ทั่วทั้งรถม้าเงียบสงัด
กุ่ยหยิ่งยืนนิ่งเงียบ แต่มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย เขาไม่ได้หยุดแม้เพียงครู่เดียว ด้วยเขากำลังใช้เสียงที่บางเบาเพียงน้อยนิดในการสื่อสาร
เนื่องจากในยามนี้ เขารวมเสียงให้เป็เส้นเสียง จนเกิดเสียงที่บางเบามากหลุดออกมา เพราะเขากำลังเอ่ยรายงานว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตำหนักคุนหนิงให้กับหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ในรถม้าได้รับรู้
การส่งเสียงพูดอย่างลับๆ เช่นนี้ ต้องใช้ผู้ที่มีกำลังภายในที่ลึกล้ำเพื่อรวบรวมเส้นเสียงและถ่ายทอดให้กันและกันได้รับทราบ และจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นได้เลย
ในฐานะองครักษ์เงาของหลงเซี่ยวอวี่ กุ่ยหยิ่งมักจะคอยติดตามปกป้องเขาอย่างลับๆ อยู่เสมอ ดังนั้นความแข็งแกร่งในด้านวิชาวรยุทธ์จึงไม่ธรรมดา
แต่การส่งเสียงอย่างลับๆ นี้ควรจะไม่มีเสียงใดๆ หลุดรอดออกมา เห็นได้ชัดว่ากุ่ยหยิ่งยังไม่แข็งแกร่งพอ และการฝึกฝนยังไม่ถึงมาตรฐาน ดังนั้นจึงมีเสียงหลุดออกมาเล็กน้อยเป็ครั้งคราว
แต่เสียงที่ดังขึ้นเพียงเล็กน้อยของกุ่ยหยิ่งไม่มีผลกับโลกภายนอก
เพราะในยามนี้มีเพียงหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ในรถม้าเท่านั้นที่สามารถได้ยินทุกคำและทุกประโยคที่กุ่ยหยิ่งสื่อออกมาอย่างชัดเจน
เหล่าคนที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างจากประตูวังอย่างสง่าแต่เดิม บัดนี้ทุกคนกลับยืนเหยียดขึ้นอย่างระมัดระวัง
พวกเขาอาจไม่รู้จักคนสองคนที่ยืนอยู่นอกรถม้าด้วยท่าทางนอบน้อม หรืออาจเพิกเฉยต่อรถหรูที่เห็นได้ชัดเจนนี้ได้
แต่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะจดจำม้าที่หยิ่งผยองอย่างม้าเปินเหลยได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเ้าของม้าเปินเหลย พวกเขาไม่สามารถทำให้ตัวของเขานั้นขุ่นเคืองได้
ดังนั้น อย่าว่าแต่เงี่ยหูฟังเลย ดวงตาของพวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองที่รถม้าสุดหรูนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของรถม้าทั้งหวาดหวั่นและกลัวอย่างแท้จริง ฝูหลินก้มหน้าลงและโค้งคำนับด้วยความกลัว
แม้ว่าฝูหลินจะเป็ผู้ฝึกสอนและมีพื้นฐานด้านวรยุทธ์ที่ไม่เลวร้าย แต่ยามนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปากของกุ่ยหยิ่งกำลังขยับ
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังตาดูที่จมูก จมูกดูที่หัวใจ [1] มาโดยตลอด ได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้องอยู่ในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ ได้แต่ภาวนาในใจขอให้ฉีหวางเฟยออกมาโดยเร็ว และเขาก็จะสามารถรีบไปขอรับโทษได้
เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ กุ่ยหยิ่งได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อสังเกตอย่างลับๆ แต่ตลอดเวลานั้น เขามีเหงื่อเย็นไหลออกมาอยู่เสมอในยามที่มู่จื่อหลิงยั่วยุฮองเฮา
์รู้ดี ในเวลานั้นเป็่เวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดั้แ่กุ่ยหยิ่งกลายเป็องครักษ์เงา และมันก็น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการสังหารคน
เพราะทั้งหัวใจของเขามันขึ้นๆ ลงๆ ตามถ้อยคำของมู่จื่อหลิง
ไม่นานหลังจากนั้น กุ่ยหยิ่งก็ค่อยๆ เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของมู่จื่อหลิง นางทำเพื่อปราบศัตรูโดยไม่ต้องต่อสู้ เพียงแค่ทำให้ฮองเฮาตกอยู่ภายใต้อำนาจและยอมเชื่อฟัง
ต้องกล่าวว่า นายหญิงผู้นี้เกินคำบรรยายจริงๆ!
ยามสังหารไม่เพียงแต่แสร้งทำเป็ไร้เดียงสา แต่ยังยิ้มแย้มอีกด้วย...แต่ละการกระทำล้วนทำให้คนขุ่นเคือง!
ผู้หญิงเช่นนี้ก็เก่งกาจไม่ต่างไปจากนายของพวกเขา นี่เป็การจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ สองคนนั้นช่างร้ายกาจและเ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน ทั้งยังใจแคบเท่าไส้ไก่ [2] ไม่ต่างกัน และจะตอบแทนสิ่งนั้นด้วยความทรมานเป็ทวีคูณ
อย่างที่ทุกคนทราบ นับจากวันนี้เป็ต้นไป มู่จื่อหลิงได้ปรับเปลี่ยนความรู้และความเข้าใจในตัวนางในใจของกุ่ยหยิ่งอีกครั้งแล้ว
นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป พวกเขาล้วนยอมรับมู่จื่อหลิงเป็นายหญิงที่แท้จริงของตนแล้ว ต่อไปก็จะคิดที่จะเคารพบูชานายหญิงผู้นี้ราวกับเป็พระโพธิสัตว์ที่น่ายกย่องอยู่เสมอ แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
กุ่ยหยิ่งใช้เวลาไม่นานในการรายงานเหตุการณ์ในค่ำคืนอันยาวนานอย่างละเอียด
แม้ว่าฮองเฮาจะไม่สงสัยแม้แต่น้อยที่มู่จื่อหลิงหลุดออกมาจากกลอุบายที่ไม่รู้จบของตน แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่อยู่ที่นั่น และยังมีบางคำที่มู่จื่อหลิงพูดใส่หูของฮองเฮา ที่แม้แต่กุ่ยหยิ่งก็ไม่ได้ยิน
แต่เพียงแค่ได้ฟังรายงานสั้นๆ ของกุ่ยหยิ่ง หลงเซี่ยวอวี่ก็รับรู้ถึงกลอุบายทั้งหมดของมู่จื่อหลิงั้แ่ต้นจนจบได้
ในรถม้า สายตาของหลงเซี่ยวอวี่มีร่องรอยของความรู้สึกไร้หนทาง หญิงโง่ เล่นก็คือเล่น ยังกล้าเล่นจนปล่อยให้คนถือกระบี่พาดคอได้อีก
กล้าที่จะเอาชีวิตของตนออกไปเสี่ยง? หน้าของหลงเซี่ยวอวี่กระชับขึ้นเล็กน้อย หากหญิงโง่คนนั้นไม่ได้รับบทเรียนดีๆ สักหน่อย นางก็จะมีความทรงจำที่ยาวนานไม่ได้จริงๆ สินะ
ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านไปนาน หลงเซี่ยวอวี่ก็ทำท่าไม่สนใจไยดีและพูดช้าๆ ว่า “ผู้ที่ไม่สมควรอยู่ที่นั่น ผู้ที่ไม่ควรรับรู้เื่นี้ จะต้องถูกจัดการ”
เสียงของเขาเย็นเยียบราวกับสายลมหนาว มีกลิ่นอายของความเ็าและกระหายเือย่างโหดร้าย
“พ่ะย่ะค่ะ” กุ่ยหยิ่งโค้งคำนับรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่คมและชัดเจน ก่อนจะหายตัวไปในทันที
-
ไม่นานหลังจากที่ร่างกุ่ยหยิ่งจากไป มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อก็เดินออกจากวัง
ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังพูดถึงสิ่งใด
เห็นเพียงมู่จื่อหลิงที่ยกมือขึ้นจับหน้าผากของตนด้วยสีหน้าที่มืดมิด และเดินมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
มีหลงเซี่ยวเจ๋อที่เดินตามหลังมา ด้วยย่างก้าวที่กว้างของเขา เขาจึงเกือบจะขึ้นมาเดินเคียงข้างกับมู่จื่อหลิงที่อยู่ข้างหน้า และมีรอยยิ้มประจบสอพลอบนใบหน้าของเขา
เขามุ่ยริมฝีปากเหมือนเด็ก และยื่นขาสุนัข [3] ของตนมาจากด้านหลังเพื่อคว้าแขนเสื้อแคบๆ ของมู่จื่อหลิง ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นรถม้าที่สว่างไสวจนแทบจะทำให้คนตาบอดซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล
ก่อนที่หลงเซี่ยวเจ๋อจะนึกถึงสิ่งที่อยู่ในรถม้า เขาก็รู้สึกเย็นะเืที่กระดูกสันหลังของตน ราวกับว่าลมหายใจเย็นเฉียบปกคลุมและกัดกินทั่วร่างกายของเขา
ในเวลาเดียวกัน หัวของหลงเซี่ยวเจ๋อก็ตื่นขึ้นในทันที และเขาก็ตอบสนองทันใด
รถม้าคันนั้น ม้าสองตัวนั่น...ดูคุ้นๆ นะ!
จากนั้น หัวของหลงเซี่ยวเจ๋อก็หันไปตรงทิศทางของรถม้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
ชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว ร่างกายของเขาก็หยุดนิ่งทันที ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย
ไม่ใช่ดูคุ้นๆ มันคุ้นเคยเกินไปแล้ว
คนอื่นอาจไม่รู้จักรถม้าและม้าสองตัวนี้ แต่เขาจำพวกมันได้! แม้มันจะกลายเป็ขี้เถ้า [4] เขาก็ยังจำมันได้!
จบแล้ว! มันจบแล้ว!
หลงเซี่ยวเจ๋อน้ำตาไหล หัวใจของเขาเ็ปราวกับมดบนกระทะร้อน [5] ปั่นป่วนตลอดเวลา เขากลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ!
ยามที่เขาออกจากวังมาเมื่อครู่นี้ มู่จื่อหลิงบอกเขาว่าพี่สามของเขารู้เกี่ยวกับความจริงที่ว่าเขานั่งอยู่ที่มุมข้างวังมาสองสามวันเป็อย่างดี
ดังนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อจึงขอร้องมู่จื่อหลิงเมื่อไม่นานมานี้ว่า หากนางพบหลงเซี่ยวอวี่ นางต้องช่วยเขาโดยการพูดสิ่งที่ดีเพื่อไม่ให้เขาถูกลงโทษ
แต่ผู้ใดจะไปรู้ ก่อนที่เขาจะได้รอให้มู่จื่อหลิงพบอีกฝ่าย โจโฉก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว [6]
์้าทรมานเขาจริงๆ! หลงเซี่ยวเจ๋อเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ และคร่ำครวญในใจ!
ก่อนที่หลงเซี่ยวเจ๋อจะสามารถคร่ำครวญเสร็จสิ้น แม้เขายืนอยู่ไกลจากรถม้ามาก มากจนมองเห็นการเคลื่อนไหวในรถม้าไม่ชัดนัก
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลงเซี่ยวเจ๋อกลับรู้สึกว่า มีการจ้องมองเหมือนใบมีดคมจากในรถม้าผ่านม่านหยก พุ่งตรงมาที่มือของเขาที่กำลังดึงแขนเสื้อของมู่จื่อหลิง
หลังจากนั้นมือของหลงเซี่ยวเจ๋อที่คว้าแขนเสื้อของมู่จื่อหลิงก็มีความรู้สึกราวกับถูกจุ่มลงไปในลาวาที่ร้อนระอุ เขารีบดึงมือของตนกลับอย่างรวดเร็วทันที
ส่วนมู่จื่อหลิงยังคงจับหน้าผากของตนด้วยความรู้สึก ‘ปวดหัว’ แขนของนางจึงบดบังทัศนวิสัยของตน ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นรถม้าที่อยู่ไม่ไกล
ในตอนแรกนางได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อพูดซ้ำเื่ไร้สาระ และแขนเสื้อของนางก็ถูกดึงอีกครั้ง ความโกรธจึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของนาง
แต่ในขณะนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อไม่เพียงแต่จับแน่นขึ้นโดยไม่พูดอะไร แต่เขายังยืนนิ่ง นางจึงต้องหยุดฝีเท้าของตน
ดังนั้น...ยามที่มู่จื่อหลิงกำลังจะหันหลังกลับไปพ่นไฟใส่หลงเซี่ยวเจ๋อ นางก็เห็นว่าหลงเซี่ยวเจ๋อดึงมือของตนกลับราวกับว่าถูกไฟดูด
เดิมทีมู่จื่อหลิงคิดว่าหลงเซี่ยวเจ๋อยอมถอนมืออย่างเชื่อฟังเพราะเขากลัวนางโกรธ
คาดไม่ถึง นางกลับต้องมาเห็นว่าทั้งร่างของหลงเซี่ยวเจ๋อแข็งทื่อราวกับโดนจี้จุด ยืนนิ่ง ดวงตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่จุดจุดเดียว ทั้งยังทำหน้าราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่มและไร้ทางหนี
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่จื่อหลิงเอื้อมมือออกไปจับหน้าของหลงเซี่ยวเจ๋อ
หลงเซี่ยวเจ๋อโง่มากจริงๆ เหตุใดถึงไม่ยอมตอบเล่า? ชายผู้นี้โดนผีหลอกหรือเปล่า? มู่จื่อหลิงรู้สึกสงสัย
หลังจากนั้น สายตาของมู่จื่อหลิงจึงมองตามเขาไป และเห็นรถม้าหรูหราจอดอยู่ข้างรถม้าที่นางนั่งมา
ไม่เห็นก็ไม่เป็ไร เพียงแค่มอง...
“เฮ้ย!” มู่จื่อหลิงอุทานออกมาทันที
ตอนแรกรถม้าที่นางนั่งมานั้นค่อนข้างใหญ่อยู่แล้ว แต่เมื่อนางเห็นรถม้าคันใหญ่นั้น มู่จื่อหลิงก็รู้สึกทันทีว่ารถม้าของนางเล็กลงไปมากจนไม่มีผู้ใดสนใจ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการตกแต่งรถม้า ภายนอกทั้งหมดทำจากทองคำและหยก มันช่างหรูหราและวิจิตรตระการตา ม่านรถที่ทำจากหยกหลากสี ความเปล่งปลั่งกระแทกั์ตา ทั้งโปร่งใสและบริสุทธิ์
เมื่อมองดูข้างหน้ารถม้า เห็นม้าสองตัวหนึ่งดำนิลหนึ่งขาว พวกมันสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘บ้าระห่ำเทียมชั้นฟ้า [7]’
มู่จื่อหลิงแอบเดาะลิ้นของนางอยู่ในใจ!
สุดท้ายจะมีผู้ใดที่ฟุ่มเฟือยได้ถึงเพียงนี้? ยามออกไปด้านนอกแทบจะทำให้คนตาบอดได้ จริงๆ เลย! มู่จื่อหลิงก็เคยเห็นผู้คนมากมายในหลายยุคสมัย แต่ในเวลานี้ นางยังอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
แต่...ม้าสีนิลของรถม้าคันใหญ่นั้นช่างดูคุ้นเคยอะไรเช่นนี้?
มู่จื่อหลิงหรี่ตาลง จ้องไปที่ม้าสีนิลอย่างสงสัย
“เอ๊ะ! รู้สึกว่าม้าสีนิลตัวนั้นจะดูเหมือนม้าเปินเหลย!” มู่จื่อหลิงเอามือข้างหนึ่งไขว้แขนและใช้อีกข้างเท้าคาง ก่อนที่นางจะกระแทกศอกของหลงเซี่ยวเจ๋อ
ผู้ใดจะไปรู้ ก่อนที่ข้อศอกของมู่จื่อหลิงจะแตะโดนหลงเซี่ยวเจ๋อ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ะโออกห่างจากมู่จื่อหลิงไปสองสามก้าว ราวกับว่านางเป็วัตถุที่ไม่อาจแตะต้องได้
ราวกับหลงเซี่ยวเจ๋อกำลังโดนมู่จื่อหลิงตีตาย
‘พี่สะใภ้สาม ตาท่านไม่ดีหรือ มันแค่เหมือนที่ไหนกัน นั่นมันม้าเปินเหลยตัวจริง!’ หลงเซี่ยวเจ๋อร้องไห้ในใจโดยไม่มีน้ำตา!
ที่จริงแล้วสายตาของมู่จื่อหลิงไม่ได้แย่ เหตุผลหลักก็คือนางราวกับดวงตามืดบอดเพราะโดนรถม้าสุดหรูสาดแสงใส่ มันมากเสียจนนางเมินเฉยต่อฝูหลินชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างรถม้าไป
ไม่เพียงเท่านั้น นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นรถม้าเช่นนี้ แต่ยังเพราะว่ารถม้าคันนี้ใช้ม้าสุดสง่าถึงสองตัว และไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไร ก็ไม่เคยคิดเลยว่า ม้าเปินเหลยจะยอมลากรถม้าร่วมกับม้าตัวอื่นได้
ต้องรู้ว่า นางเคยได้ยินมาก่อนว่าม้าเปินเหลยสามารถเตะม้าอีกตัวที่้าเข้าใกล้ให้ตายได้ด้วยกีบเท้าของมัน
เมื่อเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อยืนอยู่ห่างจากนางราวกับว่าเขาได้เห็นนางเป็พาหะนำโรค หน้าของมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนเป็สีดำในทันใด “หลงเซี่ยวเจ๋อ เ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
แต่หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงเพิกเฉยต่อนาง ฝีเท้าของเขาก็ดูผิดปกติไป เขาก้าวถอยหลังไปอีกสามก้าว ก่อนจะเดินอย่างช้าๆ เข้าไปที่รถม้าด้วยท่าทางราวกับว่าเขากำลังจะเดินเข้าสู่ลานแขวนคอ
ในความเป็จริง เดิมหลงเซี่ยวเจ๋อ้าที่จะลอบหลบหนีไป แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเท้าของเขา มันไม่ยอมเชื่อฟัง และยังคงบังคับให้เขาก้าวไปข้างหน้า
แม้ว่ายามนี้ในใจของเขาจะไม่อยากก้าวเข้าไป แต่...เท้ากลับยังคงก้าวไปข้างหน้า
มู่จื่อหลิงพูดไม่ออก นี่เป็ครั้งแรกที่หลงเซี่ยวเจ๋อเพิกเฉยต่อนาง
เมื่อมองย้อนกลับมามองตัวที่สั่นเทาของหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงก็เกิดความสับสน มันเกิดอะไรขึ้น?
หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้กำลังหวาดกลัวสิ่งใด? อันธพาลตัวน้อยนี้จะกลัวผู้ใดได้ ผู้ใดสามารถทำให้เ้าตัวแสบแห่งวังหลังไก่บินสุนัขะโ [8] จนแม้แต่ไก่และสุนัขก็ไม่เป็สุข [9]?
นอกจาก...จิตใจของมู่จื่อหลิงก็ตื่นตัวขึ้นทันที สายตาของนางหันไปที่รถม้าอีกครั้ง พูดให้ถูกคือ มองไปยังม้าสีนิล
ยิ่งดูยิ่งคล้าย แทบจะแกะออกจากแม่พิมพ์เดียวกันกับม้าเปินเหลย
ไม่ นั่นมันม้าเปินเหลย หัวใจของมู่จื่อหลิงเต้นแรง คนผู้นั้นที่อยู่ในรถม้าสุดหรู...คือหลงเซี่ยวอวี่หรือ?
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตาดูที่จมูก จมูกดูที่หัวใจ (眼观鼻鼻观心) เป็วลี มีความหมายว่า ก้มหน้าลงโค้งคำนับอย่างอึดอัดใจ ทั้งยังจดจ่ออยู่กับมันด้วยจิตที่มีสมาธิ จิตที่ไม่ฟุ้งซ่าน หรือรอรับโทษอย่างละอายใจ
[2] ใจแคบเท่าไส้ไก่ (睚眥必報) เป็สำนวน มีความหมายว่า ใจแคบอย่างยิ่ง แม้แต่ความขุ่นเคืองเพียงเล็กน้อยก็ยังต้องแก้แค้น
[3] ยื่นขาสุนัข (狗腿的伸手) เป็วลี มีความหมายว่าคนที่อยู่ด้อยกว่า้าพึ่งพาคนมากอำนาจหรือนายของตน จึง้ายึดนายเป็ที่พึ่ง ส่วนมากใช้ยามที่คนทำเื่ไม่ดีมา จากนั้นจึงมาขอความช่วยเหลือจากคนที่มีอำนาจ
[4] กลายเป็ขี้เถ้า (化成灰) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า จดจำได้เป็อย่างดี ส่วนมากใช้กับสิ่งที่จำได้แม้ไม่อยากจำ เช่น จำความแค้น ความโกรธ เป็ต้น
[5] มดบนกระทะร้อน (热锅上的蚂蚁) เป็สำนวน มีความหมายว่า อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือร้อนใจ เทียบกับสำนวนไทยจะใกล้เคียงกับคำว่าเป็ฟืนเป็ไฟ หรือไฟสุมอก
[6] โจโฉก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว (曹操就已经在眼前了) มาจากสำนวน 说曹操, 曹操就到 แปลว่า พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา มีความหมายว่า เมื่อเรากำลังพูดถึงผู้ใดสักคนหนึ่ง คนคนนั้นก็มาถึงพอดี
[7] บ้าระห่ำเทียมชั้นฟ้า (狂拽酷炫吊炸天) เป็วลี มีความหมายว่า ดูดีน่ามองอย่างถึงที่สุด ใช้กับสิ่งที่หรูหรา ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเทียบได้
[8] ไก่บินสุนัขะโ (鸡飞狗跳) เป็สำนวน มีความหมายว่า ถูกข่มขู่จนตื่นตระหนก
[9] แม้แต่ไก่และสุนัขก็ไม่เป็สุข (鸡犬不宁) เป็สำนวน มีความหมายว่าเกิดความโกลาหลจนวุ่นวายไปทั่ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้