หลินฟู่อินคิดอย่างขมขื่นในใจว่าอีกหน่อยนางคงไม่กล้าท้าทายเขาแล้ว
“อีกหน่อยอย่าพูดอะไรให้ข้าเสียใจ” หวงฝู่จินลูบหัวเด็กสาว นางรีบขยับศีรษะหลบจนมือเขาไปโดนหลังศีรษะนางแทน
ชายหนุ่มผงะ
เขาไปััโดนอะไรเข้าแทน?
เด็กน้อยคนนี้เกิดมามีฝางกู๋ [1] หรืออย่างไร?
ท้ายทอยของนางนูนออกมา โชคดีที่ไม่ชัดเจนมากนัก
เื่นี้จะว่าเล็กก็ได้ จะว่าใหญ่ก็ได้ ทันใดนั้นก็นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบนาง เด็กคนนี้เคยเกือบโดนเผาทั้งเป็!
“ฟู่อิน อีกหน่อยนอกจากข้ากับตัวเ้าเอง ห้ามให้ผู้อื่นััหลังศีรษะของเ้าอีก” หวงฝู่จินใช้สองมือจับแขนเด็กสาว บังคับให้มองตาเขา
สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง หลินฟู่อินงุนงงเล็กน้อย เป็อะไรไป?
“ทำไมหรือ? หลังศีรษะข้ามีอะไร?” หลินฟู่อินถาม พอจะััได้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติ หาไม่หวงฝู่จินคงไม่เคร่งเครียดเพียงนี้
“เ้ามีฝางกู๋ที่ศีรษะ” หวงฝู่จินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อ้อ เื่นี้เอง
หลินฟู่อินรู้สึกว่าหวงฝู่จินก็ใเสียใหญ่โต
ฝางกู๋อะไรนี่ก็คือกระดูกท้ายทอยที่อยู่ด้านหลังศีรษะ แค่บางคนจะยื่นนูนกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น
คิดว่ามันจะเป็อะไรหรือ?
“แล้วทำไมหรือ? หลายคนก็มีแบบนี้”
“ไม่ มีคนเพียงน้อยนิดที่มี” หวงฝู่จินตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ในโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เกิดมาพร้อมฝางกู๋ อย่างพวกตระกูลใหญ่ หากบ้านใดมีเด็กเกิดมามีฝางกู๋ เด็กคนนั้นจะถูกนำไปถ่วงน้ำ ไม่พอ ยังต้องไปวัดใหญ่เพื่อให้นักบวชทำพิธีปัดเป่า”
หลินฟู่อินชะงัก โหดร้ายเกินไปแล้ว
“เดี๋ยวนะ หมายความว่า… มีคนไม่กี่คนที่มีกระดูกท้ายทอย?” หลินฟู่อินจับประเด็นสำคัญ หรือคนในโลกและมิตินี้จะไม่มีกระดูกท้ายทอยกัน?
“น้อยมาก น้อยมากๆ พวกเ้าคนต้าเว่ยหาแทบไม่ได้ พวกเราเป่ยหรงก็แทบไม่พบ” หวงฝู่จินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ เขามองนาง น้ำเสียงเศร้า “ข้ามีน้องชายคนหนึ่งที่เกิดมามีฝางกู๋ แม่ของเขาหวาดกลัวยิ่งนักจึงจับเขากดน้ำด้วยตัวเอง… ภายหลังเสด็จพ่อยังต้องเชิญนักบวชตบะสูงมารำถวายเทพสามวันสามคืน”
หลินฟู่อินนิ่วหน้า ในดวงตาปรากฏร่องรอยรับไม่ได้
แต่พอได้ยินแล้วนางก็กังวลขึ้นมา “เช่นนั้นข้าก็ให้คนอื่นทราบไม่ได้จริงๆ”
หวงฝู่จินมองนางด้วยความเป็ห่วง “เกรงว่าเ้าจะถูกจับได้ตั้งนานแล้ว ลืมเื่ที่เกือบโดนเผาทั้งเป็ไปแล้วหรือ?”
หลินฟู่อินตัวสั่น
ใช่ นางลืมไปได้อย่างไร?
กลับจากเมืองหนิงแล้วนางก็พบว่าตนเองทราบเื่นักทำนายจ้าวน้อยเกินไป เกรงว่าคนผู้นั้นจะมีฝีมืออยู่บ้าง… หรือเขาจะทราบอะไรเื่ของนาง?
“ไม่ต้องกลัวไป เ้ายังมีข้า” หวงฝู่จินจับมือน้อยๆ ของเด็กสาวเอาไว้ มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “จากนี้ข้าจะปกป้องไม่ให้เ้าโดนใครทำร้ายอีก เพียงแต่เื่ฝางกู๋ของเ้า จำไว้ว่าอย่าบอกใคร”
ไม่ว่าจะต้าเว่ยหรือเป่ยหรง คนที่ถูกมองว่าไม่ภักดี ไม่กตัญญู เป็ฏ ต่างก็ถูกมองว่าไม่ใช่มนุษย์ทั้งนั้น
โชคดีที่หลินฟู่อินยังเป็เพียงเด็ก
คงเป็เหตุผลที่พ่อแม่ของหลินฟู่อินแม้จะทราบก็ไม่สังหารนาง หวงฝู่จินคิดในใจ
หลินฟู่อินมองตาเขา พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ครั้งแรกที่พบเ้าก็มีข่าวลือว่าเ้าเป็ดาวหายนะแล้ว ฝีมือนักทำนายจ้าวใช่หรือไม่?” อยู่ๆ หวงฝู่จินก็ถามขึ้น
สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก ชายหนุ่มมองหลินฟู่อิน “คนของข้าสืบทราบว่าตระกูลเขาเป็ขุนนางในหอชินเทียนของต้าเว่ยมาหลายชั่วคน เพียงแต่ชายผู้นั้นต่างจากคนในบ้านเล็กน้อย ไม่อยากทำงานในหอชินเทียน จึงได้หนีออกจากตระกูล มาสร้างชื่อเสียงของตนเอง ให้แผ่นดินเป็บ้าน”
หรือก็คือนักทำนายจ้าวคนนั้นไม่ใช่คนของหมู่บ้านจ้าวเจี่ย คงอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้นไม่นานนัก
พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม หลินฟู่อินก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจนักทำนายจ้าวอะไรนี่ยิ่งกว่าเดิม
คิดว่าหากมีโอกาสนางต้องพบอีกฝ่ายแบบตัวเป็ๆ ให้ได้
“คิดแล้วก็ประหลาดยิ่งนัก ่หลังๆ คนในของข้าก็เดินทางไปตามหาเขาที่หมู่บ้านจ้าวเจี่ย ทว่านักทำนายจ้าวผู้นี้คล้ายกับว่าจะหายตัวไปเสียเฉยๆ…”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็รีบถามทันที “นักทำนายจ้าวหายตัวไป?”
หวงฝู่จินพยักหน้า
“แต่ครึ่งเดือนที่แล้วเขายังอยู่ที่หมู่บ้านจ้าวเจี่ยอยู่เลย!” เด็กสาวประหลาดใจ
นักทำนายจ้าวคนนั้นยังทำกระทั่งแยกสองสามีภรรยาบ้านเ้าเมืองหนิง ให้ทั้งสองราวกับถูกตัดขาดจากกัน
“ข้ารู้” หวงฝู่จินพยักหน้า มองหลินฟู่อิน “หายไปเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้เอง”
เขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างจึงได้สั่งลูกน้องให้สะกดรอยดู ทว่ากลับไม่มีร่องรอยใดปรากฏให้เห็น ไม่มีใครทราบว่าคนไปที่ไหนกันแน่
ราวกับนักทำนายจ้าวผู้นั้นทราบว่ามีคนหาตัวจึงได้ตั้งใจหนีไป เป็การหนีแบบที่ไม่ทิ้งร่องรอย
“แปลกจัง อย่างกับไม่ใช่เื่บังเอิญ” หลินฟู่อินว่า
หวงฝู่จินก็คิดเช่นเดียวกัน
“หลายวันก่อนเ้าไปเมืองหนิงใช่หรือไม่?” หวงฝู่จินคิดสักครู่ก็เอ่ยถาม
เขารู้สึกมาตลอดว่าที่นักทำนายจ้าวหายไปน่าจะเกี่ยวกับการที่หลินฟู่อินไปเมืองหนิงกะทันหัน
หลินฟู่อินไม่นึกว่าเขาจะให้คนคอยจับตามองนาง ในใจส่วนหนึ่งรู้สึกยินดี อีกส่วนกลับรู้สึกหนักใจ
แต่นางก็ยังพยักหน้า “ใช่ ข้าไปงานสรงสามของหลานชายคนโตของเ้าเมืองหนิงที่คลอดบนรถม้า ตอนนั้นข้าเป็คนทำคลอดให้”
“อืม” หวงฝู่จินพยักหน้า จากนั้นก็เปลี่ยนเื่ “ตอนอยู่ที่นั่นได้ให้ใครหรือเ้าเองเป็คนสอบถามเื่นักทำนายจ้าวบ้างหรือไม่?”
หลินฟู่อินย้อนคิดดู นางได้ขอให้วังฮูหยินช่วยนางสืบเื่นักทำนายจ้าวในเมืองหนิงจริงๆ
พอบอกเื่นี้ไปแล้ว ดวงตาหวงฝู่จินก็ลุกโชนด้วยไฟโทสะ ถึงว่าเล่า
เขารู้สึกมาตลอดว่าหลินฟู่อินต้องไม่ใช่เด็กสาวชาวบ้านทั่วไป เห็นนางเกิดมามีนิสัยขบถเช่นนี้ยิ่งพิสูจน์ความคิดเขาได้
นับแต่โบราณมา อย่างน้อยก็ในประวัติศาสตร์ของเป่ยหรง คนที่เกิดมามีฝางกู๋มักจะเป็ขุนนาง
ดูจากความฉลาดของหลินฟู่อินนั้นไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปจะเลี้ยงมาได้ แต่ตัวนางกลับเชื่อว่าตัวเองเป็บุตรสาวชาวบ้านทั่วไป!
“ไม่ต้องไปกังวลเื่นักทำนายจ้าวแล้ว ข้าจะช่วยเ้าสืบเอง” หวงฝู่จินเกรงว่าเด็กสาวออกสืบเื่นักทำนายจ้าวเช่นนี้จะนำอันตรายมาสู่ตัวได้ ย่อมไม่ปล่อยให้นางลงมือเองอีกแล้ว
เห็นหวงฝู่จินนิ่วหน้า หลินฟู่อินก็เคร่งเครียดขึ้นมา เช่นนี้เขาก็รับปากช่วยนางแล้ว
ตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าสำหรับนางก็คือการเปิดภัตตาคารเพื่อหาเงิน
เพราะนางยังแยกตัวออกมาจากบ้านหลินอย่างสมบูรณ์ไม่ได้
อีกอย่าง หากหวงฝู่จินรั้นจะรอจนนางเป็ผู้ใหญ่จริงๆ เพื่อให้คู่ควรกับเขา นางก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้
ในเมื่อสถานะที่ผู้าุโให้มาไม่คู่ควร นางก็ต้องใช้เงิน
ไม่ว่าจะชาวนา พ่อค้า เก้าสาขาอาชีพระดับล่าง เงินตำลึงเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะเป็ขุนนางหรือสามัญชน
อีกอย่าง ขุนนางจะมีไว้ทำไม? นอกจากบางคนที่ใส่ใจประชาชนจริงๆ แล้ว ส่วนใหญ่ก็มาเป็แค่เพราะอยากได้เงินดีๆ ทั้งนั้น…
ดังนั้นหลินฟู่อินจึงรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเงินนี่แหละคือตัวตัดสิน!
แม้แต่ฮ่องเต้ผู้สูงส่งก็ยังเป็กังวลเื่เงินตำลึงในท้องพระคลังไม่เพียงพอใน่ข้าวยากหมากแพง!
พอนางกับหวงฝู่จินมาถึงเรือนที่เพิ่งซื้อใหม่ หวงฝู่จินก็ทำตัวเป็สุภาพบุรุษ ช่วยประคองนางลงจากรถม้า
เมื่อเขาสารภาพตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็คล้ายจะขยับไปอีกก้าวหนึ่ง อย่างน้อยหลินฟู่อินก็มองเขาในแง่ดีมากขึ้น
ก็ถึงแม้จะเป็องค์ชาย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้ผู้อื่นอึดอัดใจเหมือนพวกขุนนางนี่นา?
อืม ไม่อยากจะยอมรับเื่ที่เขาเอาใจนางด้วยการบอกว่ารอบตัวไม่มีสตรีด้วย
“อืม เรือนหลังนี้ดีจริงๆ” หวงฝู่จินมองด้านนอกก่อน พอเปิดประตูเข้าไปด้วยกุญแจจากมือหลินฟู่อินแล้วก็มองภายในเรือน ก่อนจะอดพยักหน้าไม่ได้
ในสวนมีดอกกล้วยไม้หลากชนิดประดับประดา ยังมีไม้ผลอีกหลายต้นทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของสวน ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีซุ้มองุ่นใหญ่ ทางตะวันออกมีระแนงดอกจื่อเถิง [2] ที่ตั้งโต๊ะหินอ่อนเอาไว้ด้านล่าง บนนั้นมีกระดานหมากสีขาวดำวางอยู่
เป็สวนดีที่ดูสง่างาม เ้าของเดิมรสนิยมดีจริงๆ
“คนที่เคยอยู่ในเรือนนี้มาก่อน เกรงว่าคงเป็คนใหญ่คนโตกระมัง” ดวงตาของชายหนุ่มสว่างไสว เขามองหลินฟู่อินแล้วยิ้ม “อินเอ๋อร์โชคดียิ่งนัก เก็บของดีมาได้อีกแล้ว”
หมายความว่านางเจรจาซื้อขายของดีชิ้นใหญ่มาได้อีกแล้ว
หลินฟู่อินทำปากยื่น ทันในนั้นก็นึกถึงที่พ่อบ้านชราของเจียงฮูหยินพูดเอาไว้ได้ ว่าเรือนนี้ที่ขายให้นางเคยปล่อยเช่าให้สุภาพบุรุษขุนนางท่านหนึ่งในเมืองหลวงั้แ่ตอนที่เจียงฮูหยินกับอดีตสามีซื้อมา แต่ขุนนางท่านนั้นกลับไม่ได้มาอยู่ตั้งหลายปี เจียงฮูหยินต้องใช้หลายวิธีก็ยังติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้
อีกประการ หลายปีมานี้ขุนนางผู้เช่าท่านนั้นไม่ได้ส่งใครมาจ่ายค่าเช่า สัญญาที่ลงนามไว้ตอนนั้นบอกว่าหากไม่ได้จ่ายค่าเช่าหนึ่งปีจะถือว่าหมดสัญญา
แต่เจียงฮูหยินเคยมาดูเรือนนี้ครั้งหนึ่ง พอเห็นเรือนงดงามเช่นนี้ก็ทำใจปล่อยเช่าอีกไม่ได้
หลินฟู่อินกับหวงฝู่จินเดินเข้าเรือน เด็กสาวเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจียงฮูหยินถึงได้ลังเลไม่อยากปล่อยเช่าอีก
เพราะรูปแบบตัวเรือนนี้ดูสง่างามให้บรรยากาศดี
เครื่องเรือนไม้มีเสน่ห์แบบโบราณ เครื่องกระเบื้องครบชุดสีขาวกับน้ำเงิน แจกันแลชุดน้ำชา ข้าวของเครื่องใช้ล้วนแต่วิจิตรบรรจง
หลินฟู่อินมองจนรอบแล้วก็หันไปกล่าวกับชายหนุ่ม “ข้าเก็บของดีมาได้จริงๆ บ้านหลังนี้ดูแล้วมีเื่ราวไม่น้อย”
หวงฝู่จินมุ่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “บ้านมีเื่ราว? คำพูดเ้าแปลกใหม่ดีนัก”
“ช่างเถอะ อย่างไรตอนนี้บ้านก็เป็ของข้าแล้ว” หลินฟู่อินหรี่ตามองรอบกาย แทบไม่อยากจะกะพริบตา “ตอนเข้ามายังคิดอยู่ว่ารูปแบบเรือนนี้ดูคุ้นตา ที่แท้ก็เหมือนที่เรือนข้า วิธีตกแต่งก็คล้ายมาก”
“ดูเหมือนการตกแต่งเรือนในเมืองของเ้าจะเอาอย่างเรือนหลังนี้” หวงฝู่จินชี้
หลินฟู่อินพยักหน้า “เกรงว่าเจียงฮูหยินกับสามีจะมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นก็ตกแต่งเรือนหลังนั้นตามอย่างที่นี่”
“เช่นนั้นผู้เช่าของเรือนหลังนี้กับบ้านสกุลเจียงคงจะเป็คนรู้จักกัน” หวงฝู่จินกล่าว
“ตัวตนของสามีภรรยาสกุลเจียงนั้นเกรงว่า…” ดวงตาหลินฟู่อินทอวาบ นางหันไปมองหวงฝู่จิน
--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฝางกู๋ หมายถึง กระดูกท้ายท้อย อยู่ด้านหลังของกระโหลกศีรษะ ปกติมีลักษณะแบน แต่ในบางคนจะยื่นออกมา ในจีนโบราณยังเชื่อว่าคนที่มีฝางกู๋คือคนบาป คนไม่ดี ลักษณะของคนทรยศหรือกบฎ แต่ในปัจจุบันคือคำที่หมายถึงความกล้าหาญและหัวคิดว่องไว
[2] ดอกจื่อเถิง หมายถึง ดอกวิสทีเรีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้