“กลุ่มของฉันจะไปจัดการเื่เรือลำเล็กสำรอง และการกดอุปกรณ์ดับไฟฉุกเฉินให้กลุ่มที่ยังไม่รับรู้สถานการณ์ตื่นตัว ส่วนกลุ่มของน้องไปจัดการเื่ปุ่มฉุกเฉิน ขอความช่วยเหลือทางน้ำ จะกลุ่มทหารเรือใกล้ชายฝั่ง กลุ่มกองกำลังปกป้องตนเองในประเทศ หรือเหล่าบอดี้กลุ่มบริษัทของเรา”
“แล้วเจอกันบนฝั่งอีกทีแล้วกันครับ ผมคิดว่าพ่อแม่พวกเรายังไงก็น่าจะปลอดภัยกันอยู่แล้ว”
ทางด้านกลุ่มนนท์ภัทร
กรี๊ด! อ๊าก! อั๊ก!
เสียงบรรยากาศชุลมุนวุ่นวายไปหมด ดวงตาพยายามมองหาแผนที่ของเรือจากสถานการณ์นี้ น่าจะมีมุมบอกว่ามันอยู่ตรงไหนบ้าง
“เวรเอ๊ย! มันไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น! ฉันไม่ได้เรียนความรู้ทางเรือมานะเว้ยเห้ย!” เขาสบถด้วยความโมโห
เมื่อกี้ยังออกคำสั่งอย่างมั่นใจกับน้องชายตนเอง แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะทำได้ไหม การวิ่งวุ่นไปทั่วแบบนี้มันช่วยอะไรได้จริงเหรอ
ผัวะ! พลั่ก! ตุ้บ!
แม้ในใจจะว้าวุ่นแค่ไหน ฝีไม้ลายมือในการสังหารตอบโต้คนหมายเอาชีวิตของว่าที่ผู้นำสมัยถัดไปก็ยังคล่องแคล่วดั่งเดิม อาจจะต้องเปลี่ยนแผน
“คุณชายใหญ่ครับ พวกเราวิ่งหากันแบบนี้มันน่าจะยากเกินไป”
“นั่นสิครับ พากันลงไปดูชั้นล่างสุดดีกว่า น่าจะมีลูกเรือบางคนพาไปเส้นทางหลบหนีแล้วก็ได้”
“ชิ! มันสมบูรณ์แบบเกินไปจนเหมือนเตรียมการล่วงหน้า” นนท์ภัทรสบถ
“หมายความว่ายังไงครับคุณชาย”
“ช่างหัวมัน! หาทางลงไปชั้นล่างแล้วหนีออกจากที่นี่กันเถอะ ก่อนจะพากันตายโหงอยู่กันหมด”
เหล่ากลุ่มผู้นำทั้งหมดจะต้องรู้เื่นี้อย่างแน่นอน เพราะตลอดระยะเวลาสามสิบนาทีในการวิ่งวุ่นไปทั้งชั้น แทบไม่เห็นกลุ่มคนอายุเยอะในการต่อสู้ หรือวิ่งหนีอย่างเอาเป็เอาตายสักคน ราวกับเป็บททดสอบของเหล่าลูกหลานก็ไม่ปาน
ถึงจะไม่ได้เฉลียวฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะเท่าน้องชาย แต่ในสถานการณ์แบบนี้มีหรือที่คนอย่างเขาจะดูไม่ออกกัน ว่ามันต้องเป็แผนการของพวกผู้ใหญ่ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไรก็ตาม คงต้องช่วยเหลือตัวเอง
“จะช่วยเหลือคนอื่นด้วยไหมครับ มีหลายคนที่ไม่มีความสามารถทางด้านศิลปะป้องกันตัวเลย”
“ไม่ต้อง ภารกิจของพวกเราคือการเอาชีวิตรอดกลับไป จะมาตายอยู่กลางอ่าวไทยไม่ได้”
ตึง!
เรือสำราญโคลงเคลงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นี่พวกมันกะจะอัปปางเรือเลยเหรอ บ้าระห่ำอะไรกัน แผนการของกลุ่มไหนกันแน่ พวกลอบสังหารของจริงแน่นอน นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม...นี่มันสนามรบของแท้
ทางด้านกลุ่มนภัทร
เคร้ง!
เสียงดาบปะทะกันระหว่างทายาทตระกูลลำดับสองและฝ่ายตรงข้าม ในยุคที่การถืออาวุธปกป้องตนเองเป็เื่ปกติ มันช่างเหนือความคาดหมายในหลายความหมาย
“ตีฝ่าวงล้อมออกไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องลงไปชั้นล่างให้ได้”
“ครับ คุณชายเล็ก” ทั้งสองขานรับ
มองจากสถานการณ์แล้วมันเป็ของจริง นี่คือแผนลอบสังหารแน่นอน แถมยังเอาชีวิตคนไม่เลือกหน้า โหดร้ายเกินกว่าจะคาดเดา แต่กลับไม่เห็นกลุ่มผู้นำเลยแม้แต่คนเดียว
ตั้งใจให้เหตุเกิดเองสินะ...
ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็คนต้นคิดแผนการแบบนี้ แต่ช่างอำมหิตเหลือทน เพราะทุกคนที่อยู่บนเรือต่างก็เป็ลูกหลานของตนเองทั้งนั้น ไม่ได้มีแต่คนอื่นสักหน่อย
เหล่าลูกเรือชั้นล่างต่างพยายามช่วยชีวิตผู้โดยสารด้วยการจัดสรรลำดับเรือลำเล็กกู้ชีพในการหนีออกไป บางคนรีบไปกดปุ่มฉุกเฉินเพื่อเรียกคนมาช่วยแต่ระยะเวลากว่าจะมาถึงนั้นคงนานพอสมควร
หากไม่มีจำนวนคนมาช่วยหยุดยั้งเหตุการณ์เหล่านี้ จะไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
ทั้งสองกลุ่มมาพบกันชั้นล่างด้วยสถานการณ์ที่เป็รองกว่าอีกฝ่ายมาก เนื่องจากจำนวนคนที่ร่วมต่อสู้กับพวกเขาได้มีไม่ถึงยี่สิบคน ในขณะที่อีกฝ่ายมากันเป็พันชีวิตไม่นับคนชั้นบนอีก
“ถ้าไม่ใช่เรือที่สามารถขับออกไปจากที่นี่ได้ มีหวังตายกันหมดลำแน่” นนท์พูดพลางกัดฟันด้วยความโกรธ
“ผมคิดว่ามีวิธีแล้วครับ” นภัทรออกความเห็น
“อ๋อ! สิ่งนั้นสินะ” นนท์ภัทรหันไปมองทางเดียวกับน้องชายก็ถึงบางอ้อทันที
“ถ้างั้นก็ไปซะ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะจัดการเอง” จนกว่าอีกฝ่ายจะกลับมา เขาจะต้านเอาไว้เอง
“ครับ พี่ พวกนายเองก็ช่วยสกัดเอาไว้ด้วยล่ะ”
ร่างสูงโปร่งะโลงไปอีกทางเพื่อนั่งเจ็ทสกีแล้วขับทะยานไปบนฝั่ง การรอความช่วยเหลือจากทางเรือมันช้าเกินไป อย่างน้อยน่าจะมีเฮลิคอปเตอร์มาลำเลียงคนออกไปบ้าง ฝีมือการขับเจ็ทสกีผาดโผนนั้นอยู่ในสายตาของเหล่าผู้นำตระกูลทั้งหมดในวันนี้ รวมถึงสัญญาณที่จะเข้าไปช่วยเหลือด้วยอีกฝั่งหลังจากรอเวลามาพอสมควร
หากไม่เข้าไปช่วยเหลืออาจจะไม่เหลือใครสักคน
“ที่รักคะ ฉันเพิ่งรู้วันนี้เองว่าลูกของเราขี่เจ็ทสกีเก่งขนาดนี้”
“อย่าว่าแต่คุณเลย ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
“ฉันเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าลูกสะใภ้จะเก่งแบบนี้” ผู้นำตระกูลอลันเอ่ยปากชม
ถ้าให้พูดกันตามตรงจากที่ดูฝีมือในการเอาชีวิตรอดวันนี้ นอกจากลูกบ้านของเขากับบ้านของเพื่อน บ้านอื่นยังความสามารถต่ำเกินไป หากไม่มีคนคุ้มกันคงไม่มีชีวิตรอดกันขนาดนี้
นภัทรขี่เจ็ทสกีทะยานออกมาสักระยะ ทักษะขับขี่ไม่เป็สองรองใคร เพราะชอบเล่นเป็ทุนเดิม ก็เริ่มมีเรือขับตามมาหวังไม่ให้ขอความช่วยเหลือ ไอ้พวกบัดซบ อยากให้ตายหมู่กันหมดนี้เลยหรือไง แล้วเมื่อไหร่พวกผู้ใหญ่จะมาวะเนี่ย
ปัง! ปัง! ปัง!
ะุปืนจากมือของนภัทรยิงเข้าถังน้ำมันเรือหลายลำที่หวังตามติดมาด้วย มือซ้ายถือปืนมือขวาบิดคันเร่งความเร็วของเจ็ทสกีไปมา เรียกได้ว่าความเชี่ยวชาญสู้รบทางน้ำนั้นเหนือกว่าศัตรูมากนัก ตอนแรกสมัยเด็กไม่เคยเข้าใจว่าบ้านเมืองพัฒนาไปไกลมากกว่าเดิมหลายเท่า ทำไมต้องมาจับอาวุธต่อสู้ เพราะถูกเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านมาตลอด
ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ไม่เคยขัดพ่อแม่สักครั้ง แถมยังไม่เคยโดดซ้อมวิชาศิลปะป้องกันตัวที่เรียกแยกต่างหากจากที่โรงเรียนด้วย และเริ่มมาเข้าใจในวันที่เริ่มไปงานเลี้ยงตอนสิบขวบ ถ้าไม่มีทักษะการต่อสู้เลย มีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้นที่เป็กำลังให้ได้ การสลัดรถให้หลุดในวันนั้นคงยากเกินไป เพราะมัวแต่ห่วงหน้าภวังค์หลังกับลูกน้อย แต่ไม่ใช่กับพวกเราสองพี่น้อง
ดวงตากลมโตมองเห็นเรือลำใหญ่มากกว่าห้าลำกำลังมาทางนี้ มีทั้งทหารและคนของบริษัทชั้นนำระดับประเทศ หลักฐานเท่านี้บ่งบอกชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันจริง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสืบหาความจากใคร รีบนำทางพาไปควบคุมสถานการณ์ดีกว่า โชคดีที่เจ็ทสกีนี้มีโทรโข่งพอดีราวกับมีใครวางแผนเอาไว้
“รบกวนตามมาทางนี้หน่อยครับ! ้าความช่วยเหลือด่วน!”
นภัทรไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินเสียงมากน้อยแค่ไหน แต่ตั้งใจเปิดเสียงให้ดังที่สุดรวมถึงส่งเสียงตนเองให้ดังมากพอให้ได้ยิน สำหรับอีกฝั่งที่ได้ยินเสียง โบกธงตอบรับกลับมารวมถึงมีการแจ้งล่วงหน้าก็พากันขับเรือตามมาทันที
12 กันยายน พ.ศ. 3605
ราชอาณาจักรไทย
ชลบุรี
เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารลูกหลานนักธุรกิจชั้นนำทั่วมุมโลกในงานเลี้ยงครบรอบบริษัทชั้นนำระดับประเทศ
จำนวนผู้เสียชีวิต ลูกเรือ 203 คน ลูกนอกสมรส 150 คน ทายาทสายตรง 15 คน
“เื่ราวในครั้งนี้เป็แผนของใครครับ” นนท์ภัทรตัดสินใจพูดหลังจากมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“เหล่าผู้นำตระกูลแทบทุกตระกูลในเรือลำนี้ คนที่ไม่เห็นด้วยมีแค่เพื่อนพ่อ และกลุ่มผู้นำทั้งเจ็ดของไทย แต่ใครมันจะไปสู้เสียงข้างมากได้กันล่ะ จริงไหม” พิพัฒน์ตอบพลางยักไหล่
นภัทรไม่สบอารมณ์ขึ้นมาหลังจากได้ยินคำตอบ แต่ละคนความคิดไม่ปกติสุดๆ พวกมันบ้าไปใหญ่แล้ว ถึงได้พยายามทดลองการเอาชีวิตรอดที่หมายถึงว่าตายจริง
“พูดไม่ออก เหมือนมีแต่คนบ้าทั้งนั้น” นภัทรพูดเสียงเข้ม
“เื่นี้แม่เห็นด้วย มีแต่คนบ้า พวกเราค้านอะไรไม่ได้เลยสักนิด” เนตรดาวผสมโรงด้วย
“ความเป็จริงมักโหดร้ายเสมอ และอาจจะมีอะไรมากกว่านี้ สร้างมิตรไว้ย่อมดีกว่าศัตรู จริงไหมลูก”
“ครับ พ่อ” ทั้งสองขานรับ
3 มกราคม พ.ศ. 3610
ราชอาณาจักรไทย
กรุงเทพ
“มันถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะต้องเล่าเื่เมื่อสิบปีก่อนให้ลูกฟัง อายุของลูกคนเล็กโตพอจะแบกรับความทรงจำที่สูญหายไปได้สักที แม้ว่าจะเกิดเื่อะไรตามมาก็ตามที”
“ได้ค่ะที่รัก ถ้างั้นพวกเราไปเรียกลูกมาคุยดีกว่า”
“ถ้างั้นผมจะทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นกับเื่นี้ เผื่อน้องจะกังวลใจแล้วมาปรึกษาผม มีคนรองรับหลายคนจะดีกว่า”
