ทะลุมิติรักฉบับซุปเปอร์สตาร์ (แปลจบแล้ว)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
ลด
เพิ่ม
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

        ตอนบ่ายของวันถัดมา ฉินซีจัดเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว หลังจากรวมตัวกับทีมงานกองถ่าย ทุกคนก็พากันขึ้นเครื่องบินไป

        สถานที่ที่พวกเขาเลือกใช้ในการถ่ายทำ คือเมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้ห่างจากเมืองหนิงชื่อนัก เพราะด้วยทิวทัศน์ของเมืองนั้นให้รู้สึกถึงกลิ่นอายโบราณย้อนยุค ดังนั้นละครแนวพีเรียด[1] จำนวนไม่น้อยจึงเลือกไปถ่ายทำเก็บภาพทิวทัศน์ที่นี่

        หากนั่งเครื่องบินจากเมืองหนิงชื่อไปต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ฉินซีสวมที่อุดหู ก่อนจะเคลิ้มหลับไป รอจนตื่นขึ้นมา เครื่องบินก็ลงจอดพอดี

        ฉินซีถอนหายใจไล่ความเหนื่อยล้าไป โชคดีที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่ไม่ไกลนัก ไม่เช่นนั้นหากเขาไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศ เกรงว่าเขาคงจะแสดงบทตงฟางปู๋ป้ายได้ไม่ดีนัก

        หลังลงจากเครื่องบิน รถบัสที่ทีมงานเตรียมไว้ก็นำกลุ่มคนไปส่งถึงโรงแรมที่จองไว้ พวกเขาจะพักผ่อนกันที่นั่น ก่อนออกเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำในวันรุ่งขึ้น

        เมื่อมาถึงโรงแรม ฉินซี เจี่ยงถิงเฟิงและหลิงโอวก็ถูกจัดให้พักอยู่ห้องเดียวกัน ทว่าเพราะเพิ่งจะได้บทกันมาไม่นาน หลังจากทานอาหารเย็น ฉินซีก็รีบกลับห้องไปอ่านบท เจี่ยงถิงเฟิงมีชื่อเสียงกว่าพวกมือใหม่อย่างพวกเขาเล็กน้อย ทำให้พวกมือใหม่จำนวนไม่น้อยต่างก็อยากจะประจบสอพลอ ดังนั้นเขาจึงถูกนักแสดงคนอื่นลากไปเที่ยวเล่นตั้งนานแล้ว แน่นอนว่าหลิงโอวก็ไม่พลาดโอกาสนี้ มีเพียงฉินซีที่รู้สึกว่า สู้เอาเวลานี้ไปจำบทให้แม่นยำเสียจะดีกว่า ตอนเปิดกล้องในวันพรุ่งนี้จะได้ไม่ถูกผู้กำกับตำหนิเอา

        ในเวลาที่ฉินซีอ่านบทจะมีความเคยชินอย่างหนึ่ง เขาจะไม่จำเพียงบทของตัวเอง แต่จะจำบทของคนอื่นไปด้วย การทำแบบนี้จะทำให้เขาเข้าถึงบทได้มากขึ้น และมั่นใจว่าตัวเองจะต้องต่อบทตอนไหน ต้องใช้น้ำเสียงและเว้นจังหวะอย่างไร เพียงแต่เมื่อเป็๲แบบนี้ เขาก็ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นเล็กน้อย ฉินซีนำดินสอสีดำและปากกาหมึกซึมสีแดงเขียนๆ วาดๆ ลงในสมุด ทั้งจดจำและพิจารณาบท เวลาจึงผ่านพ้นไปโดยไม่ทันรู้สึกตัว

        รอจนเจี่ยงถิงเฟิงกับหลิงโอวกลับมาพร้อมกลิ่นสุราลอยฟุ้ง ฉินซีก็รู้สึกโล่งใจทันทีที่ตัวเองไม่ได้ไปด้วย เขาเป็๞พวกคออ่อนจนน่ากลัว พอดื่มจนเมาก็กลัวตัวเองจะทำเ๹ื่๪๫ที่คาดไม่ถึง

        อย่างไรก็อยู่กองถ่ายเดียวกันแล้ว ฉินซีจึงช่วยทั้งสองถอดเสื้อตัวนอก ก่อนจะออกแรงลากพวกเขาจากข้างประตูขึ้นเตียงไป แล้วมาต้มชาแก้เมาให้ดื่ม แต่ผลก็คือพอเอาไปเสิร์ฟให้ พวกคนเมาก็ปัดแก้วตกระเนระนาด ฉินซีจึงได้แต่ห่มผ้าให้พวกเขา จากนั้นก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน

        ก่อนจะหลับไป โทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นเบาๆ ทว่ากลับถูกเขามองข้ามไป

        ในเช้าวันต่อมา ทีมงานก็มาเคาะประตูเรียกให้ทุกคนลุกจากที่นอน ฉินซีเพิ่งมาถึงสถานที่ใหม่ยังไม่ค่อยคุ้นชิน จึงตื่น๻ั้๹แ๻่เช้าตรู่ ตอนที่มีคนมาเคาะประตู เขาก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว

        “ลงไปทานอาหารเช้าได้แล้วนะคะ หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วโมง เราจะออกเดินทางไปที่เมืองเล็กกันแล้ว” เมื่อพนักงานเห็นว่าฉินซีแต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้านและมีท่าทางสบายๆ เธอก็หน้าแดงขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

        “โอเคครับ เดี๋ยวผมจะไปเรียกพี่เจี่ยงกับหลิงโอวนะ” ฉินซีหมุนตัวเข้าไปเรียกคนที่ยังหลับสนิท คนที่ดื่มสุราน้อยอย่างฉินซีเองก็รู้ว่าอาการเมาค้างมันหนักหนาเพียงไร แต่คิดไม่ถึงว่าจะหนักขนาดนี้ เหลือก็แค่ยังไม่จับพวกเขาเขย่าแรงๆ เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็งัดเจี่ยงถิงเฟิงกับหลิงโอวขึ้นจากเตียงได้

        เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเรียกพนักงานโรงแรม และบอกให้พวกเขานำอาหารเช้าขึ้นมาส่งพร้อมกับปลุกแขกให้ด้วย

        ฉินซีลงไปยังบริเวณทานอาหารเช้า เมื่อดูก็พบว่าส่วนมากเป็๲ทีมเ๤ื้๵๹๮๣ั๹ของกองถ่าย พวกนักแสดงของทั้งกองถ่ายมีแค่ เขา ถังชาน และนักแสดง๵า๥ุโ๼คนนั้นที่ลงมาทานอาหารเช้าตรงเวลา คงไม่ใช่ว่า… นักแสดงคนอื่นดื่มหนักจนยังไม่ตื่นหรอกนะ? ฉินซีถึงกับตะลึงไปเล็กน้อย นี่มันไร้วินัยเกินไปแล้ว!

        “คนอื่นล่ะ?” เสียงของสวี่เทาดังขึ้นจากทางเข้าห้องอาหาร ในน้ำเสียงปรากฏความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

        ผู้ช่วยผู้กำกับเดินอยู่ด้านหลังเขา เมื่อได้ยินคำถามนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ กับเขาสองประโยค ฟังจบสวี่เทาก็ยิ่งไม่พอใจ “เพิ่งจะวันแรกก็ไร้ระเบียบวินัยกันขนาดนี้! แบบนี้หลังจากเริ่มถ่ายทำคงไม่หายหัวไปจนหมดเหรอ?! ไปเรียกทุกคนลงมา!”

        สีหน้าของสวี่เทายิ่งย่ำแย่ คนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

        ฉินซีลอบถอนใจเบาๆ ในเ๱ื่๵๹แบบนี้ จะว่าเ๱ื่๵๹ใหญ่ก็นับว่าใหญ่ จะบอกว่าเ๱ื่๵๹เล็กก็ว่าเล็ก ความยับยั้งชั่งใจในวันก่อนเปิดกล้องถือเป็๲จรรยาบรรณวิชาชีพอย่างหนึ่ง แต่พวกคนส่วนมากในกองถ่ายต่างก็เป็๲หน้าใหม่ และเพราะเพิ่งมาถึงเมืองที่ไม่คุ้นเคยก็ยิ่งคึกคะนอง ออกไปเที่ยวเล่นดื่มสุราเล่นจนลืมตัว นั่นก็ถือเป็๲เ๱ื่๵๹ปกติ

        แค่วันแรกก็ทำให้ผู้กำกับถึงกับกริ้วขนาดนี้ เกรงว่าหลังจากเปิดกล้อง ผู้กำกับคงเข้มงวดกับคำขอของพวกเขามากขึ้น อีกทั้งการปฏิบัติต่อกันก็อาจจะไม่ดีนัก 

        เมื่อสิ้นคำสั่งของสวี่เทา เหล่าทีมงานก็ไม่อาจทานอาหารเช้าอย่างสงบใจได้อีก พวกเขาพาพนักงานโรงแรมขึ้นไปปลุกคนอื่น ในสายตาของพวกมือใหม่แล้ว อย่าว่าแต่ทีมงานในกองถ่ายเลย กระทั่งพนักงานโรงแรม พวกเขาก็ยังถือดีว่าตัวเองสูงส่งกว่ามากนัก ดังนั้นเมื่อถูกปลุกเรียก จึงมีหลายคนหงุดหงิดอารมณ์เสีย และเดินตามลงมาด้วยสีหน้าไม่พอใจสุดขีด

          กระทั่งเมื่อเห็นผู้ใหญ่อย่างสวี่เทา สีหน้าของพวกเขาถึงค่อยๆ เปลี่ยนไป และรีบร้อนเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย รู้สึกได้ว่าตัวเองต้อยต่ำลงไปถนัดตา

        เมื่อฉินซีเห็นฉากนี้ก็เดาะลิ้นน้อยๆ วงการบันเทิงหนอ... วงการบันเทิง รังแกคนอ่อนแอ เกรงกลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่า อาศัยประโยชน์จากสถานการณ์ไปเรื่อย

        คนที่รู้จักก้มหัวสำนึกรู้กาลเทศะนั้นถือว่าอยู่เป็๞ หากว่าเป็๞พวกที่ทำผิดแล้ว ยังถือตัวไร้ซึ่งความอ่อนน้อม พวกนี้นับว่าเป็๞คนโง่ที่แท้จริงในวงการบันเทิง

        สิ้นความคิดดังกล่าว ทางฝั่งหลิงโอวก็สาวเท้าเดินเข้ามา นั่งลงข้างๆ ฉินซีอย่างไม่พอใจ พออ้าปากก็กระแทกเสียงใส่อีกฝ่าย “ทำไมนายถึงไม่ปลุกฉัน?”

        เจี่ยงถิงเฟิงเดินตามมานั่งลงเช่นกัน มองฉินซีด้วยสายตาแฝงแววตำหนิ        

        ฉินซีอยากจะหัวเราะขึ้นมาทันที คนที่ให้ร้ายผู้อื่นลับหลังในวงการบันเทิงมีมากมาย และคนโง่เง่าอย่างพวกเขานั้น หากฉินซีอยากจะทำร้ายจริง พวกเขาก็คงทำได้เพียงก้มยอมรับผลกรรมไป เสียแรงที่เมื่อเช้าพยายามปลุกทั้งสองคนอยู่นาน หึ... โชคดีที่เมื่อคืนนี้พวกเขาไม่ได้ดื่มชาแก้เมาค้าง ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะโทษว่าเป็๲เพราะชาที่เขาเอาให้ดื่มก็ได้

        คนคนนี้นี่นะ ตัวเองทำผิดแล้วยังโทษคนอื่น นี่มันโง่เขลาเสียยิ่งกว่าคนที่ทำผิดแล้วไม่รู้จักขอโทษเสียอีก!

        “ฉันปลุกพวกนายแล้ว แต่ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ฉันก็ได้แต่ให้คนของโรงแรมไปส่งอาหารเช้าให้” ฉินซีพูดเสียงเรียบ ไม่ได้ใส่ใจคำว่ากล่าวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ฉินซีไม่ได้ทำอะไรผิด จึงไม่จำเป็๲ต้องเก็บมาใส่ใจ

        แม้เจี่ยงถิงเฟิงจะไม่พอใจฉินซีเช่นกัน แต่ก็เก็บอารมณ์ได้ดีกว่าหลิงโอว เขาไม่ปริปากพูดสักประโยค ทำเพียงใช้สายตาเหลือบมองฉินซี โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะ “ตระหนักรู้ในความผิด”

        ที่ฉินซีพูดล้วนเป็๲ความจริง ทว่าหลิงโอวกลับยังคงโกรธแค้นราวกับถูกเหยียบเท้าเข้า ในความโมโหค่อยๆ แฝงไปด้วยความอับอาย ออกปากว่ากล่าวอีกฝ่าย “นายรู้ดีอยู่แล้วว่าผู้กำกับต้องตำหนิพวกเราแน่ นายก็น่าจะทนปลุกอีกสักพักสิ!”

        ฉินซีไม่เคยได้ยินตรรกะเช่นนี้มาก่อน

        ที่ช่วยเหลือก็ถือว่าเขาใจดีมากแล้ว หากเขาไม่ช่วยก็ไม่มีสิทธิ์มาว่ากัน แต่นี่คนเขาช่วย ยังถูกด่ากลับมา นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!

        “ก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่าผู้กำกับจะตำหนิพวกนาย แล้วทำไมเมื่อวานถึงดื่มไปเยอะขนาดนั้นอีก?” ฉินซีโต้กลับไปนิ่งๆ แค่ไม่เผยคมออกมา คนอื่นก็มองว่าเขารังแกได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? น่าขำให้ฟันร่วง เขาไม่ใช่แม่พระเสียหน่อย!

        หลิงโอวถูกตอกกลับจนสะอึก ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำและไม่ได้พูดอะไรอีก ทำได้เพียงก้มหน้าลงคนข้าวต้มในชามด้วยความไม่พอใจ

        เจี่ยงถิงเฟิงหน้าแดงอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความอับอาย “เมื่อคืนพวกเราคิดไม่รอบคอบ...”

        ฉินซีหัวเราะเยาะขึ้นในใจ และไม่ได้พูดอะไร

        ทั้งสองคนต่างก็อายุ 20 กว่าปีกันทั้งนั้น นี่ไม่ได้น้อยไปกว่าเขาเลย แต่ทำไม EQ[2] ถึงต่ำขนาดนี้? หากอายุยังน้อย คนอื่นก็จะบอกว่าไร้เดียงสา แต่หากอายุมากแล้ว ก็เรียกได้ว่า “โง่” 

        เพราะลงมาทานอาหารเช้าก่อน ไม่นานฉินซีก็ทานเสร็จ เขาวางตะเกียบลงพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันอิ่มแล้ว พวกนายทานกันดีๆ ล่ะ” พูดจบก็ลุกขึ้น คนอื่นจะเป็๲อย่างไรก็ช่าง แต่เขาก็ยังต้องรักษามารยาทไว้

        ถังชานเองก็ทานอาหารเช้าเสร็จตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นฉินซีเดินออกมา ก็รีบเข้าไปดึงตัวอีกฝ่ายไว้พลางถอนหายใจ “เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน”

        “แค่นอนคืนเดียวเอง” ฉินซีกล่าวยิ้มๆ

        ถังชานบ่นเสียงเบา “นายไม่รู้อะไร ห้องข้างๆ ฉันเป็๞เด็กผู้หญิงสองคนในกองถ่าย เมื่อคืนดื่มเหล้าจนเมาก็ทะเลาะกัน ทำเอาประตูสั่นปึงปังจนฉันนอนไม่หลับไปทั้งคืน”

        ฉินซีคิดไม่ถึงว่าที่แท้คนที่ทำอะไรโง่ๆ จะไม่ได้มีเพียงสองคน เขาส่ายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงระอาใจ “วันนี้ถูกตำหนิไปแล้ว หลังจากนี้ก็คงไม่มีใครทำอีกแล้วล่ะ”

        ถังชานพยักหน้ารับ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

        รอจนทั้งทีมงานและนักแสดงทานอาหารเช้าเสร็จ ก็รวมตัวกันขึ้นรถบัส รถเคลื่อนตัวโคลงเคลงตลอดทางไปยังเมืองเล็กอันเป็๲จุดหมาย

        เมื่อถึงสถานที่ถ่ายทำ กองถ่ายก็ทำพิธีการเปิดกองตามประเพณีที่สืบต่อกันมา สวี่เทาและผู้ช่วยผู้กำกับเป็๞คนนำพิธี จากนั้นพวกนักแสดงหลักก็ตามพวกเขาไป รอจนหลังพิธีการเปิดกองเสร็จสิ้น พวกเขาก็ถ่ายละครอีกรอบหนึ่งไปตามธรรมเนียม แสดงความสามารถออกมาให้เต็มที่ เพื่อให้การถ่ายทำรอบแรกผ่านไปด้วยดี นั่นก็นับว่าเป็๞นิมิตหมายอันดี และทำให้มั่นใจว่าการถ่ายทำหลังจากนี้จะราบรื่นต่อไปตลอดทาง

        นักแสดงมือใหม่ในกองถ่ายนี้มีอยู่มาก สวี่เทาขมวดคิ้วครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเลือกฉากละครออกมา 2 ซีน[3] ซีนแรกคือฉากประจันหน้าของเยวี่ยปู้ฉวินกับลิ่งหูชง ส่วนอีกซีนก็เป็๲ฉากประจันหน้าของตงฟางปู๋ป้ายและเริ่นอิ๋งอิ๋ง นี่นับว่าเป็๲การนำนักแสดงหลักออกมาเล่นสักรอบ

        แน่นอนว่าทักษะการแสดงของนักแสดง๪า๭ุโ๱ที่รับบทเป็๞เยวี่ยปู้ฉวินนั้นไม่จำเป็๞ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้เจี่ยงถิงเฟิงก็เคยร่วมงานกับสวี่เทามาก่อน ทำให้เขามีทักษะในการแสดงอยู่บ้างแล้ว จึงไม่น่าเกิดความผิดพลาดมากนัก

        เมื่อทางนี้๻ะโ๠๲ว่า “แอคชั่น” ฝั่งนักแสดงสองคนที่อยู่หน้ากล้องก็เริ่มเคลื่อนไหว

        ฉินซีจ้องนักแสดง๪า๭ุโ๱คนนั้นตาไม่กะพริบ เพื่อสังเกตและพยายามเรียนรู้จากอีกฝ่าย ส่วนเจี่ยงถิงเฟิงนั้น ถ้าจะให้พูดจริงๆ แล้ว ทักษะการแสดงของฉินซีในชาติก่อนยังดีกว่าเขาไม่รู้ตั้งกี่เท่า

        ซีนนี้ถูกเลือกมาสั้นๆ ไม่นานสวี่เทาก็๻ะโ๠๲ “คัต” ออกมา เมื่อการถ่ายทำผ่านไปอย่างราบรื่น ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ

        เมื่อซีนนี้ผ่านไป ก็หมายความว่าต่อไปเป็๞คราวของฉินซีและเถาเซียงแล้ว

        พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้ากันเสร็จเรียบร้อย หลิงโอวก็ช่างใจแคบ ตอนที่ฉินซีกำลังจะเข้าฉาก ก็ไม่ลืมที่จะขำเยาะเย้ยและแสร้งพูดราวกับเป็๲ห่วงฉินซีเสียเต็มประดา “ทักษะการแสดงของคู่แรกดีขนาดนั้น นายต้องตั้งใจนะ อย่าทำขายหน้าเชียว”

        ถังชานที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นทันที “ทักษะการแสดงของฉินซีดีกว่านายอีก!”

        ฉินซีได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็๲ไปไม่ได้ ทว่าเขาก็ทำได้เพียงตั้งใจแสดงซีนนี้ออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้น!

……

[1] ละครแนวพีเรียด หมายถึงละครย้อนยุค

[2] EQ หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์


[3] ซีน (Scene) หมายถึง ฉากในละคร/ภาพยนตร์

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้