ลู่เต้าหวนนึกถึงสมัยเด็กขึ้นมา วันที่เขาตั้งตารอมากที่สุดคือวันที่คาราวานวาณิชจะเดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาขาวในแต่ละเดือน
คาราวานวาณิชจะนำสิ่งที่หมู่บ้านเมฆาขาวไม่มีมาแลกเปลี่ยน อย่างเช่น เกลือ น้ำตาล ข้าวสาร งานฝีมือ เป็ต้น ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านก็จะนำของป่าที่หามาได้แลกกับสิ่งของที่้าเ่าั้
ถึงแม้ลู่คงจะใช้เพียงเนื้อสัตว์ป่าและหนังสัตว์ที่ล่ามาได้มาแลกกับวัตถุดิบที่จะช่วยให้ลู่เต้าทะลวงจุดชีพจร แต่ทุกครั้งที่ลู่เต้าไปหาคาราวานวาณิช พวกเขาก็มักจะให้ขนมหวานเขาเสมอ ทั้งยังเล่าเื่ราวของโลกภายนอกว่าอันตรายเพียงใดให้ฟังอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยเื่ราวอันน่าตื่นตาตื่นใจ
เื่ราวเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่ลู่คงไม่เคยเล่าให้เขาฟังมาก่อน ลู่เต้าในวัยเยาว์จึงรู้เป็ครั้งแรกว่าบนโลกใบนี้หาได้มีเพียงเขายักษาและดงป่าผีคร่ำครวญเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยโอกาสและภยันตรายอีกมากมายที่รอคอยให้ผู้คนไปค้นพบอยู่
ลู่เต้ายังจำได้ดีว่าตอนนั้นสมาชิกคนหนึ่งในคาราวานทำท่าทางประกอบขณะเล่าเื่ด้วยความตื่นเต้นว่าโครงกระดูกัโบราณที่ขดตัวอยู่รอบเมืองัทมิฬนั้นยิ่งใหญ่อลังการเพียงใด ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจราวกับได้ประจักษ์ภาพนั้นกับตา ลู่เต้านั่งฟังอย่างตั้งใจ ปากก็กินขนมหวานอยู่บนพื้น
ทว่า...ภาพนั้นไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกแล้ว
“ทุกคนล้วนเป็คนดี ไฉนถึงต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ด้วย...” ลู่เต้าเอ่ยอย่างเสียใจพลางจับมือสมาชิกคาราวานวาณิชคนหนึ่ง
ไม่เพียงแต่จะถูกตัดศีรษะเท่านั้น ทั้งยังนอนตายอนาถอยู่ในป่าเปลี่ยว แม้แต่ิญญาก็ยังถูกผู้ฝึกิญญานำไปเป็วัตถุดิบหลอมรวมเงากวนอิม
ขณะที่ไป๋เสียกำลังกังวลว่าชายร่างสูงจะฉวยโอกาสโจมตีหรือไม่นั้น ลู่เต้าก็ฝืนทนต่อกลิ่นเหม็นเน่าและเสียงแมลงวันที่บินหึ่งอย่างน่ารำคาญได้ จึงเริ่มนำศพมากองรวมกันแล้วจุดไฟเผา
ั์ตาไร้ชีวิตชีวาของลู่เต้าสะท้อนเปลวเพลิงลุกโชน ศพไร้ศีรษะถูกเพลิงไหม้เผาผลาญไปทีละร่าง ก่อนที่เสียงไป๋เสียจะดังขึ้นข้างหูลู่เต้าแ่เบา “เ้าช่างชอบยุ่งเื่ชาวบ้านเสียจริง”
“พวกเขาก็เคยผ่านเข้ามาในชีวิตข้า ทำเช่นนี้แล้วรู้สึกสบายใจกว่า” สายลมร้อนพัดพาประกายไฟปลิวมาต้องปอยผม ลู่เต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“หึ ตามใจเ้าก็แล้วกัน” เมื่อได้เวลาพักหายใจ ไป๋เสียก็ค่อยๆ คืนสติกลับมา เพียงแต่กว่าจะฟื้นฟูพลังได้อย่างสมบูรณ์นั้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน
หลังจากจัดการศพเรียบร้อยแล้ว ลู่เต้าก็ทุบทำลายรูปปั้นหินพระโพธิสัตว์กวนอิม เพื่อไม่ให้มีเงากวนอิมมาทำร้ายผู้อื่นได้อีก
เมื่อจางเฟิงที่แอบซุ่มดูอยู่เห็นว่ารูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมถูกทำลาย ก็โกรธเสียกัดฟันกรอด อยากจะจับลู่เต้ามาหั่นเป็ชิ้นๆ
รู้หรือไม่ว่าเขาต้องทำเื่เลวร้ายมามากเพียงใดกว่าจะได้รับรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ให้กำเนิดเงากวนอิมจากท่านเ้าสำนักได้
เงากวนอิมตัวแรกถูกทำลายไปก็ช่างเถอะ ขอแค่มีรูปปั้นที่ให้กำเนิดอยู่ที่นี่ เขาอยากจะสร้างเงากวนอิมขึ้นมากี่ตัวก็ย่อมได้ แต่การกระทำของลู่เต้าในครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับทำลายความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขาทั้งหมด
เหมือนกับการตัดอวนจับปลาของชาวประมง ฐานที่มั่นของจางเฟิงในฐานะผู้ควบคุมิญญาถูกทำลายจนสิ้นซาก บัดนี้เขาไม่มีทางถอยแล้ว การแย่งชิงศัสตราิญญาอันล้ำค่าในมือลู่เต้าจึงเป็ทางรอดเดียวของเขา!
หลังจากจัดการกับรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมเรียบร้อยแล้ว ลู่เต้าที่เหงื่อท่วมตัวก็รู้สึกคอแห้งผากราวกับจะพ่นควันออกมาได้
“คอแห้งจัง...” ลู่เต้าเอามือลูบคอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อยากดื่มน้ำเหลือเกิน...”
“ใครใช้ให้เ้าชอบยุ่งเื่ชาวบ้านเล่า ตอนนี้ลำบากแล้วสิ”
ลู่เต้าเบิกตากว้าง จอมมารผู้นี้ช่างจู้จี้ขี้บ่นเสียจริง ทำไมไม่เฉียบขาดให้มันรู้แล้วรู้รอด ยังจะมาพูดเื่นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก
ลู่เต้าที่ริมฝีปากซีดเซียวและแห้งผากกำลังจะโต้ตอบ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นะเืพัดผ่านหลัง เหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ เขาหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น
ขณะที่เขากำลังสงสัยว่าตนเองกระหายน้ำมากเกินไปจนเกิดภาพหลอนหรือไม่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กน้อยหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมาจากเื้ั ขณะเดียวกันหางตาเขาก็เหลือบเห็นเงาสีขาวเล็กๆ พุ่งผ่านข้างเท้าไป
ลู่เต้าไล่มองตามเงาสีขาวนั้นไป สุดท้ายเด็กชายตัวน้อยที่ทั้งร่างขาวซีดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
“คนพวกนั้น...” ลู่เต้าเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แม้แต่เด็กตัวแค่นี้ พวกมันก็ไม่เว้นเลยหรือ”
“เดี๋ยวก่อน” ไป๋เสียเห็นเด็กชายตัวน้อยผ่านสายตาของลู่เต้าเช่นกัน “ดูเหมือนเขามีอะไรจะบอก”
“อะไรนะ” ลู่เต้าขมวดคิ้ว เตรียมตัวตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กชายตัวน้อย้าจะสื่อ
แต่เด็กชายตัวน้อยกลับไม่เปล่งวาจาใด เพียงแต่ยิ้มแล้วโบกมือเรียกลู่เต้า ก่อนจะเดินนำหน้าไปสองสามก้าว แล้วหยุดหันกลับมาโบกมือเรียกเขาอีกครั้ง
“เขาอยากให้เราตามไปอย่างนั้นหรือ” ลู่เต้าเอ่ยอย่างสงสัย
“ิญญาไร้สีไม่มีพิษภัยอันใด ลองตามไปดูก็แล้วกัน” ไป๋เสียกล่าว
ลู่เต้าล้มเลิกความคิดที่จะออกไปหาน้ำ และบังคับตัวเองให้นึกถึงของรสเปรี้ยว ก่อนกัดฟันเดินตามเด็กชายตัวน้อยนั่นไป
เด็กชายตัวน้อยสามารถล่องหนหายตัวได้ เขาเดินนำหน้าโดยไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ ส่วนลู่เต้าทำได้เพียงเดินตามหลังเขาและฝ่าดงไม้ตลอดทางไปอย่างทุลักทุเล
“เขา...” ลู่เต้าเอ่ยอย่างทรมานด้วยความกระหายน้ำ “เขาคิดพาเราไปที่ไหนกันแน่”
“ไม่รู้สิ ิญญานำทางเช่นนี้ไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ เว้นแต่เราจะเดินตามไปจนสุดทาง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรู้ว่าเขา้าสื่ออะไร” ไป๋เสียกล่าว
แค่คิดว่าต้องเดินตามไปอีกไกลแค่ไหน ลู่เต้าก็อ้อนวอนไป๋เสีย “เ้าขึ้นมาเดินแทนข้าสักพักได้หรือไม่”
“ไม่เอา!” ไป๋เสียปฏิเสธเสียงแข็ง “ตัวก็เหม็นเหงื่อแบบนี้ ยังจะให้ข้าสิงร่างอีกหรือ ไม่มีทาง!”
“...จอมมารก็เื่มากแบบนี้ด้วยหรือ” ลู่เต้าบ่นพึมพำ
เส้นทางเบื้องหน้าถูกม่านหมอกสีขาวโพลนปกคลุมเอาไว้ และในตอนนี้เด็กชายตัวน้อยก็หายวับไปแล้ว
“เขาหายไปไหน” ลู่เต้ามองไปรอบๆ อย่างงุนงง แต่ก็หาไม่เจออยู่ดี
“นี่! เ้าหนู” ไป๋เสียเอ่ยด้วยความยินดี “รีบเอื้อมมือเข้าไปในม่านหมอกสิ!”
ลู่เต้าขมวดคิ้วมุ่น เมื่อหันไปม่านหมอกสีขาวที่พวยพุ่งอยู่เบื้องหน้า ก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะเลือกเชื่อฟังคำพูดของไป๋เสีย เอื้อมมือเข้าไปในหมอกช้าๆ
ในตอนแรกลู่เต้าได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ม่านหมอกนี้เป็เหมือนหมอกพิษบนเขายักษาเลย แต่เมื่อมือัักับม่านหมอก ลู่เต้าก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าภายในม่านหมอกมีเยื่อใสที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ยามปลายนิ้วััเบาๆ ก็มีระลอกคลื่นแผ่ขยาย
“นี่...” ลู่เต้าเพิ่งเคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้เป็คราแรก จึงรู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออก “นี่...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เห็นได้ชัดว่าไป๋เสียรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เสียงของเขาสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น “ดูเหมือนเราจะเจอของดีเข้าแล้ว!”
“อะไรหรือ” ลู่เต้ายังคงกังวลกับภาพเบื้องหน้ามิหาย
“นี่คือทางเข้า ‘มิติลับ’ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ!” ไป๋เสียเอ่ยด้วยความปลุกเร้า “เ้าลองเอื้อมมือเข้าไปในเยื่อใสนั่นสิ”
“มิติลับอย่างนั้นหรือ”
ลู่เต้ายื่นมือออกไปััเยื่อใสอย่างว่าง่าย เพียงแต่พอฝ่ามือเขาผ่านเข้าไปในเยื่อใสนั้นกลับอันตรธานหายไป! ลู่เต้าใจนรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว แต่กลับพบว่าฝ่ามือของเขายังอยู่ดี
ลู่เต้าเบิกตากว้าง ตรวจดูฝ่ามือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้นแน่ใจว่ายังอยู่ติดกับข้อมือดี ก็เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เห็นอยู่แท้ๆ...”
“มิติลับเป็พื้นที่ขนาดเล็กที่ถูกแยกออกจากโลกภายนอก มิอาจมองเห็นภายในได้จากด้านนอก” ไป๋เสียอธิบาย “และหากไม่มีวาสนา ก็มิอาจพบทางเข้ามิติลับได้ รีบเข้าไปสิ! เ้าหนู”
เมื่อลู่เต้าได้ยินไป๋เสียพูดเช่นนั้น ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปในเยื่อใสอย่างไม่ลังเล รอจนกระทั่งร่างกายของเขาผ่านเข้าไปในเยื่อใสแล้ว ม่านหมอกก็สลายหายไปในพริบตา จางเฟิงที่สะกดรอยตามลู่เต้ามาตลอดทางถึงกับยืนงง
จางเฟิงรีบวิ่งไปตรงจุดที่ลู่เต้าหายตัวไป ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าใดก็เปิดทางเข้ามิติลับเหมือนกับลู่เต้าไม่ได้ เป้าหมายหายวับไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว จางเฟิงโมโหจนได้แต่ะโลั่นท่ามกลางดงป่าผีคร่ำครวญอันเงียบสงัด
ส่วนลู่เต้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ตกตะลึงกับทัศนียภาพตรงหน้า ก่อนเข้ามายังมืดมิดอยู่เลย แต่พริบตาที่ผ่านเยื่อใสเข้ามา แสงแดดแผดเผาก็สาดส่องใบหน้าของเขาจนอดสงสัยในชีวิตไม่ได้
พื้นที่ภายในมิติลับไม่ได้กว้างขวางนัก มีเพียงก้อนหิน ต้นไม้ และบ่อน้ำ แม้นภาจะไร้สุริยา แต่กลับสว่างไสว
“ที่นี่...” ลู่เต้าเบิกตากว้างมองภาพเบื้องหน้าที่สว่างไสวราวกับแสงทิวาสาดส่อง
“มิติลับไงเล่า!” ไป๋เสียจ้องบ่อน้ำในมิติลับที่กว้างประมาณสามจั้ง ใบหน้าพลันเปื้อนยิ้มยินดี
