เมื่อข่าวเื่เด็กหนุ่มลึกลับจากตระกูลมู่คารวะโม่เหลียนและเซี่ยวเจิ้นจ้าววิหารทั้งสองของวิหารสลักลายเป็อาจารย์ได้แพร่สะพัดออกไป แน่นอนว่ามันย่อมสั่นะเืเหล่าตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในหนานหลิงไม่น้อย
หลายคนต่างก็คิดว่าเวลานี้ทางตระกูลมู่มีวิหารสลักลายเป็ที่พึ่งพิงแล้ว ทำให้สถานการณ์ความกดดันของตระกูลมู่ภายในเมืองหลวงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ณ จวนเป่ยอ๋อง ภายในห้องหนังสือของหนานหาว
เวลานี้หนานหาวในชุดลำลองสีดำกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือ โดยมีสาวใช้หน้าตางดงามในชุดสีขาวของวังหลวงกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางเผยออกมาเล็กน้อย นางกำลังปรนนิบัติผู้เป็นายด้วยความระมัดระวัง
หนานหาวหรี่ตาลง ด้านหลังของเขามีหญิงงามในชุดสีแดงกำลังนวดไหล่ให้เบาๆ ขณะรายงานถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นในวิหารสลักลาย
“เฟิงเย่ นักสลักลายเส้นอัจฉริยะอายุสิบเจ็ดปี บุตรชายบุญธรรมของมู่เทียน ตระกูลมู่รับคนผู้นี้เข้ามาั้แ่เมื่อไรกัน เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อน”
หนานหาวกล่าวขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
“หม่อมฉันได้ส่งคนออกไปตรวจสอบเื่ของเด็กผู้นั้นแล้วเพคะ คาดว่าอีกไม่นานคงได้ข่าว”
ลู่ชูเสวี่ยกล่าวตอบ
“ท่านอ๋อง หากเด็กจากตระกูลมู่ผู้นั้นเข้าร่วมกับวิหารสลักลายแล้ว ท่านคิดว่าต่อไปจะมีผลกระทบใดหรือไม่เพคะ?”
ลู่ชูเสวี่ยเอ่ยถาม
“ไม่หรอก แม้ว่าวิหารสลักลายจะมีอำนาจมาก แต่พวกเขาก็ไม่ก้าวก่ายการต่อสู้ระหว่างกองกำลัง เวลานี้อย่าเพิ่งแตะต้องเ้าเด็กหนุ่มนั่น หลังจากสืบทุกอย่างจนชัดเจนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
หนานหาวโบกมือ สาวใช้ที่คอยปรณนิบัติถอยออกไปทันที จากนั้นลู่ชูเสวี่ยก็ขยับกายมานั่งลงในอ้อมแขนของหนานหาว
“จู่ๆ เ้าหนุ่มนั่นก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าเหตุใดภายในใจของเชี่ยเซิน*ถึงได้รู้สึกไม่สบายใจนัก”
(*คำเรียกแบบถ่อมตนของสตรีต่อผู้มียศ ใช้ในความสัมพันธ์เชิงชู้สาว)
ลู่ชูเสวี่ยที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของหนานหาวค่อยๆ เปลื้องผ้าออกทีละน้อย
“ไม่หรอก ต่อให้เขาจะมีพร์มากเพียงใด แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็แค่คนไร้ค่าผู้หนึ่ง ไม่มีทางทำให้เกิดคลื่นลมอะไรได้หรอก”
หนานหาวเหยียดยิ้ม...
หลังจากที่มู่เฟิงได้เข้าร่วมกับวิหารสลักลายในฐานะนักสลักลายเส้นเครื่องรางผู้หนึ่งแล้ว ต่อไปเขาก็นับว่าเป็คนของวิหารสลักลายอย่างเต็มตัว และการเข้าร่วมกับวิหารสลักลายนั้นก็ไม่ได้มีข้อกฎเกณฑ์มาจำกัดอิรสะภาพ ดังนั้นจึงมีนักสลักลายเส้นหลายคนของวิหารสลักลายเข้ารวมกับกองกำลังกลุ่มอื่นด้วย
เมื่อเข้าร่วมกับวิหารสลักลายแล้ว มู่เฟิงก็จะสามารถอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาการสลักลายเส้นขั้นหนึ่งได้โดนไม่ต้องเสียค่าใช่จ่ายหนึ่งรูปแบบ แต่หาก้าจะเรียนรู้มากกว่านั้น จำเป็ต้องใช้เงิน สิ่งของหรือความรู้ของตนในการแลกเปลี่ยนความรู้
สำหรับนักสลักลายเส้นแล้ว วิหารสลักลายก็เป็เสมือนที่รวมตัวของทุกคน เป็สถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ ในขณะเดียวกันพวกเขายังเป็กองกำลังที่เหนือกว่ากองกำลังทั่วไปอีกด้วย
หลังจากมู่เฟิงเข้าร่วมกับวิหารสลักลายแล้ว เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับจวนตระกูลมู่ในทันที เพราะในระหว่างนี้เขายังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควร ก่อนที่ทางสำนักศึกษาราชวงศ์จะเปิดรับศิษย์ใน่วสันตฤดู
ตอนนี้ซีเยว่ยังคงนอนหลับใหล ส่วนมู่เฟิงก็ใช้เวลาในการศึกษาเรียนรู้การสลักลายเส้นอยู่ในวิหารสลักลาย บางครั้งเขาก็สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับนักสลักลายเส้นเครื่องรางบางคน และมีบางครั้งที่เขาไปขอคำแนะนำเื่โอสถจากเซี่ยวเจิ้น
เซี่ยวเจิ้นกับโม่เหลียนจ้าววิหารทั้งสองต่างก็เปิดทางให้มู่เฟิงได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ พวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะให้คำชี้แนะต่อมู่เฟิง
เนื่องจากว่าระหว่างพวกเขายังมีความขุ่นเคืองใจต่อกันอยู่ ดังนั้นแต่ละฝ่ายจึง้าสอนศาสตร์ของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อให้มู่เฟิงเรียนรู้ศาสตร์ของตนได้เหนือกว่าศาสตร์ของอีกฝ่าย
ด้านเซี่ยวจื่ออวี้ก็คอยติดตามมู่เฟิงอย่างใกล้ชิดเพื่อจะเรียนรู้ศาสตร์วิชาโอสถด้วยกัน มีบางครั้งที่มู่เฟิงจะคอยชี้แนะให้กับนาง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
ดวงตะวันกำลังจะลาลับในยามเย็น สีแดงของดวงตะวันที่กำลังทอแสงไปทั่วฟ้าดูคล้ายคลึงกับั์ตาสีโลหิตของเด็กหนุ่มไม่น้อย
ด้านหลังวิหารสลักลายคือเนินเขาที่มีความสูงไม่ถึงสองร้อยเมตร ้ามีสมุนไพรและพืชพรรณเตี้ยมากมายปลูกอยู่บนนั้น ซึ่งนั่นก็คือที่ตั้งของวิหารปรมาจารย์โอสถ
บนโขดหินก้อนใหญ่ เด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากและมีเส้นผมสีขาวกำลังนอนเอามือหนุนแทนหมอน สายตาของเขาเหลือบมองแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า
พรุ่งนี้สำนักศึกษาราชวงศ์จะเปิดรับสมัครศิษย์แล้ว ในที่สุดวันที่มู่เฟิงเฝ้ารอคอยก็มาถึง
ด้านหลังของมู่เฟิงมีเงาร่างหนึ่งกำลังแอบย่องเข้ามาด้วยฝีเท้าแ่เบา อีกฝ่ายมองดูเด็กหนุ่มที่ใช้หลังพิงโขดหินขณะจ้องมองท้องฟ้า สีหน้าของอีกฝ่ายพลันปรากฏแววเ้าเล่ห์ซุกซนแวบผ่านอย่างรวดเร็ว
ร่างนั้นเดินเข้ามาจาดทางด้านหลังมู่เฟิง ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดตาเด็กหนุ่มเอาไว้
“ทายซิว่าข้าเป็ใคร?”
“อวี้เอ๋อร์ เ้าช่วยหาเล่ห์กลใหม่ๆ มาเล่นบ้างได้หรือไม่?”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ ท่านก็ทายถูกทุกครั้ง ไม่เห็นจะสนุกเลย”
เซี่ยวจื่ออวี้พูดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งถัดจากมู่เฟิง
“เ้าก็เล่นแบบนี้ทุกครั้ง หากไม่ใช่เ้าแล้วยังจะมีใครได้อีก? ั้แ่เ้ายังเดินมาไม่ถึง กลิ่นกายบนตัวเ้ามันก็ทรยศเ้าไปแล้ว”
มู่เฟิงหัวเราะร่า
“เฮอะ ที่แท้ศิษย์พี่ก็เป็สุนัขนี่เอง”
เซี่ยวจื่ออวี้หัวเราะคิกคักก่อนจะยกมือขึ้นบีบจมูกของมู่เฟิง ซึ่งเป็ส่วนที่ไม่ได้ถูกหน้ากากปกปิด
มู่เฟิงยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไร
เซี่ยวจื่ออวี้นั่งเงียบๆ อยู่ข้างมู่เฟิง นางจ้องมองไปยังเงาของเด็กหนุ่มอย่างเหม่อลอย
“ศิษย์พี่ ทุกครั้งที่ท่านมานั่งตรงนี้ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
เซี่ยวจื่ออวี้เอ่ยถามขึ้น
“ข้ากำลังคิดถึงคู่หมั้นและพี่สาวของข้า ข้าไม่ได้เจอพวกนางมาสองปีแล้ว ข้าคิดถึงพวกนางมาก”
มู่เฟิงหัวเราะ
“ศิษย์พี่ ท่านมีคู่หมั้นแล้วรึ?”
เซี่ยวจื่ออวี้เอ่ยถามคอย่างประหลาดใจ
“อืม เป็การหมั้นหมายที่ผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ั้แ่ยังเด็ก ทำไมรึ?”
“มะ ไม่มีอะไร"
คำพูดนี้ของเด็กสาวแฝงไว้ด้วยความสูญเสียที่ไม่สามารถอธิบายได้ นางเอ่ยถามออกมาอีกครั้งว่า “สตรีผู้นั้นนางงดงามหรือไม่?”
มู่เฟิงยกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มเมื่อหวนนึกถึงใบหน้าของคนรัก “แน่นอน นางงดงามมาก บนโลกใบนี้ไม่มีใครงดงามได้เท่านางอีกแล้ว นางทั้งอ่อนโยนและใจดี ไหนเลยจะเหมือนกับเ้า ทั้งบุ่มบ่ามและซุกซน”
มู่เฟิงบีบใบหน้าเล็กของเซี่ยวจื่ออวี้อย่างหมั่นเขี้ยว
“หึ!”
เซี่ยวจื่ออวี้พ่นลมออกมาอย่างไม่พอใจ
“จริงสิ วันพรุ่งข้าก็จะไปแล้ว ข้าจะไปเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ ต่อไปคงไม่ง่ายที่จะได้พบหน้ากันอีก”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน
“อืม ข้าได้ยินมาจากท่านปู่แล้ว”
เซี่ยวจื่ออวี้พยักหน้า น้ำเสียงของนางแ่เบาและแฝงไว้ด้วยความไม่เต็ม
มู่เฟิงไม่ได้กล่าวอะไรอีก ในขณะที่เซี่ยวจื่ออวี้ก็เงียบไปเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็เงยหน้าและจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์พี่ ในอนาคตท่านจะลืมข้าหรือไม่?”
มู่เฟิงประหลาดใจกับคำถามของเด็กสาว เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะลืมศิษย์น้องของข้าได้อย่างไร”
“ศิษย์พี่ ท่านจะให้ข้าได้เห็นใบหน้าของท่านหรือไม่ ข้ารู้จักท่านมาเดือนหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าหน้าตาของท่านเป็อย่างไร”
เซี่ยวจื่ออวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยถามออกมาแ่เบา
มู่เฟิงลังเล ทว่าไม่นานเขาก็ยกมือขึ้นถอดหน้ากากออก
ใบหน้าหน้าที่แท้จริงของเขาเผยออกมาให้เห็นทันที กรอบหน้าคมชัดสมชายชาตรี หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ไม่มีกลิ่นอายความเป็เด็กเลยแม้แต่น้อย มีเพียงั์ตาสีโลหิตคู่นี้เท่านั้นที่ดูแปลกตาเล็กน้อย นอกจากนี้ตรงหางคิ้วของเขายังมีรอยแผลเป็อยู่ด้วย มันยิ่งขับให้เขาดูเหมือนวีรบุรุษหนุ่มผู้กล้าหาญมากขึ้นถึงสองส่วน
มู่เฟิงยิ้มบาง ขณะที่เซี่ยวจื่ออวี้ดูตกตะลึงไปเล็กน้อย แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็หนุ่มชายรูปงามที่สุด แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ให้ความรู้สึกเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนในวัยเดียวกันจะสามารถมีได้
หลังจากมู่เฟิงสวมหน้ากากกลับคืนไปแล้ว เซี่ยวจื่ออวี้ก็พลันได้สติคืนมา นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าหลงนึกว่าเพราะศิษย์พี่หน้าตาอัปลักษณ์จึง้าสวมใส่หน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้าจากผู้คนเอาไว้เสียอีก นึกไม่ถึงว่าท่านจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้”
“ฮ่าๆ ข้าสวมหน้ากากเพราะ้าความเป็ส่วนตัวต่างหาก และไม่ได้้าเปิดเผยใบหน้าให้ผู้คนภายนอกเห็น”
มู่เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม หัวใจของเซี่ยวจื่ออวี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น เพราะมู่เฟิงเชื่อใจนางเขาจึงยอมเปิดเผยหน้าตาของเขาให้นางได้เห็น
“เอาละ ข้าไม่อยู่กับเ้าแล้ว ข้าต้องกลับไปยังจวนตระกูลมู่ พรุ่งนี้ข้าจะไปที่สำนักศึกษาราชวงศ์”
มู่เฟิงลุกขึ้นยืนขณะกล่าวออกมา เขาโบกมือลาเด็กสาวและเตรียมจะจากไป
แต่ทันใดนั้น เซี่ยวจื่ออวี้ก็วิ่งเข้ามากอดเขาจากด้านหลัง ฝีเท้าของมู่เฟิงจึงชะงักลงทันที
“ศิษย์พี่ หากท่านมีเวลาก็อย่าลืมกลับมาหาข้าด้วยเล่า”
ในน้ำเสียงของเซี่ยวจื่ออวี้เจือแววสะอื้นมาเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่านางจะร้องไห้ออกมา
“วางใจเถิด เื่นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรเ้าก็เป็ศิษย์น้องของข้า”
มู่เฟิงหัวเราะ ในที่สุดเซี่ยวจื่ออวี้ก็ยอมปล่อยมือ เด็กหนุ่มจึงโบกมือลา และไม่นานเงาร่างของเขาก็หายไปในความมืด...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้