม่ทันได้เจรจาพวกเขาก็เข้ามาแย่งชิงสะดมจากพวกเรา หัวหน้ากลุ่มจางจึงส่งพวกเราสองคนให้มาขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ขอรับ”
กู๋เหล่าเอ้อร์กล่าวขึ้นด้วยความรีบร้อน
“ว่าอย่างไรนะ มีคนจากกลุ่มอื่นอีกหรือ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นหม่าลี่ก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาผลักร่างสตรีในอ้อมแขนออกไปในทันที จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เ้ากล่าวมาให้ชัดเจน เื่เป็มาอย่างไรกันแน่?”
“ถูกต้อง ในรัศมีร้อยลี้ นอกจากพวกเราก็ไม่มีกองโจรกลุ่มอื่นแล้ว”
หัวหน้ารองเองก็ขมวดคิ้ว และเอ่ยถามด้วยความสงสัยเช่นกัน
“เื่นี้พวกข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ แต่อีกฝ่ายมีจำนวนราวๆ หกสิบถึงเจ็ดสิบคนได้ ตอนนี้หัวหน้ากลุ่มจางและเหล่าพี่น้องกำลังตกอยู่ในอันตรายขอรับ”
กู๋เหล่าเอ้อร์กล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่ หรือว่าจะเป็กลุ่มโจรจากที่อื่น นี่ก็เพิ่งจะเข้าวสันต์ฤดู บางทีอาจจะมีกลุ่มโจรชุกชุมมากกว่าปกติก็ได้นะ”
หัวหน้าสามพยายามคาดเดาถึงความเป็ไปได้
“ฮึ่ม ไม่ว่ามันจะเป็ใครก็ตาม ในเมื่อบังอาจมาแย่งชิงของในอาณาเขตของเหล่าจือ ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดกลับไปแน่ เ้ารองและเ้าสาม เรียกพี่น้องของเรามารวมกัน ตามข้าไปเป็กำลังเสริมให้เหล่าจาง”
หม่าลี่ตวาดเสียงออกมาอย่างเ็า เขาตบฝ่ามือลงบนที่นั่งเพื่อระบายอารมณ์ จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“พี่น้องทั้งหลาย ไปจัดการเ้าพวกบัดซบนั่นกัน!”
หัวหน้าทั้งสองรีบลุกขึ้นก่อนจะออกไปเรียกรวมพล
ข่าวนี้ถูกส่งต่อกันอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง เพียงไม่นานทั้งคนและม้ากว่าร้อยตัวก็เตรียมตัวกันเสร็จสรรพ พวกเขามุ่งหน้าลงเขาอย่างเร่งรีบโดยมีพวกกู๋เหล่าเอ้อร์นำทาง กลุ่มคนนับร้อยที่กำลังมุ่งไปข้างหน้าล้วนเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
ในตำแหน่งเหนือเส้นทางผ่านหุบเขา มู่เฟิงกำลังเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินเสียงเกือกม้าจำนวนมากจากระยะไกล สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็เ็าในทันที
“มากันแล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้