แสงโคมหน้าตำหนักยงหนิงสว่างไสว นางกำนัลถือโคมตำหนักตามองจมูกจมูกมองใจ [1] ยืนเรียงรายอยู่สองฝั่ง
ต้วนเฟยเหยียนสวมเสื้อคลุมหางยาวสองชั้นสีแดงดอกเหมยกุ้ยปักดิ้นทอง ดวงหน้างามพิลาสเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าตำหนัก จดจ้องหวังฮองเฮาในอาภรณ์ผ้าไหมสีทองปักลายบุปผาแบบชาววังปักดิ้นทองด้วยสายตาเ็า
เมื่อเห็นดวงหน้าซึ่งผัดแป้งทาชาดมาเต็มที่แต่ยังมิอาจบดบังริ้วรอยตรงหางตา ต้วนเฟยเหยียนก็เหยียดยิ้มมุมปากแฝงแววเยาะหยัน "ฮองเฮา ยามฝ่าาฟื้นคืนสติมีรับสั่งให้น้องสาวมาปรนนิบัติเฝ้าไข้ พระนางมาขวางไว้เช่นนี้ หากฝ่าาตื่นบรรทม เกรงว่าพระนางคงมิอาจต้านโทสะของฝ่าาได้"
ดวงเนตรคู่งามตวัดมองเบาๆ กำจายรังสีเ็า ตราบใดที่อู่เซวียนตี้ยังทรงมีพระชนม์ชีพ นางต้วนเฟยเหยียนก็ยังคงเป็หวงกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวัง
เฟิงอ๋องได้เป็ผู้สำเร็จราชการแล้วอย่างไร จะถูกถอดออกเมื่อไรก็ได้ ดวงตาของต้วนเฟยเหยียนฉายแววเหยียดหยัน
"น้องสาวเข้าใจผิดแล้ว ใช่ว่าเปิ่นกง [2] จะขัดขวางมิให้เ้าเข้าไปปรนนิบัติ แต่หมอเทวดาผูหยางกำชับไว้ ว่า่นี้ฝ่าา้าพักรักษาอย่างสงบ ดังนั้นห้ามเหล่าพระสนมมาเข้าเฝ้าเว้นเสียแต่มีพระราชโองการลงมา"
พระเนตรของหวังฮองเฮาสงบนิ่งแฝงไปด้วยความมั่นคง พระนางครองตราประทับหงส์มาหลายปี ภายนอกดูเหมือนว่าจะเป็ที่เคารพนับถือ
แต่แท้จริงแล้ว ต้วนเฟยเหยียนซึ่งได้รับความโปรดปรานสูงสุดในหกตำหนักมาตลอดหลายปี ไม่เคยเห็นพระนางอยู่ในสายตา
เฟิงอ๋องทรงมีอุปนิสัยอ่อนโยน ยึดมั่นในระเบียบกฎเกณฑ์ จึงไม่เป็ที่โปรดปรานของอู่เซวียนตี้มาั้แ่เล็ก ทรงรังเกียจที่เขาทำตัวคร่ำครึและสุภาพอ่อนโยนเกินไป
อู่เซวียนตี้เป็พวกเอาแต่ใจ ไม่ฟังความคิดของผู้อื่น หวังฮองเฮาจำต้องอดทนยอมลงให้
ใครเล่าจะคิด ฝ่าาประชวรกะทันหันครานี้ ถึงกับแต่งตั้งให้เฟิงอ๋องเป็ผู้สำเร็จราชการ แทนที่จะเป็ลี่อ๋องไม่ก็องค์ชายหกซึ่งเป็คนโปรดในยามปรกติ
ไม่ว่าสาเหตุจะคืออะไรก็ตาม เมื่ออู่เซวียนตี้ออกโอษฐ์รับสั่ง แม้ว่าจะมีคนในราชสำนักไม่พอใจเพียงใด ก็ต้องน้อมรับและจัดการตามพระบัญชา
โคมตำหนักสีแดงสว่างไสวนำทางอยู่ด้านหน้า ต้วนเฟยเหยียนนั่งบนเสลี่ยงสีหน้าเ็า มองไปที่มุมชายคาโค้งแลดูสง่างามในความมืด มุมปากเหยียดยิ้มแฝงแววเยาะหยัน
"พี่สาว" น้ำเสียงรื่นหูแว่วมาจากนอกตำหนักถิงหวา หญิงสาวงามสะคราญสวมชุดชาววังสีเหลืองอ่อน ยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก
ต้วนเฟยเหยียนจับมือเฝิงหมัวมัวค่อยๆ ก้าวลงจากเสลี่ยง วางท่าสูงส่งเ็า ไม่ชายตามอง ยกเท้าเข้าประตูตำหนัก
หญิงสาวมุ่นคิ้วงามน้อยๆ สีหน้าฉายแวววิตกกังวล "พี่หญิงต้วน พระพลานามัยของฝ่าาเป็อย่างไรบ้าง"
นางสืบเท้าตามไป แต่กลับถูกนางกำนัลคนสนิทของต้วนเฟยเหยียนขวางไว้
"หลี่ผิน หวงกุ้ยเฟยทรงอารมณ์ไม่ดี เชิญท่านกลับไปก่อนเถิด"
ประตูตำหนักปิดลง สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาประคองหญิงงามที่ถูกนางกำนัลผลักออกมา
"คุณหนู ต้วนเฟยเหยียนผู้นี้ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด ไยท่านต้องมาให้นางเหยียดหยามศักดิ์ศรีด้วยเล่า" สาวใช้เดือดดาล
หลี่ผินกัดฟันถลึงตาใส่ประตูที่ปิดสนิท "จะทำอย่างไรได้ล่ะ ทั่ววังหลังอันกว้างใหญ่แห่งนี้ พวกเราก็ทำได้แค่สานสัมพันธ์กับนางนี่แหละ"
"ต้องโทษองค์ชายเจ็ดพระองค์นั้น หากตอนแรกท่านสามารถติดตามเขาได้ ตอนนี้คงไม่กลายเป็เช่นนี้ สถานะของท่านเป็ถึงโฉมงามอันดับหนึ่งของซีฉี เขากลับไม่แยแสสักนิด ไม่รู้ว่าสายตามีปัญหาหรืออย่างไร" สาวใช้ขุ่นเคืองในความไม่เป็ธรรม
ดวงหน้าแฉล้มของหลี่ผินเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด "เสี่ยวเถา อย่าพูดอีกเลย"
นางนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับดุดันและเ็า ก็กัดริมฝีปากล่างจนเกือบเืออก
"คุณหนู ถ้าฝ่าาเกิดเป็อะไรไป ท่านจะทำอย่างไร" เสี่ยวเถาจะร้องไห้อยู่รอมร่อ คุณหนูเพิ่งเข้าวังมาแค่ปีกว่า จำนวนครั้งที่ถวายงานบรรทมน้อยจนน่าสงสาร แม้จะได้รับแต่งตั้งเป็พระสนมชั้นผิน แต่ตำแหน่งก็ไม่สูงไม่ต่ำ หากอู่เซวียนตี้ต อีกครึ่งชีวิตของคุณหนูคงเหมือนอยู่ตำหนักเย็นแล้ว
"ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แม้สีหน้าของต้วนเฟยเหยียนจะเ็า แต่ไม่เห็นความโศกเศร้า" หลี่ผินสงบจิตใจ "พวกเต๋อเฟย เสียนเฟย ก็ยังไม่กระวนกระวาย ฝ่าาคงจะประชวรเท่านั้นเอง"
"เช่นนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี" เสี่ยวเถาปาดน้ำตา
"จะทำอย่างไรได้ ก็ต้องรอต่อไปสิ" หลี่ผินขบริมฝีปาก
"พระนาง หลี่ผินไปแล้วเพคะ" เฝิงหมัวมัวเดินเข้ามาจากนอกตำหนัก
ต้วนเฟยเยียนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จื่อถานแกะสลักลายดอกโบตั๋น สาวใช้กำลังถอดเครื่องประดับศีรษะให้หัวเราะเยาะออกมา
"หลี่ผินผู้นี้ช่างน่าขันยิ่งนัก ทุกครั้งที่มาล้วนต้องทำสีหน้าประจบสอพลอ นึกว่าอาศัยแค่สถานะคนของซีฉีก็สามารถได้รับความสำคัญจากพระนางอย่างนั้นหรือ"
สาวใช้ที่กำลังคลายมวยผมหัวเราะเยาะตาม
สาวใช้ที่สามารถเข้าใกล้ต้วนเฟยเหยียนล้วนเป็คนสนิทที่นางพามาจากซีฉี จึงไม่ถูกจำกัดในการแสดงความคิดเห็น
"พระนาง ทางหวังฮองเฮาจะปล่อยไปเช่นนี้หรือเพคะ? ฝ่าาทรงแต่งตั้งเฟิงอ๋องเป็ผู้สำเร็จราชการ องค์ชายหกได้ตำแหน่งเป็เพียงผู้ช่วย หากเฟิงอ๋องทรงได้สืบทอดราชสมบัติ หวังฮองเฮาต้องจะไม่มาคิดบัญชีเก่ากับพระนางหรอกหรือ?"
แม้ว่าแต่ไรมาฮองเฮาจะทรงรักความสงบไม่ชอบไปหาเื่ใคร แต่ยากจะรับประกันได้ว่าหลังจากพระโอรสขึ้นครองบัลลังก์ จะไม่จับพวกนางมาเชือดไก่ให้ลิงดู
ต้วนเฟยเหยียนหัวเราะเสียงเย็น "เขาจะไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างราบรื่นและง่ายดายปานนั้นหรอก เต๋อเฟยกับเสียนเฟยหาได้ถือศีลกินผัก"
ให้พวกเขาแก่งแย่งกันไป ทางที่ดีควรสู้กันให้ตายกันไปข้าง ให้โลหิตเจิ่งนองทั่วเมืองหลวง ทั่วแคว้นฉีตกอยู่ในาและความโกลาหลวุ่นวายถึงจะยิ่งชวนให้คนสำราญใจ
ริมฝีปากสีชาดของต้วนเฟยเหยียนแสยะยิ้ม ดวงหน้างามพิลาสภายใต้แสงตะเกียงแลดูมีเสน่ห์แฝงแววชั่วร้ายอย่างน่าประหลาด
"ฝ่าาส่งเกาหลีชิวเข้าคุกหลวง เขาจะซัดทอดมาถึงพระนางหรือไม่" เฝิงหมัวมัววิตกอยู่บ้าง
เกาหลีชิวเป็นักพรตที่ช่วยปรุงยาลูกกลอนเพิ่มพลังหยาง แต่ต้วนเฟยเหยียนส่งคนไปดึงมาเป็พวก
"ไม่ต้องไปสนใจเขา เหลิ่งเยว่พบหน้าเขาไม่เกินสองครั้ง ซัดทอดมาไม่ถึงพวกเราอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อก่อนเผยจื้อหย่วนก็เคยกล่าวไว้ว่าโอสถลูกกลอนมีพิษ ไม่ควรเสวยระยะยาว" ต้วนเฟยเหยียนหัวเราะอีกครา
"มักมากในตัณหาราคะ ต่ำช้าไร้ยางอาย กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง จะโทษใครได้"
ต้วนเฟยเหยียนหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ครานี้เอาชีวิตอู่เซวียนตี้ไม่ได้ช่างน่าเสียดายนัก
"พระนาง องค์ชายเจ็ดรับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวง ท่านว่าเื่นี้..." เฝิงหมัวมัวนึกถึงใบหน้าเ็าดุจกระบี่น้ำแข็งดวงนั้นก็อดปาดเหงื่อไม่ได้
"ดูแลคนในตำหนักถิงหวาให้ดีก็พอ เขาไม่ได้มีความกล้าพอที่จะทำสิ่งใดจนออกนอกหน้า" ต้วนเฟยเหยียนเม้มริมฝีปาก "กู่มู่เหยาเข้าวังเมื่อไร ตามนางมาพบข้า"
"เพคะ" เฝิงหมัวมัวรับคำ
คืนนี้แสงโคมทั่ววังหลวงสว่างไสวไม่ดับมอด ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกันไปในราตรีที่มิอาจข่มตาหลับลงได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมีการประกาศราชโองการให้เฟิงอ๋องเป็ผู้สำเร็จราชการ องค์ชายทั้งสี่เป็ผู้ช่วย เหล่าขุนนางนับร้อยต่างโกลาหล
แต่เมื่อข่าวแพร่งพรายไปทั่วเมืองหลวง การตอบสนองของประชาชนกลับไม่มากนัก
มีคำกล่าวว่าฮ่องเต้รักโอรสองค์โต ประชาชนรักบุตรคนเล็ก
ตามหลักแล้ว เฟิงอ๋องเป็พระโอรสองค์โตที่ประสูติจากฮองเฮาย่อมสมควรเป็ผู้สืบทอดบัลลังก์อันดับหนึ่ง
เฟิงอ๋องทรงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมความเมตตา ชื่อเสียงในหมู่ปวงประชาก็ไม่เลว เมื่อเทียบกับลี่อ๋องซึ่งชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่ข่มเหงคนอ่อนแอ
เฟิงอ๋องผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมจึงนับว่าเป็ตัวเลือกของกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถอันดับต้นๆ
แน่นอนว่ายังมีองค์ชายหกซึ่งมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมอีกคน เพียงแต่เขาหาใช่พระโอรสสายตรงองค์โต และมิได้ชำนาญการศึกเช่นองค์ชายเจ็ด อยู่ในตำแหน่งไม่สูงไม่ต่ำ เห็นชัดว่ามีความน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่
....
[1] ตามองจมูกจมูกมองใจ เป็การอธิบายถึงท่าทางก้มหน้าก้มตา
[2] เป็คำเรียกแทนตัวหมายถึง ข้าผู้เป็เ้าของตำหนัก
