ฮ่องเต้้าเสด็จมาเยี่ยมตระกูลเฟิง และพ่อบ้านชราก็ได้แสดงความสามารถในการจัดการที่ยอดเยี่ยมของเขา ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว ด้านความปลอดภัยของตระกูลเฟิง ได้เพิ่มคนป้องกันดูแลขึ้นสามเท่า ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีแผนการชั่วร้าย เกรงว่าแม้แต่แมลงวันตัวเดียวยังบินเข้ามาไม่ได้กระมัง
อันที่จริงแล้ว ในด้านของอาหารและเครื่องดื่มแทบจะวางไว้เต็มโต๊ะ พ่อครัวที่ได้รับเชิญมาจัดอาหารล้วนมีชื่อเสียงที่สุดในภัตตาคารของกู้หนานเฟิง และส่วนผสมทั้งหมดล้วนเป็วัตถุดิบระดับสูงสุด หรือแม้แต่บางส่วนก็ถูกนำเข้าจากต่างแดน ซึ่งอาจไม่มีแม้แต่ในพระราชวัง
จากนั้นด้านความบันเทิง คณะงิ้วที่ได้รับเชิญถูกเลือกจากหมู่ประชาชนทั่วไป คณะจึงไม่ได้หรูหรา ตามเจตนาของพ่อบ้านชรา คณะงิ้วที่ฮ่องเต้ชมในวังมีแต่คณะที่ยอดเยี่ยม เมื่อพระองค์มาที่ตระกูลเฟิง สิ่งที่ทรง้าก็คือความรู้สึกสดชื่น
และสาวใช้ของตระกูลเฟิง ภายใต้การสั่งสอนของพ่อบ้านชรา พวกนางไม่กล้าแอบมองกู้หนานเฟิงในเวลานี้อีก และไม่กล้าอู้งาน ฮ่องเต้จะเสด็จมา ตราบใดที่ได้เห็นฮ่องเต้ ก็ถือว่าเป็เกียรติแก่ชีวิตของพวกนางแล้ว
หลิวเยว่คิดว่าหากพ่อบ้านชราคนนี้ไปอยู่ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ในกิจการใด เขาย่อมมีความสามารถพอจะได้เป็ประธานบริหารของบริษัทสักแห่ง ตอนนี้แม้แต่นางก็ยังเอาตัวไม่รอด แม้ว่าจวนตระกูลเฟิงจะเพียงพอให้นางซ่อนตัวแล้ว อีกอย่างนิสัยของกู้หนานเฟิง คงไม่ยอมให้นางออกหน้า แต่ถ้านางบังเอิญพบเขาล่ะ? ดังนั้นขณะที่กู้หนานเฟิงและพ่อบ้านชรากำลังตื่นเต้นในการเตรียมต้อนรับการเสด็จมาเยือนของฮ่องเต้ นางก็เตรียมหาวิธีที่จะหลบหนี แผนการครั้งนี้ของนางเพิ่มความรอบคอบมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน นางไม่คิดว่าเตี๋ยเย่ที่อยู่ข้างๆ นางจะมีวรยุทธ์ที่สูงส่ง
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลิวเยว่กำลังวางแผนอยู่นั้น สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คืออวิ๋นซู่และสนมซินจะมาที่ตระกูลเฟิงั้แ่เช้าโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ซึ่งทำให้กู้หนานเฟิงและพ่อบ้านชราประหลาดใจ เหล่าองครักษ์ งานเลี้ยงอาหารค่ำที่เตรียมไว้ และคณะงิ้วต่างยังไม่มาถึง ดังนั้นพ่อบ้านชราจึงกระวนกระวายใจราวกับมดบนหม้อไฟ
พระสนมซินเอ่ยปลอบโยน
“ฮ่องเต้ตรัสว่า มาครั้งนี้ก็เพื่อพูดคุยกับท่านพี่เป็หลัก เป็งานเลี้ยงครอบครัว จึงไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก”
เมื่อพ่อบ้านชราได้ยินเช่นนั้นจึงเบาใจ และกู้หนานเฟิงก็โล่งใจเช่นกัน เนื่องจากเป็งานเลี้ยงของครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก ฮ่องเต้คงไม่ทรงคิดให้จัดงานกึ่งขุนนางให้แก่เขา ซึ่งเป็เช่นนี้ย่อมนับว่าดีที่สุด
ความประหม่าที่ปกคลุมตระกูลเฟิงก่อนหน้านี้สงบลง เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาอย่างกะทันหัน เหตุการณ์นี้ย่อมอยู่เหนือการควบคุมของหลิวเยว่ ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึง นางจึงเริ่มที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ขยับไปไหน
กู้หนานเฟิง ใช้เวลาไม่น้อยเพื่อให้นางออกมา
“หลิวเยว่ ออกมาทำความรู้จักฮ่องเต้และพระสนมซินหน่อยเป็อย่างไร”
เขาไม่้าให้หลิวเยว่กังวล ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงดูสบายๆ
“ข้าไม่ไป ฮ่องเต้และสนมซินต่างก็ร่ำรวย ข้าเป็เพียงสตรีธรรมดา ข้าจะไปพบพวกท่านเพื่ออะไร ไม่น่าขำไปสักหน่อยหรือ”
“ด้วยฐานะอะไร? เ้าก็รู้ ไปกันเถอะ ข้าจะพาเ้าไปทักทายสนมซินก่อน”
กู้หนานเฟิงจำได้ว่า ตอนที่เขาบอกกู้ซินว่าเขา้าแนะนำสตรีคนหนึ่งให้อีกฝ่ายรู้จัก สีหน้าของกู้ซินก็ราวกับเห็นผี นางดูอยากรู้อยากเห็นมากว่าสตรีแบบใดกันที่สามารถสยบคนอย่างกู้หนานเฟิงได้
เมื่อหลิวเยว่ได้ยินเื่นี้ หัวใจของนางแทบจะโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า โชคดีที่นางใช้ชื่อหลิวเยว่แทนชื่อเจินลิ่วซี ตอนนี้นางทำได้แค่แสร้งทำเป็ป่วย และกล่าวอย่างอ่อนแรง
“ข้าไม่สบาย ให้ข้าไปสภาพนี้ดูจะเป็การไม่เคารพต่อการเสด็จมาของฮ่องเต้และพระสนมซินเกินไป”
กู้หนานเฟิงได้ยินเสียงของนางดูอ่อนแรง และใบหน้าของนางก็ดูไม่สู้ดีจริงๆ เขากระทั่งลืมจุดประสงค์หลักของตนเองไปทันที และสนใจแค่สภาพร่างกายของนางเท่านั้น
“เหตุใดเ้าไม่รีบบอกข้า ข้าจะได้เรียกหมอมาดู”
“ไม่ต้องหรอก เ้าไปพบฮ่องเต้และสนมซินเถอะ ข้าอยากนอนพักผ่อนสักคืน”
“แน่ใจนะ?” เขายังคงกังวล
“แน่ใจ เ้ารีบไปหาฮ่องเต้เถอะ อย่าชักช้าเลย”
กู้หนานเฟิงเห็นนางยืนกรานเช่นนั้น แต่เขายังคงไม่วางใจและไม่ยอมจากไป หลังจากที่หลิวเยว่พูดเกลี้ยกล่อมเขาซ้ำๆ เขาถึงได้ยอมจากไป
เมื่อสนมซินเห็นเขากลับมาเพียงลำพัง นางจึงถามเสียงเบา
“แล้วสตรีคนใดที่พี่อยากแนะนำเล่า?”
“นางป่วย กลัวว่าจะติดพวกเ้า จึงไม่ได้ให้นางออกมา”
หลังจากได้ยินเื่นี้ สนมซินก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงแต่ตั้งใจรับใช้ฮ่องเต้
ระหว่างงานเลี้ยงถือเป็การสนทนาที่สนุกสนาน สนมซินไม่เคยคิดว่าพี่ชายของนางไม่เพียงมีความรู้สูงเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถพิเศษในการสนทนาให้น่าสนุกอีกด้วย ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถสงบและกล้าหาญได้เช่นนี้ โชคดีที่ฮ่องเต้ดูอารมณ์ดี แม้จะไม่ได้ตรัสมากนัก แต่ก็ทรงตอบเป็ครั้งคราว และกลายเป็งานเลี้ยงของครอบครัวจริงๆ ไม่มีการเอ่ยถึงราชสำนักเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สนมซินเป็คนฉลาดและเก่งที่สุดในด้านการประเมินสถานการณ์ เดิมทีจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการมาเยือนตระกูลเฟิงในครั้งนี้ก็เพื่อหวังว่าฮ่องเต้จะพระราชทานตำแหน่งกึ่งขุนนางให้พี่ชายตน แต่ในเวลานี้ถ้านางเอ่ยถึงตำแหน่งขุนนาง ย่อมจะเป็การทำลายบรรยากาศ ดังนั้นจึงเป็การดีกว่าที่จะไม่เอ่ยถึง
กู้หนานเฟิงเห็นว่าฮ่องเต้ทรงแตกต่างไปจากครั้งล่าสุดที่เขาอยู่ในเมืองตั้งหยางเล็กน้อย ตอนนั้นฮ่องเต้ลงมืออย่างโเี้ สั่งปะาใต้เท้าจู้ที่ทุจริต และขณะที่พระองค์สั่งปิดประตูเมืองตั้งหยางก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเล แต่ฮ่องเต้ในเวลานั้น โดยเฉพาะในบ้านหลังเก่านั้น เขากลับดูโดดเดี่ยว กระทั่งมีร่องรอยความเปราะบางที่มองไม่เห็นในดวงตาของเขา ทว่ายามที่เขาอยู่ตระกูลเฟิงเวลานี้กลับมีเพียงแต่ความทะนงตนของฮ่องเต้เท่านั้น และนี่คือสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยกันดี
หลังอาหารเย็นก็เป็การแสดงงิ้ว พ่อบ้านชราได้เรียกคณะงิ้วที่เขาเคยติดต่อมาก่อนชั่วคราว โชคดีที่คณะงิ้วนี้มีพื้นฐานความชำนาญและสามารถแสดงละครออกมาได้ดีโดยไม่ต้องซักซ้อมมาก
ที่นี่มีทั้งร้องทั้งเต้น บรรยากาศจึงครึกครื้นมาก
ในอีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ เสียงดนตรีไพเราะดังลอยมาเบาๆ มาถึงหูของหลิวเยว่ได้
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้นางนึกถึงชีวิตที่ฟุ่มเฟือยนั้นขึ้นมา ความเงียบเหงาเสริมให้บทกวีนี้มีความไพเราะ เมื่อมองดูดวงจันทร์ นางก็คิดถึงอวิ๋นซู่ผู้ซึ่งอยู่ไม่ไกล คิดถึงความรักและความเกลียดชังที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้ช่างเหมาะกับคำว่าโลกมนุษย์ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป แม้แต่ความสุขสั้นๆ นี้ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานหรือไม่
นางอยากนอนเร็วๆ แต่ตอนนี้นางไม่ง่วงเลย ยามกลางคืนอากาศในห้องทำให้นางหายใจไม่ออก นางจึงออกไปสูดอากาศข้างนอก
นางเดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆ เดินตามขอบสระบัว เหยียบแสงจันทร์ ครุ่นคิดถึงอนาคตและอดีตของตัวเอง กำลังคิดว่าชะตาชีวิตของนางสมควรไปอยู่ตรงที่ใดในชาตินี้ จมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองจนลืมไปว่าอวิ๋นซู่ยังอยู่ในจวนนี้และนางก็้าหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย แสงจันทร์คืนนี้กลับงดงามมากเสียจนนางเดินเหม่อลอยไปตามสระบัว และเดินมาถึงด้านล่างของศาลา
นางกำลังจะไปนั่งพักที่ศาลาสักครู่ ทว่าจู่ๆ ก็พบว่ามีคนยืนอยู่บนศาลาซึ่งกำลังหันหลังให้นาง คนผู้นั้นคืออวิ๋นซู่ที่ยืนอยู่เพียงลำพัง กำลังจ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์ในระยะไกลโดยไม่ขยับเขยื้อน
บรรยากาศที่เงียบสงัด บริเวณรอบๆ ภายใต้แสงจันทร์สีขาวและท่ามกลางจักรวาลแห่งนี้ เงาร่างนั้นราวกับจะหลอมรวมเข้ากับโลก
หัวใจของหลิวเยว่เต้นรัวเร็ว นางหันหลังวิ่งจากไปด้วยความเ็ป นางคิดไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นซู่จะออกมาตามลำพัง แต่โชคดีที่เขาไม่มีผู้ติดตามตามออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นนางคงถูกพบตัวแล้ว
ชั่วขณะที่นางหันกลับไป อวิ๋นซู่ซึ่งอยู่บนศาลาก็บังเอิญหันกลับมาและมองเห็นนาง พวกเขาสบตากันอย่างน้อยก็หนึ่งวินาที ดวงตาของเขาเฉียบแหลม เขามองหลิวเยว่ที่อยู่ด้านล่างศาลาด้วยความไม่อยากเชื่อ หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
หลิวเยว่ไม่มีเวลามาคิดแล้ว ตอนนี้นางต้องรีบวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด
เสียงของอวิ๋นซู่ที่ดังตามหลังมาราวกับอยู่ในความฝัน
“ลิ่วซี?”
หลิวเยว่ไม่กล้าหันกลับไปมอง เพียงคิดแค่ว่านางต้องหลบสายตาของเขาให้ได้ นางวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ปอดของนางร้อนรุ่มราวกับกำลังจะมอดไหม้
เสียงคำรามของอวิ๋นซู่ดังมาจากด้านหลัง
“อาซี”
เสียงของเขาเปลี่ยนจากไม่แน่ใจในคราแรกกลายเป็ความมั่นใจในตอนหลัง เขาแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ภาพหลอน คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออาซีหรือเจินลิ่วซี ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจสิ่งใด วิ่งไล่ตามนางไป
หลิวเยว่รู้เพียงว่าตนไม่อาจให้เขาจับตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลเฟิง ดังนั้นนางจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง ปอดของนางราวกับกำลังจะลุกไหม้
อาจเป็เสียงของพวกเขา ทำให้องครักษ์ที่คอยอารักขาอยู่รอบๆ ต่างตื่นตัว เงาร่างสีดำโผล่ออกมาจากทุกทิศทาง
“มีนักฆ่า ปกป้องฝ่าา”
“ปกป้องฝ่าา”
คนหลายคนต่างมาห้อมล้อมรอบกายของฮ่องเต้
เสียงวุ่นวายที่นี่ดังไปทั่วท้องฟ้าในยามค่ำคืนและได้ทำลายความเงียบสงบไปแล้ว หลิวเยว่ไม่กล้ามองกลับไป นางเพียงวิ่งไปข้างหน้า ด้านหลังนางคืออวิ๋นซู่ที่ไล่ตามมาพร้อมกับคณะติดตาม เขาเรียกชื่อของนางไม่หยุด ยังมีองครักษ์นับไม่ถ้วนกำลังไล่ตามนางเช่นกัน
ทันใดนั้น นางพลันรู้สึกปวดไหล่อย่างรุนแรง ราวกับว่ามีบางอย่างทะลุผ่านร่างกายของนาง ดวงตาของนางเริ่มมืดสนิท และเท้าของนางก็เบาหวิวราวกับเหยียบอยู่บนสำลี
นางถูกยิงธนู
ได้ยินเพียงเสียงคำรามของอวิ๋นซู่ดังมาจากด้านหลัง
“ห้ามยิงธนู”
เสียงที่ตามมานั้น ทำให้นางยังอยากวิ่งไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง แต่ร่างกายของนางกลับไม่อำนวย นางทรุดตัวลงอย่างช้าๆ โดยที่ไม่อาจควบคุมได้ นางคิดในใจว่านางจบสิ้นแล้ว ไม่ว่านางจะหลบหนีอย่างไร นางก็ยังไม่สามารถหนีจากอวิ๋นซู่ ได้
ขณะที่สตินางกำลังจะเลือนหายไป นางราวกับจะได้กลิ่นหอมของดอกชุนจิ่น และนางก็ตกอยู่ในอ้อมของใครบางคน ทว่าไม่ใช่อวิ๋นซู่ กลับเป็กู้หนานเฟิงและเตี๋ยเย่
ริมฝีปากของนางซีดขาว
“ข้า…”
“ไม่ต้องพูด ข้าจะพาเ้าหนีไปเดี๋ยวนี้”
กู้หนานเฟิงห้ามนางไม่ให้พูดต่อ
ในสภาพที่มึนงง นางเพียงรู้สึกเ็ปไปทั้งตัว เหงื่อกาฬแตกพลั่กเพราะความเ็ป ยิ่งมีสติชัดเจนนางก็ยิ่งรู้สึกเ็ปมากขึ้นเท่านั้น ท่ามกลางความมึนงง นางเห็นเตี๋ยเย่ยืนอยู่ข้างหัวเตียง
“เ้าช่วยข้าไว้หรือ?"
“ชู่...” เตี๋ยเย่ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก เพื่อบอกนางว่าอย่าพูด
นางปิดปากตัวเอง และได้ยินใครบางคนกำลังพูดอยู่ข้างนอก
พลันมีเสียงคุกเข่าตามมา
“บ่าวสมควรตาย คุ้มกันฝ่าาช้าไป”
จากนั้นหลิวเยว่ก็รู้ว่านางกับเตี๋ยเย่อยู่ในห้องมืด และด้านนอกเป็ห้องนอนของกู้หนานเฟิง นางฟังอย่างเงียบๆ ด้านนอกนั้นมีคนอย่างน้อยสิบกว่าคน
จากนั้นก็มีคนหนึ่งวิ่งเข้ามา แล้วคุกเข่าลง
“ฝ่าา กระหม่อมค้นหาทั่วจวนแล้ว แต่ไม่พบผู้ใดน่าสงสัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นสนมซินก็ถามอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าา คนที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นมีลักษณะอย่างไรเพคะ”
“ฝ่าาได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน ไม่มีใครในตระกูลเฟิงที่ฝ่าากำลังตามหาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” นั่นเป็เสียงของกู้หนานเฟิง
“ฝ่าา ทอดพระเนตรผิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” นั่นคือเสียงของอันกงกง
เงียบ เงียบเหมือนป่าช้า ทุกคนในห้องล้วนคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ เห็นสีหน้าของเขาดำคล้ำ และหน้าอกที่สั่นเทาอย่างรุนแรง รวมถึงความเย็นเยียบบนใบหน้า
ทั่วบริเวณจึงเงียบไป หลังจากเวลาผ่านไปนาน ขณะที่คนที่คุกเข่าอยู่รู้สึกว่าพวกเขาใกล้จะหายใจไม่ออก อวิ๋นซู่ก็พูดขึ้น
“ตามหาให้ทั่วจวน ต้องหาตัวนางให้เจอ ไม่เช่นนั้นข้าจะฝังพวกเ้าทั้งหมดให้ตกตายไปตามกัน”
เสียงนั้นราวกับดังมาจากนรก ไม่สิ เป็เสียงจากนรกเลยเชียวล่ะ หลังจากที่ฮ่องเต้จากไป หลายคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างใกลัวจนตัวสั่นและคุกเข่าลงกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นได้เป็เวลานาน
ทุกคนออกจากห้องทีละคน ในห้องลับ หลิวเยว่ได้แต่นอนคว่ำเพราะลูกธนูยิงเข้าที่ไหล่ของนาง ความเ็ปที่ไหล่โจมตีนางเป็พักๆ เพราะความตึงเครียดเมื่อครู่นี้ ตอนนี้สถานการณ์ผ่อนคลายแล้ว แต่นางก็ยังไม่กล้าส่งเสียงออกไป ทำได้เพียงกัดผ้าห่มเอาไว้
ทันใดนั้น กู้หนานเฟิงก็ผลักประตูเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาดูไม่ดีเลย เมื่อมองเห็นาแของหลิวเยว่ เสื้อผ้าที่เปียกโชกไปด้วยเื และสีหน้าที่ซีดเผือดของนาง
ในเวลานี้ ทุกคนรู้ว่าคนที่ฮ่องเต้กำลังตามหานั้นถูกธนูยิง ดังนั้นนางจะไปหาหมอหรือเรียกหมอมาดูอาการไม่ได้
หลิวเยว่ที่สติเลือนรางพูดกับกู้หนานเฟิง
“ข้าขอโทษ ทำเ้าเหนื่อยอีกแล้ว”
หลังจากพูดประโยคหนึ่ง ก็ราวกับนางหมดแรงจนไม่สามารถพูดออกมาได้
กู้หนานเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้านาง แตะผมของนางเพื่อปลอบโยน
“ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวข้าจะช่วยดึงธนูออกให้”
"หลิวเยว่ อดทนไว้นะ"
กู้หนานเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสียงเขายังคงสั่นเทา แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจและความทุกข์ใจของเขา
“อืม”