มีประกายความชื่นชมในแววตาของหลงเฟยเยี่ยโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เขาหยิบถุงเงินออกมาและโยนมันให้กับหานอวิ๋นซี ทว่าหานอวิ๋นซีกลับโยนกลับไป แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ขอดูพิษก่อน หากรักษาได้ จะให้เงินตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
เป็สาวน้อยที่รักเงินแต่ไม่โลภสินะ
หลงเฟยเยี่ยหันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร หานอวิ๋นซีก็รีบตามไป
แม่เ้า! ข้างนอกลมแรงเหลือเกิน หนาวกว่าข้างในถึงสองเท่า! หลงเฟยเยี่ยเดินอย่างรวดเร็ว หานวิ๋นซีก็วิ่งตามมาติดๆ พลางคิดในใจว่า ออกจากประตูแล้วขึ้นรถม้าเลยไม่ได้หรือ?
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อมาถึงประตูลานดอกบัว หลงเฟยเยี่ยจะหยุดฝีเท้าลง
หานอวิ๋นซีซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขาเพื่อหลบลม ตัวสั่นเทาและถามว่า “มีสิ่งใดหรือ?”
หลงเฟยเยี่ยหันกลับมาโดยไม่คาดคิด อ้าแขนออกและยกเสื้อคลุมกว้างขึ้น จากนั้นก็พูดอย่างเ็าและเอาแต่ใจว่า “เข้ามา”
ลมทำให้เสื้อคลุมของเขาปลิวไสว ท่ามกลางคืนที่มืดมิด ใบหน้าที่เ็าและคิ้วที่เรียวยาวของเขาราวกับเทพแห่งความมืดที่มองลงมาหานางจากเบื้องบน
หานอวิ๋นซีมองด้วยความตกตะลึงและไม่เข้าใจความหมายของเื่นี้เป็เวลานาน
หลงเฟยเยี่ยที่ไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น ก็ยื่นมือหนาออกไปดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน ทันทีที่เขาวางมือลง เสื้อคลุมตัวใหญ่ก็โอบนางไว้แน่น ปกป้องจากลมหนาว
ทันใดนั้น หัวใจของหานอวิ๋นซีก็เต้นแรงและเร็วขึ้น นางรู้สึกว้าวุ่นเหลือเกิน...
พระเ้า! ร่างกายของเขาอบอุ่นและมีกลิ่นหอมของอำพันทะเล หรือความรู้สึกของการอยู่ภายใต้ปีกนางฟ้าในตำนานมันเป็อย่างนี้หรือ? อบอุ่นจัง!
ยังไม่ทันที่หานอวิ๋นซีจะได้สติกลับมา หลงเฟยเยี่ยก็โอบนางไว้และเดินทางไปยังทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว...
หานอวิ๋นซีถูกห่อตัวด้วยเสื้อคลุม และเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของหลงเฟยเยี่ย ความเร็วในการเหาะของหลงเฟยเยี่ยนั้นเร็วกว่าการนั่งรถม้าเสียอีก!
ในคืนที่มืดมิด นอกจากแสงไฟที่กะพริบเป็ครั้งคราว มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน นางจึงไม่รู้ว่าเขาจะพานางไปที่ใด แต่ก็รู้สึกสบายใจอย่างมากอยู่ดี
แม้ว่าร่างกายของนางจะอบอุ่น แต่ลมที่ปะทะใบหน้าเข้ามานั้นเย็นและรุนแรงเหมือนมีดที่กรีดลงมา สุดท้ายหานอวิ๋นซีก็ทนไม่ได้อีกต่อไป
นางหันหน้าไปด้านข้างและก้มศีรษะลงอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในที่สุด นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามหันไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง
นางที่ขยับตัวและเห็นว่าหลงเฟยเยี่ยไม่ตอบสนองอะไร นางจึงกล้ามากขึ้น ยื่นแขนไปข้างหลังเขา หันไปด้านข้างและมุดศีรษะลงที่ตัวเขา
ครั้งนี้ถือได้ว่ามันอบอุ่นอย่างสมบูรณ์
หากจะบอกว่าไม่ประหม่าก็คงเป็การโกหก นางตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าหลงเฟยเยี่ยไม่คัดค้านอะไร นางจึงค่อยๆ ผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่น
หลงเฟยเยี่ยจ้องไปข้างหน้าและรักษาความเร็วในการเหาะ อย่างไรก็ตาม มุมปากที่เ็าและเด็ดเดี่ยวของเขาโค้งงอในบางจุด ราวกับว่ากำลังดูถูกความขี้ขลาดของนาง แต่ก็ดูเหมือนจะเล่นกับความกล้าหาญของนางเช่นกัน ดวงตาสีดำของเขาทั้งลึกลับ มีเสน่ห์ และเข้าใจยาก
เขาพานางข้ามกำแพง ข้ามสันเขามา นางรู้สึกเพียงลมที่พัดผ่านมาข้างๆ เท่านั้น ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองง่วงนอนและเผลอหลับไปั้แ่เมื่อไร
จนกระทั่งหลงเฟยเยี่ยพานางลงมาและยืนอยู่บนพื้นดิน นางจึงจะรู้สึกตัว เมื่อโผล่ศีรษะออกมาจากอ้อมแขนของเขา จึงพบว่าตัวเองอยู่บนหน้าผาสูงแห่งหนึ่ง ตอนนี้ก็เป็เวลาเช้าตรู่
หลงเฟยเยี่ยมองลงมา “เ้าปล่อยข้าได้แล้ว”
เอ่อ...นางผงะไปชั่วขณะ เพิ่งจะรู้ตัวว่าชายผู้นี้ปล่อยนางนานแล้ว แล้วมือของนางก็ไปกอดเอวเขาจากด้านหลังตอนไหนก็ไม่รู้!
หานอวิ๋นซีใบหน้าแดงก่ำ และดึงแขนกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับไฟฟ้าช็อต และถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเขาออก
ทันทีที่นางถอดเสื้อคลุมออก ความหนาวเย็นก็มาจากทุกทิศทุกทาง แต่หานอวิ๋นซีก็ยังรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนมาก
นางไม่มองเขา พยายามเมินเฉยต่อความอับอายและพูดเบาๆ ว่า “มาทำอะไรที่นี่?”
หลงเฟยเยี่ยมองไปที่ท้องฟ้าและพูดว่า “รออีกหนึ่งเค่อ”
แปลก ชายผู้นี้พานางมาที่นี่เพื่ออะไร เขาไม่้าล้างพิษ?
อีกหนึ่งเค่อจะมีคนมาหรือ?
หานอวิ๋นซีไม่ได้ถามอะไรอีก มองสภาพแวดล้อมโดยรอบๆ และพบว่ามีูเามากมายรอบตัวซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือที่ไหน อย่างไรก็ตาม ตรงหน้ามีเหวลึกอยู่ใต้หน้าผา ด้วยเพราะหมอกยามเช้ายังไม่จางหายไปจึงมองไม่เห็นเบื้องล่าง แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมา ก็ย้อมท้องฟ้าสีขาวให้กลายเป็สีทองซึ่งงดงามมาก
หานอวิ๋นซีไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นมานานแล้ว ในขณะที่กำลังมองอย่างเหม่อลอย จู่ๆ ก็มีเสียงเตือน “ตู๊ดตู๊ดตู๊ด” ดังขึ้นในหัวของนาง
มีพิษหรือ?
พิจารณาจากจังหวะและระดับเสียงของเสียงแจ้งเตือน พิษนี้ไม่ธรรมดาและมีปริมาณมาก!
หานอวิ๋นซีตื่นตัวในทันที และหันศีรษะไปมองหลงเฟยเยี่ยซึ่งกำลังดูพระอาทิตย์ขึ้น “แถวนี้มีพิษอยู่ สรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลงเฟยเยี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
“พิษนี้แปลกมาก บอกข้ามา ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” หานอวิ๋นซีพูดอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน หลงเฟยเยี่ยก็มองไปยังเหวที่อยู่ใต้เท้า “เหวนี้เต็มไปด้วยหมอกพิษตลอดทั้งปี มันจะจมลงสู่ก้นบึ้งในตอนกลางคืนและจะลอยขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น”
หานอวิ๋นซีประหลาดใจอย่างมาก นางคิดไม่ถึงว่าพิษจะไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์ แต่กลับเป็พิษในอากาศ
“เ้าอยากลงไปหรือไม่” หานอวิ๋นซีถาม
“ด้านล่างมีสายลับจากอาณาจักรทางเหนือซ่อนตัวอยู่ ซึ่งเก่งกาจเื่การใช้ยาพิษ” หลงเฟยเยี่ยพูดอย่างใจเย็น
ปรากฏว่าเขาจะมาจับกุมผู้คน แต่กลับถูกหมอกพิษขวางไว้จึงไม่สามารถลงไปได้
หานอวิ๋นซีจ้องมองหมอกสีขาวที่ลอยขึ้นช้าๆ คิ้วก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ จะไม่ใช่อย่างที่หลงเฟยเยี่ยเข้าใจ!
“ทำได้หรือไม่?” หลงเฟยเยี่ยถาม
ขณะเดียวกัน เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อแล้ว ท่ามกลางหมอกสีขาว มวลของอากาศสีดำปรากฏขึ้นอย่างเบาบางและเสียงเตือนในหัวของหานอวิ๋นซีก็ถึงจุดสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า อากาศสีดำก็ลอยเข้ามาในหุบเขาอีกครั้งและหายไป
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ เมฆหมอกสีดำกลุ่มนี้เป็พิษมากที่สุด” หลงเฟยเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใครจะรู้ว่าหานอวิ๋นซีจะพูดว่า “นี่ไม่ใช่หมอกพิษ”
หมอกพิษที่หลงเฟยเยี่ยพูดถึงนั้น แท้จริงแล้วคือจั้งชี่[1] คืออากาศที่เป็พิษจากูเาและป่าไม้ซึ่งปรากฏขึ้นในปลายฤดูใบไม้ผลิและมากันในปลายฤดูใบไม้ร่วง หากมีอุณหภูมิไม่เพียงพอ จั้งชี่ก็จะไม่สามารถก่อตัวได้
ตอนนี้เป็ฤดูหนาวแล้ว ขนาดอยู่บนยอดเขาที่ดวงอาทิตย์สาดแสงลงมาก็ยังหนาวแทบตาย แล้วจะไปนับประสาอะไรกับในหุบเขาอันร่มรื่น?
“เช่นนั้นมันคืออะไร?” หลงเฟยเยี่ยใ
ครั้งหนึ่งเขาเคยส่งทหารระดับสูงกลุ่มหนึ่งลงไป ทว่ายังไม่ทันจะเจอคน ครึ่งหนึ่งของพวกเขาเสียชีวิตหรือาเ็ไป คนที่หนีออกมาได้บอกว่ามีจั้งชี่อยู่ด้านล่าง และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็เสียชีวิตด้วยพิษนี้
สายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขากุมความลับทางทหารที่สำคัญของอาณาจักรเทียนหนิงไว้ หากหลบหนีออกไป ผลที่ตามมาคือหายนะ
เขาไล่ตามมานานกว่าหนึ่งเดือน และครั้งสุดท้ายที่เขาถูกวางยาก็เป็เพราะสายลับนั่นเช่นกัน
สายลับคนนี้ร้ายกาจมาก จะใช้ยาพิษในตอนสุดท้ายเท่านั้น และก่อนหน้านั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะใช้ยาพิษ
เมื่อหลงเฟยเยี่ยไล่ล่ามาถึงที่นี่ สายลับก็แฝงตัวอยู่ในหุบเขาและไม่ออกมาอีกเลย
“น่าจะเป็ฝูงยุงพิษ”
หานอวิ๋นซีเองก็ประหลาดใจเช่นกัน นางไม่คาดคิดว่าจะเจอเื่แบบนี้
มีบันทึกไว้ในหนังสือโบราณหลายเล่มว่าหลังจากเมฆหมอกปกคลุมผู้คนจะได้รับพิษและเสียชีวิต บรรยากาศอึมครึมที่เต็มไปด้วยพิษร้ายนี้ถือเป็จั้งชี่ แต่แท้จริงแล้วมวลของอากาศสีดำนั้นไม่ใช่อากาศจริงๆ แต่เป็มวลของยุงที่บินมารวมกัน ทำให้คนโบราณเข้าใจผิดคิดว่าเป็กลุ่มมวลอากาศ
ยุงชนิดนี้เป็พาหะนำเชื้อโรคมาลาเรีย เมื่อถูกยุงกัดแล้วคนและสัตว์จะติดเชื้อมาลาเรียและตายในไม่ช้าเหมือนถูกวางยาพิษ
ภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ เป็ไปไม่ได้ที่จะผลิตเชื้อมาลาเรียได้ และมีความเป็ไปได้ค่อนข้างมากที่จะมียุงพิษซ่อนอยู่ในหมอกของหุบเขา
“ฝูงยุงพิษ?” หลงเฟยเยี่ยได้ยินคำนี้เป็ครั้งแรก
“หมอกสีขาวไม่มีพิษ และอากาศสีดำมาจากยุงพิษ เมื่อแสงไม่เพียงพอ มันเลยดูเหมือนกลุ่มอากาศสีดำ ดังนั้นพวกท่านเข้าใจผิดกันทั้งหมด” หานอวิ๋นซีอธิบายอย่างจริงจัง จากนั้นก็พูดว่า “พาข้าลงไป ข้าต้องเข้าใกล้มวลสีดำกลุ่มนั้นถึงจะรู้ว่าเป็ยุงพิษชนิดใด”
ยุงพิษสมัยนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมัยโบราณที่ยังไม่สูญพันธุ์อีกหลายชนิดและมีมากกว่าสมัยนี้อย่างแน่นอน
หานอวิ๋นซี้าแน่ใจว่านางรู้จักหรือไม่ และจะสามารถทำยากันยุงที่มีประสิทธิภาพออกมาได้หรือไม่
หลังจากยืนยันว่าหมอกสีขาวไม่มีพิษ ทุกอย่างก็ง่ายสำหรับหลงเฟยเยี่ย โดยไม่พูดไม่จา เขาคว้าเอวของหานอวิ๋นซีและะโลงไป
ทันทีที่เข้าไปในหุบเขา ระบบล้างพิษของหานอวิ๋นซีก็ตรวจพบสารพิษอีกครั้ง ในไม่ช้านางก็กำหนดทิศทางได้ “อยู่ทางขวา” หลงเฟยเยี่ยกอดนางแน่นและบินไปในทันที อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อระบบการล้างพิษเตือนนางว่ากำลังเข้าใกล้พิษ มันก็เตือนขึ้นมาอีกครั้งว่ามีพิษอยู่ทางด้านซ้ายเช่นกัน
หรืออาจจะ...มากกว่าหนึ่งฝูง?
หานอวิ๋นซีใ ใครจะรู้ว่าในเวลานี้ระบบการล้างพิษได้แจ้งเตือนอย่างเร่งด่วนขึ้นลงทั้งสองด้าน
พระเ้า ขึ้น ลง ซ้าย ขวา สี่ทิศ นี่้าล้อมพวกเขางั้นหรือ?
“พวกเราถูกล้อมแล้ว” หานอวิ๋นซีกระซิบ
ก่อนที่จะพูดจบ หลงเฟยเยี่ยก็เห็นสิ่งที่คล้ายหมอกสีดำล้อมรอบอย่างรวดเร็วจากทุกด้าน
หลงเฟยเยี่ยไม่คาดคิดว่าจะมีถึงสี่ฝูง ทว่าเขาก็สงบและถามอย่างเ็าว่า “ต้องเข้าใกล้เพียงใดจึงจะตรวจพิษได้?”
“รีบไปกันเถอะ มันอันตรายเกินไป! ความเร็วของพวกมันเร็วมาก” หานอวิ๋นซีตัดสินใจวิ่งหนีทันที
แต่หลงเฟยเยี่ยกลับพูดอย่างเ็าว่า “ตอบคำถามข้า”
“สิบก้าว ห่างแค่สิบก้าว ข้าก็รู้แล้วว่ามันคือพิษอะไร!” หานอวิ๋นซีตอบตามความเป็จริง
สิบก้าว หากดูจากความเร็วปัจจุบันของฝูงยุงพิษที่ใกล้เข้ามาแล้ว หลังจากสิบก้าวออกไป หากจะเข้าใกล้พวกมันก็ต้องใช้เวลาสักครู่ ไหนจะถูกพวกมันล้อมรอบสี่ทิศอีก
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเมื่อยุงพิษทั้งสี่ทิศอยู่ห่างจากพวกเขาประมาณสิบก้าว เพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็จะจมอยู่ในหมอกสีดำทันที
ยิ่งไปกว่านั้น หากนางถูกพิษขึ้นมา จะทำอย่างไรล่ะ?
ในขณะที่นางกำลังกังวล หลงเฟยเยี่ยกลับพูดเพียงว่า “เช่นนั้นก็รอ”
“ไม่ได้!” หานอวิ๋นซีะโ เฝ้าดูฝูงยุงพิษเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนนางจะได้ยินเสียงหึ่งๆ ที่น่ากลัวและน่ารำคาญ
“เตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบ” หลงเฟยเยี่ยออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ
นี่ไม่ใช่พิษธรรมดา แต่ฝูงยุงพิษ ฝูงยุงพิษสี่ฝูงที่ผ่านไปนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าความรู้สึกว่าถูกฝูงละมั่งฝูงใหญ่เหยียบทับเสียอีก
หานอวิ๋นซียอมรับว่านางขี้ขลาด นางจึงะโไปว่า “ไม่ได้ ข้ากลัว!”
อย่างไรก็ตาม หลงเฟยเยี่ยกลับกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาและพูดอย่างเ็าว่า “ข้าอยู่ที่นี่ เ้าไม่ต้องกลัว!”
เอาแต่ใจ! ดื้อรั้นสุดๆ!
หานอวิ๋นซีเกลียดชายที่จองหอง เอาแต่ใจและไม่มีเหตุผลมากที่สุด แต่ในตอนนี้ นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด กลับกันหัวใจของนางเต้นแรงเสียด้วยซ้ำ นางรู้สึกสงบลงโดยไม่มีเหตุผล
ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่คนอื่นได้
ขณะนี้ ฝูงยุงพิษจากสี่ทิศเข้ามาพร้อมกัน
“พร้อมหรือยัง?” หลงเฟยเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว หานอวิ๋นก็แสดงความเป็มืออาชีพ เปิดใช้งานระบบสแกนอย่างเต็มที่และให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวจากที่มืดทั้งสี่ทิศทาง จากนั้นก็พูดด้วยอย่างหนักแน่นว่า “พร้อมแล้ว”
—-------------------------------
[1] จั้งชี่(瘴气)คือ ไข้จับสั่น เป็โรคระบาดที่น่ากลัวและรุนแรงมากในยุคสมัยจีนโบราณ โดยจะมีอาการหนาวสั่น ไข้สูง และเหงื่อออกมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย ระบาดโดยการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ในปี 754 ที่เมืองยูนนาน มีทหารเสียชีวิตด้วยโรคนี้ไปกว่าสองแสนคน