ตอนที่ 10 สาส์นท้าจากหอร้อยบุปผาและตราประทับตระกูลจิน
"...เฉินเฟิง"
คำสุดท้ายที่หลุดออกจากริมฝีปากของจินซือเหวินนั้นแ่เบาราวกับกระซิบ แต่มันกลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนในห้องราวกับเสียงอสุนีบาตฟาด!
บรรยากาศแห่งความสุขยินดีที่เคยอบอวลอยู่พลันแข็งค้างไปในบัดดล!
สายตาของจินหยวนเป่าที่เคยเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง บัดนี้กลับหรี่ลงจนคมกริบราวกับใบมีด เขายิงคำถามใส่บุตรชายทันที "ซือเหวิน! เ้าพูดว่าอะไรนะ? เ้าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใด!"
จินซือเหวินซึ่งยังคงอ่อนเพลีย ขมวดคิ้วเล็กน้อยพยายามนึกทบทวน "ข้า... ข้าไม่แน่ใจนักขอรับท่านพ่อ ทุกอย่างมันเลือนรางราวกับอยู่ในความฝัน... ตลอดเวลาที่ข้าหลับใหลไปข้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวอันมืดมิดและหนาวเหน็บ แต่ในความมืดนั้น... ก็มีเสียงขลุ่ยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสมอ"
เขาหลับตาลงราวกับจะดื่มด่ำกับความทรงจำนั้น "มันเป็เสียงขลุ่ยที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิตมันคอยพยุงจิติญญาของข้าไว้ไม่ให้แตกสลาย ข้าเคยเห็นเงาร่างของเขาลางๆ ... เป็บุรุษในชุดสีเขียวหยก... เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่า ตราบใดที่เสียงดนตรียังไม่สิ้นสุด ชีวิตก็ยังคงมีความหวังและข้ารู้สึกว่า... เขาเรียกตัวเองว่าเฉินเฟิง"
จินหยวนเป่าหันขวับมาทางหลิวเยว์เอ๋อร์ทันที! แววตาของเขามิได้มีเจตนาร้าย แต่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ที่รุนแรงจนน่าอึดอัด "อาจารย์หลิว... เื่นี้มันหมายความว่าอย่างไร? ท่านรู้จักเฉินเฟิงผู้นี้จริงๆ ใช่หรือไม่?"
หลิวเยว์เอ๋อร์รู้สึกราวกับถูกโยนเข้าไปใจกลางพายุ! นางรู้ดีว่าคำตอบของนางในตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด หากตอบผิดพลาดไปเพียงนิดเดียวความไว้วางใจที่เพิ่งสร้างขึ้นมาอาจพังทลายลง ในพริบตา
นางสูดหายใจลึก โค้งคำนับอย่างนอบน้อม "นายท่านใหญ่... ข้าจะไม่ปิดบังท่าน ข้าเคยพบบุรุษที่ชื่อเฉินเฟิงเพียงครั้งเดียวโดยบังเอิญในป่าระหว่างเดินทางมาที่นี่ เขาเป็นักเป่าขลุ่ยพเนจร...แต่ข้าไม่ทราบเลยว่าเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วย ของคุณชาย"
นางเลือกที่จะพูดความจริง... แต่เป็ความจริงเพียงครึ่งเดียว
จินหยวนเป่าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนางราวกับจะค้นหาคำโกหก แต่เขาก็พบเพียงความสัตย์จริงและความสับสนที่ไม่ได้เสแสร้ง เขาถอนหายใจยาว... เื่นี้มันซับซ้อนเกินกว่าที่คิดไว้มาก
"เอาเถิด... เื่ของเฉินเฟิงผู้นั้นค่อยสืบสาวราวเื่กันทีหลัง" เขาเปลี่ยนเื่อย่างรวดเร็ว สมกับเป็พ่อค้าผู้เจนจบ "สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือซือเหวินฟื้นแล้ว! และทั้งหมดนี้เป็เพราะท่าน!"
เขาหันไปสั่งพ่อบ้านเสียงดัง "ไป! จัดงานเลี้ยงฉลองที่ใหญ่ที่สุด! แจ้งข่าวดีนี้ให้ทั่วทั้งเมืองหลัวเฟิงได้รับรู้! ประกาศออกไปว่าตระกูลจินของเราได้พบ กับหมอเทวดาแล้ว!และนับแต่นี้ไป...อาจารย์หลิวเยว์เอ๋อร์คือแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของตระกูลจิน! ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินนาง ก็เท่ากับล่วงเกินข้า จินหยวนเป่า!"
คำประกาศนั้นทรงพลังและเด็ดขาดมันคือการส่งสาส์นเตือนไปยังทุกขุมอำนาจใน เมืองหลัวเฟิง โดยเฉพาะ... ตระกูลโหรว!
หลังจากเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นผ่านพ้นไปเยว์เอ๋อร์ก็ขอตัวกลับไปยังศาลาเสียงกระ ซิบ ในมือนางบัดนี้ไม่ได้มีเพียงพิณกู่ฉินเก่าๆ อีกต่อไป แต่เป็ "พิณหยกน้ำแข็งพันปี" ที่บรรจุอยู่ในกล่องไม้จันทน์อย่างดี และในอกเสื้อของนาง... ยังมีของอีกสิ่งหนึ่งที่จินหยวนเป่ามอบให้เป็การส่วนตัว
มันคือตราประทับทำจากทองคำบริสุทธิ์ สลักอักษร "จิน" ตัวใหญ่อย่างน่าเกรงขาม
"อาจารย์หลิว" เขาบอกกับนางก่อนจะจากมา "ตราประทับนี้... เปรียบเสมือนตัวแทนของข้าในเมืองหลัวเฟิง ไม่ว่าท่านจะ้าสิ่งใด หรือประสบปัญหาอันใด เพียงแค่แสดงตรานี้ออกมา... จะไม่มีใครกล้าขัดขวางท่าน"
นี่คืออำนาจ! คือเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดที่เงินทองก็หาซื้อไม่ได้!
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เยว์เอ๋อร์ก็วางกล่องพิณลงอย่างทะนุถนอม นางอดใจไม่ไหวที่จะได้ทดลองอาวุธชิ้นใหม่นี้ นางประคองพิณหยกน้ำแข็งขึ้นมาวางบนตัก ไอเย็นบริสุทธิ์แผ่ซ่านจากตัวพิณเข้าสู่ร่างกายของนาง ทำให้จิตใจที่เคยสับสนวุ่นวายพลันสงบลงอย่างน่าประหลาด
นางลองดีดสายพิณเบาๆ ...
ติ๊ง...
เสียงที่ดังออกมานั้นใสกังวานและเยือกเย็นยิ่งกว่าที่นางได้ยินในครั้งแรก มันก้องกังวานอยู่ในห้องราวกับเสียงระฆังแก้วจากสรวง์
[ระบบกำลังเชื่อมต่อกับอาวุธใหม่... เชื่อมต่อสำเร็จ!]
[พิณหยกน้ำแข็งพันปี: เพิ่มประสิทธิภาพของบทเพลงสายเยียวยาและควบคุม 200%]
[ปลดล็อกความสามารถแฝง: ทุกครั้งที่บรรเลงบทเพลงธาตุน้ำแข็ง จะมีโอกาส 10% ที่จะแช่แข็งศัตรูที่อยู่ในรัศมีเป็เวลา 1 วินาที]
เยว์เอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น! นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว!
แต่แล้วความสุขของนางก็อยู่ได้ไม่นาน...
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ป้าเหมยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ในมือของนางถือม้วนกระดาษสีแดงฉานม้วนหนึ่งที่ถูกปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งประทับตรา ดอกโบตั๋นอย่างโอ่อ่า
"เยว์เอ๋อร์... มีคนจากสำนักดนตรีไป๋ฮวาส่งนี่มาให้เ้า" ป้าเหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล "ท่าทางของคนส่งสารดูไม่เป็มิตรเลยแม้แต่น้อย"
หัวใจของเยว์เอ๋อร์กระตุกวูบ พายุลูกที่นางคาดการณ์ไว้... ดูเหมือนว่าจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดนางรับม้วนกระดาษมาและแกะผนึกออกอย่างระมัดระวังภายในนั้นเป็กระดาษซวนจื่อเนื้อดีที่สุดเขียนด้วยลายมือที่ทรงพลังแต่แฝงไว้ด้วย ความหยิ่งผยอง
มันคือ "สาส์นท้าประลอง" อย่างเป็ทางการ!
สาส์นฉบับนี้ไม่ได้มาจากโหรวหลัน แต่ลงนามโดย "โหรวฟง" บิดาของนาง ผู้เป็เ้าสำนักไป๋ฮวาและประธานสมาคมนักดนตรีแห่งเมืองหลัวเฟิง!
เนื้อหาในสาส์นนั้นไม่ได้กล่าวหาว่านางโกงหรือใช้มนต์ดำเหมือนที่บุตรสาวของเขา เคยกล่าวหา แต่เขียนด้วยถ้อยคำที่สุภาพทว่าเชือดเฉือนยิ่งกว่าคมดาบ มันกล่าวชื่นชมใน "พร์อันน่าทึ่ง" ของนาง และแสดงความเสียใจที่การประลองครั้งก่อนนั้น "เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและขาดความเป็ทางการ" ทำให้ประชาชนบางส่วนอาจเกิดความ "เข้าใจผิด" ในฝีมือของนักดนตรีแห่งสำนักไป๋ฮวาได้
ดังนั้น... เพื่อ "สร้างมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่วงการดนตรีแห่งเมืองหลัวเฟิง" และเพื่อ "เปิดโอกาสให้ผู้มีพร์เช่นนางได้แสดงความสามารถบนเวทีที่คู่ควร" ทางสำนักดนตรีไป๋ฮวาจึงขอท้าหลิวเยว์เอ๋อร์เข้าร่วมการประลองเพลงพิณอีกครั้งอย่าง เป็ทางการ... บนเวทีหลักของ "เทศกาลชมบุปผา" ในอีกสองวันข้างหน้า!
"นี่มัน... กับดักชัดๆ!" ป้าเหมยอุทานออกมาเมื่ออ่านเนื้อหาในสาส์นจบ "เ้าเฒ่าโหรวฟงนั่นมันเ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอกเฒ่าเสียอีก! เขาไม่ได้ท้าเ้าในฐานะส่วนตัว แต่ท้าในนามของสมาคมนักดนตรี! หากเ้าปฏิเสธ ก็จะถูกครหาว่าขี้ขลาดและไม่ให้เกียรติผู้าุโ แต่หากเ้ารับคำท้า... เวทีเทศกาลชมบุปผานั่นก็เปรียบเสมือนถ้ำเสือของพวกมัน! ทั้งกรรมการและผู้จัดงานล้วนเป็คนของมันทั้งสิ้น!"
เยว์เอ๋อร์อ่านสาส์นฉบับนั้นซ้ำอีกครั้ง... นางเห็นในสิ่งที่ป้าเหมยมองไม่เห็น มันไม่ใช่แค่กับดัก แต่มันคือการประกาศาที่เืเย็นและคำนวณมาอย่างดี!
โหรวฟงไม่ได้้าแค่ชัยชนะแต่้าทำลายนางให้สิ้นซากต่อหน้าคนทั้งแคว้น! การประลองบนเวทีใหญ่ที่มีเกียรติยศของเมืองเป็เดิมพัน หากนางพ่ายแพ้ที่นั่น... มันจะไม่ได้เป็แค่ความพ่ายแพ้ส่วนตัว แต่จะเป็การตอกย้ำว่า "นักพิณเทวดา" ผู้นี้เป็เพียงของจอมปลอมที่บังเอิญโชคดีเท่านั้นชื่อเสียงทั้งหมดที่นางสั่งสมมาจะพังทลายลงในพริบตา!
"พวกเขา้าบดขยี้ข้า... ทำให้ข้าไม่มีที่ยืนในวงการดนตรีได้อีกต่อไป" เยว์เอ๋อร์พึมพำ ดวงตาของนางทอประกายเย็นเยียบ
"แล้ว... แล้วเ้าจะทำอย่างไร?" ป้าเหมยถามอย่างร้อนรน "เราไปขอความช่วยเหลือจากนายท่านใหญ่จินดีหรือไม่? ด้วยอำนาจของเขา..."
"ไม่ได้เ้าค่ะ" เยว์เอ๋อร์ส่ายหน้า "นี่คือาของนักดนตรี... หากข้าต้องพึ่งพาอำนาจของผู้อื่นเพื่อเอาชนะก็เท่ากับยอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง"
นางมองสาส์นท้าในมือ... แล้วมองไปยังกล่องไม้จันทน์ที่บรรจุพิณหยกน้ำแข็งพันปีไว้... รอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยจิติญญาแห่งการต่อสู้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
"พวกเขาสร้างเวทีให้ข้า... ข้าก็ควรจะขึ้นไปแสดงให้เต็มที่มิใช่หรือ?" นางกล่าว "ในเมื่อพวกเขา้าา... ข้าก็จะมอบาที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลือนให้!"
นางหันไปหาป้าเหมย "รบกวนท่านป้าช่วยเตรียมพู่กันกับกระดาษให้ข้าด้วยเ้าค่ะ"
"เ้า... จะตอบรับคำท้ารึ!"
"แน่นอนเ้าค่ะ" แววตาของเยว์เอ๋อร์แน่วแน่และคมกล้า "แต่ข้าจะไม่ตอบรับในนามของตัวเอง... ข้าจะตอบรับในนามของ ศาลาเสียงกระซิบ!"
นี่คือการโต้กลับที่ชาญฉลาด! การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็การประกาศว่าศาลาเสียงกระซิบได้กลับคืนสู่วงการอีกครั้ง แต่ยังเป็การดึงตระกูลจินเข้ามาเกี่ยวข้องโดยปริยาย!เพราะใครๆ ก็รู้ว่าศาลาแห่งนี้อยู่ ภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลจิน!
เยว์เอ๋อร์จรดพู่กันลงบนกระดาษ เขียนคำตอบรับด้วยลายมือที่งดงามแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว จากนั้น... นางก็หยิบตราประทับทองคำของตระกูลจินออกมา... และประทับมันลงไปข้างๆ ลายมือชื่อของนาง!
ตึง!
ตราประทับสีแดงสดปรากฏเด่นหราอยู่บนกระดาษ มันคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่มิอาจปฏิเสธได้! มันคือคำประกาศที่ไร้เสียงแต่ดังก้องยิ่งกว่าฟ้าร้อง!
"นำสาส์นตอบรับฉบับนี้... ไปส่งคืนให้เ้าสำนักโหรว" เยว์เอ๋อร์ยื่นสาส์นให้องครักษ์เงาคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับอากาศธาตุ "และบอกเขาไปด้วยว่า... ข้า หลิวเยว์เอ๋อร์... จะรอพบบนเวที!"
เมื่อองครักษ์เงาจากไปพร้อมกับสาส์นตอบรับ... เยว์เอ๋อร์ก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับพิณหยกน้ำแข็งพันปีคู่กายของนาง
"อีกสองวัน..." นางพึมพำกับตัวเอง "ข้ามีเวลาอีกสองวัน... ที่จะต้องฝึกฝนบทเพลงที่สามารถสั่นะเืปฐีได้!"
ายกที่สองได้เปิดฉากขึ้นแล้ว... ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่การประลองฝีมือ แต่เป็การต่อสู้ระหว่างอำนาจเก่าและดวงดาวดวงใหม่ที่กำลังจะจรัสแสง... ที่ซึ่งเวทีแห่งเทศกาลชมบุปผา...กำลังจะกลายเป็สมรภูมิรบที่เดิมพันด้วยทุกสิ่ง ทุกอย่าง
