“หลงยวนหรือ…” มือขาวอมชมพูราวกับจะโปร่งแสง กอบข้าวขึ้นมากำหนึ่งแล้วโปรยออกไป
เวลาที่นางใช้อยู่ในสวนหงส์แห่งนี้นับวันก็ยิ่งจะนานขึ้น
เมื่อได้ยินเื่ที่ฮูหยินหลัวเพิ่งจะได้รับพระราชทานที่ดินศักดินาบนูเาหลงยวน ก็ไตร่ตรองอยู่นานสองนาน
ที่ดินผืนนี้ต่อให้นางไม่กล่าวอะไร ก็คงมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยนางลงมืออยู่ดี
ครานี้ผู้ที่ออกความเห็นช่างใจตรงกับนางนัก
หากว่าตั้งใจสังเกตสักหน่อยก็จะพบว่าในราชสำนักทุกวันนี้ ผู้ที่อยู่ฝั่งฮองเฮาจ้าวมักจะเลื่อนตำแหน่งไวกว่าใครอื่น
“ใครเป็คนต้นคิดเื่นี้” ฮองเฮาจ้าวถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา
“เป็บัณฑิตที่ไม่มีผลงานอะไรพ่ะย่ะค่ะ ทว่าบัณฑิตคนนี้เดิมทีก็เป็คนข้างกายของฮูหยินหลัว ว่ากันว่าบัณฑิตคนนี้หลงรักฮูหยินหลัว เพื่อให้ฮูหยินหลัวได้สมหวังถึงขั้นยอมทิ้งความสามารถแล้วปักหลักอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จากนั้นจึงสร้างโรงทอผ้าขนสัตว์ขึ้นมา ครานี้ก็ยังติดตามฮูหยินหลัวมาเมืองหลวงด้วย กระทั่งจวนหลัวก็เป็บัณฑิตหวังท่านนี้เป็คนจัดการ ช่างคาดไม่ถึงว่าฮูหยินหลัวจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ เพียงเพิ่งจะเข้ามาเมืองหลวงก็ตะกายขึ้นที่สูงมาต้องตาฝ่าาได้เสียแล้ว” ขันทีวัยกลางคนศีรษะก้มต่ำ ทว่ารายงานเื่ราวได้ละเอียดนัก เขารู้ดีว่าเื่ที่ทำให้นายของตนเอ่ยปากได้ แน่นอนว่าจะต้องเป็เื่ที่นายของตนสนใจ
เป็ไปตามที่ขันทีคาดไว้ ฮองเฮาจ้าวฟังขันทีรายงานอยู่นานสองนาน ทว่านางก็ไม่ได้มีท่าทีเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
มือคู่งามยังคงกำเม็ดข้าวโปรยลงพื้นทีละน้อย
ใต้แสงตะวันที่ส่องสว่าง เหล่านกยูงขนสั้นก็กรูกันเข้ามาแย่งเม็ดข้าวที่โปรยลงมา ขนสั้นๆ ของมันยังคงหลากสีสัน หากไม่มองบั้นท้ายก็นับว่ายังคงน่ามอง
“เพราะรักจึงได้เกลียดใช่หรือไม่ บุรุษเปลี่ยนใจ เปลี่ยนได้ไว้เหลือเกิน”
ขันทีวัยกลางคนรู้ว่าฮองเฮาไม่ได้กล่าวประโยคนี้กับตน จึงยังคงก้มหน้าดังเดิม
“เช่นนั้นก็ถือโอกาสช่วยสนับสนุนสักหน่อยก็แล้วกัน ภายในเวลาสั้นๆ เช่นนั้น ยังคิดวิธีแก้แค้นออกมาได้ ทั้งยังทำได้จริง นับว่าเป็คนมีความสามารถคนหนึ่ง” ฮองเฮาจ้าวตรัสจบก็โบกมือเบาๆ
ขันทีวัยกลางคนที่ยังคุกเข่าอยู่ก็ค่อยๆ ถอยหลังจากไป
แม้แสงตะวันจะสาดส่องลงมาบนแผ่นหลังเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยสักนิด
……
วันที่เจ็ดเดือนสิบสอง
แสงแดดเจิดจ้า
ควรแก่การย้ายบ้าน การก่อเตา และการออกเดินทาง
ฟ้าเพิ่งจะสาง ผู้ดูแลบัณฑิตเฉินก็ออกมารอหน้าประตูสำนักเชินทันที
บัณฑิตบางกลุ่มที่สงสัยว่าแม่นางหลัวมีรูปโฉมเช่นไรก็แอบออกมารอดูนางเช่นกัน
ลือกันว่านามเดิมของฮูหยินหลัวคือหลัวชิงเฉิง ทั้งนางยังงามล่มเมืองสมชื่อ
ว่ากันว่าวันที่นางเข้าเมือง นางที่นั่งอยู่ในเกี้ยว ใบหน้าโผล่ออกมาเพียงเสี้ยว เหล่าตระกูลขุนนางที่สายตาสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไรก็ยังตื่นตะลึง ส่งผลให้คนที่รอเข้าเมืองในวันนั้นต้องต่อแถวกันนานกว่าปกติ
ทั้งยังเล่ากันอีกว่าฝ่าาเห็นนางเพียงครั้งเดียวก็หลงรักนางเสียแล้ว
บางคนที่ใจกล้าสักหน่อยยังถึงขั้นกล่าวว่าบทกวียอดหญิงงามเหมาะสมกับฮูหยินหลัวยิ่งกว่า
ฮูหยินหลัวยังงดงามกว่าฮองเฮาจ้าวหลายเท่า
เหล่าคนกล้าในแคว้นเชินล้วนวิจารณ์ได้อย่างอิสรเสรี คนที่เห็นด้วยกับคนเหล่านี้ก็มีอีกไม่น้อย
มิเช่นนั้นฮ่องเต้ที่ตำหนักในมียอดหญิงงามอยู่นับไม่ถ้วน จะไปหลงรักสตรีม่ายนางหนึ่งได้อย่างไร ทั้งยังทรงกล้าพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็ถึงฮูหยิน น้ำใจของฝ่าาช่างกว้างขวางจนรู้กันไปทั้งแคว้น
แน่นอนว่าย่อมมีบัณฑิตในสำนักเชินอีกไม่น้อยที่รังเกียจเื่นี้ ด้วยเพราะพวกเขารักและเคารพองค์หญิงอีเหริน จึงได้ร่วมกันประณามว่าฮูหยินหลัวคือนางปีศาจ ทั้งยังได้เขียนโคลงขบขันเพื่อเสียดสีฮูหยินหลัว พวกเขายืนยันจะต่อต้านเื่นี้ จึงไม่ได้ออกมาร่วมชมว่าแม่นางหลัวมีหน้าตาอย่างไร
องค์อีสำหรับเหล่าบัณฑิตในแคว้นเชินช่างสูงส่งนัก
ดังนั้นเหล่าคนที่ออกมารอดูจึงมีกันไม่มาก กระนั้นปากก็ยังกล่าวว่าฮูหยินนางนี้ช่างหน้าไม่อาย
พวกเขาอยากเห็นนักว่าสตรีที่มีสามีแล้ว ทั้งยังต้องเลี้ยงดูบุตรอีกโขยงหนึ่ง จะทำให้ทุกวันนี้ผู้คนหลงใหลจนิญญาแทบจะหลุดลอยไปหมดจะเป็อย่างไร
ทว่าอีกเหตุผลหนึ่งก็เป็เพราะองค์หญิงอี อาลู่และคนอื่นๆ ยังไม่ทันเข้าเรียนก็ถูกบัณฑิตคนอื่นๆ รุมเกลียดเสียแล้ว
พวกเขาล้วนสอบเข้าสำนักเชิน แต่เ้าเด็กพวกนี้กลับอาศัยเกาะชายกระโปรงสตรีเข้ามาเรียนในสำนักเชินได้
ทุกคนต่างก็รอให้เด็กเ่าั้มาถึงก่อน คราวนี้เด็กพวกนี้จะได้รู้ถึงอำนาจของพวกเขาสักหน่อย
ในสำนักเชิน ศิษย์เก่า และศิษย์ใหม่แบ่งลำดับชั้นอย่างชัดเจน
ทว่ารออยู่นานสองนานก็ยังไม่มีคนมา เหล่าบัณฑิตจึงค่อยๆ แยกย้ายกันไป มีเพียงผู้ดูแลบัณฑิตเฉินที่คิดไปคิดมาแล้วก็ตัดสินใจไปรอที่ตีนเขาหลงยวนแทน
เสียงระฆังจากวัดเล็กๆ ใกล้สำนักเชินดังขึ้นลง “ตึงๆๆ” เมื่อรวมกับเสียงน้ำพุด้านหลังูเาลูกนี้แล้ว ก็ช่างไพเราะนัก
สายลมปะทะใบหน้า
ใต้เท้าเฉินมองบรรยากาศด้านหน้าแล้วก็รู้สึกว่าช่างงดงาม ทว่าก็ช่างน่ากังวลใจนัก
เมื่อเขาเริ่มก้าวเท้าเพื่อออกเดินก็เห็นว่าในพงหญ้ามีหางงูโผล่มาไวๆ ใบหน้าของชายชราพลันเปลี่ยนเป็ซีดขาว ฝีเท้าพลันชะงักค้าง จากนั้นจึงเร่งหันหลังเดินลงบันไดกลับไป
…..
วันมงคลถูกเลือกมาเป็อย่างดี
วันนี้แม่นางหลัวจึงพาทุกคนลาจากจวนหลัวแสนสวยบนถนนหลีฮวาแห่งนั้นมา
ส่วนข้าวของชิ้นใหญ่ก็ยังคงทิ้งไว้ในจวนหลัวหลังเดิม
ผู้คนที่ร่วมเดินทางมามีไม่มากเท่าไร ใช้รถม้าแค่สองคันก็น่าจะพอแล้ว
ทว่าเพราะความเหมาะสมระหว่างชายหญิง ทั้งยังมีข้าวของอีกจำนวนหนึ่ง จึงต้องใช้รถม้าถึงสามคันจึงจะพอ
เด็กๆ เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง กระทั่งสำนักเชินก็ยังไม่ได้ไปเยือน กลับต้องทิ้งท่านลุงสามไปเสียแล้ว
เฉินโย่วรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา
่เวลาสำคัญเช่นนี้ท่านลุงสามกลับไม่ได้มาด้วยกัน
วันนั้นที่เขาบอกว่าจะจากไป เขาก็จากไปจริงๆ
ท่านน้าหลัวกับท่านลุงสามผูกพันกันถึงเพียงนั้น แต่ยามจะต้องแยกจากกลับเด็ดขาดนัก
เฉินโย่วที่ไม่เคยประสบกับความเศร้าโศกมาก่อน ยามนี้กลับรู้สึกเศร้าซึมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ทว่านางยังจำขันทีน้อยที่นางเพิ่งรู้จักได้
หลังจากที่แยกจากกันแล้ว นางก็ได้รับเนื้อแห้งที่เขาส่งมาให้ห่อหนึ่ง
เหมาะเจาะพอดีที่นางก็ส่งเนื้อแห้งไปให้เขาห่อหนึ่งเช่นกัน
เอาเนื้อแห้งมาแลกเนื้อแห้ง
เมื่อเฉินโย่วได้กินเนื้อแห้ง อารมณ์ที่เศร้าหมองก็พลันเบิกบานขึ้นมา เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่เศร้าโศกตลอดเวลาอยู่แล้ว อารมณ์ของนางมาไว แต่ก็ไปไวเช่นกัน
“ท่านน้า ข้าได้ยินท่านอาจารย์บอกว่าูเาที่เราจะไปมีชื่อว่าูเาหลงยวน บนูเามีงูมากมาย ท่านกลัวหรือไม่”
แม่นางหลัวหัวเราะหึๆ “ยามเ้ายังเล็ก ข้ายังเย็บกระเป๋าหนังงูให้เ้าด้วยมือของข้าเอง เ้าว่าข้าจะกลัวมันหรือไม่เล่า”
เมื่อเฉินโย่วคิดถึงเื่กระเป๋าหนังงูลายพร้อยของตน ก็ตื่นเต้นขึ้นมา
“ว้าว เช่นนั้นยามพวกเราขึ้นไปบนเขาแล้ว พวกเราก็ทำกระเป๋าหนังงูได้อีกมากเลยน่ะสิ แล้วยังเอาเนื้อมันมาทอดได้อีกด้วย ท่านปู่ปาทอดเนื้องูได้อร่อยนัก” เฉินโย่วเพียงคิดก็น้ำลายสอ
เหล่าปาที่นั่งบังคับม้าอยู่นอกตัวรถ เมื่อได้ยินเด็กหญิงกล่าวเช่นนี้ก็ยิ้มน้อยๆ
ูเาหลงยวนที่คนพวกนั้นกล่าวมา พวกเขาไม่แม้แต่จะรู้สึกกลัวเลยสักนิด
อาลู่อายุแค่สิบขวบก็สังหารงูเหลือมั์ได้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้
พวกเขาล้วนแต่มีความคิดว่าฤดูหนาวปีนี้ คาดว่าคงจะได้เสบียงจำนวนมากไว้กักตุนเสียแล้ว
พวกเขามาจากพื้นที่ห่างไกล ดังนั้นจึงคุ้นชินกับการที่ข้างกายมีเสบียงจำนวนมากจึงจะวางใจ
ด้วยหากว่าวันหนึ่งเกิดภัยพิบัติขึ้นมา ย่อมไม่มีสิ่งใดพึ่งพาได้เท่าเสบียงเหล่านี้อีกแล้ว
ทว่าในเมืองหลวงไม่ว่าอะไรก็ล้วนแพงหูฉี่ พวกเขาจึงไม่อาจทำใจใช้เงินซื้อของพวกนี้ได้จริงๆ
บัดนี้บนูเาเต็มไปด้วยงูทุกหนทุกแห่ง พวกเขาจึงอดดีใจไม่ได้ ใบหน้าต่างก็เต็มไปด้วยความยินดี
กระทั่งราชครูก็ยังนั่งระลึกรสชาติของเนื้องูย่าง เนื้องูโรยเกลือ เนื้องูผสมเครื่องปรุงรส รสชาติของมันไม่เลวเลยจริงๆ ชายชราคิดไปใบหน้าก็เผยแววคนึงถึงรสชาติ
ทว่าเด็กชายร่างอวบอ้วนเสี่ยวซีกลับถามขึ้นด้วยความสงสัย “พวกท่านไม่กลัวงูหรือ ตัวยาวๆ มันเลื่อม จะไม่น่ากลัวได้อย่างไร”
ขันทีชราที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยปรากฏแววกังวลบนใบหน้าเช่นกัน
แคว้นซีของพวกเขาอากาศค่อนข้างอบอุ่น พวกงูล้วนกลัวอากาศเช่นนี้ ยามที่ผู้คนพบเจอมันก็ยังฆ่าทิ้งเสียหมด
ทว่าคนกลุ่มนี้กลับเอาแต่ยิ้มแย้ม ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“งูนั้นยอดเยี่ยมมาก หนังมันเอามาทำรองเท้าได้ เนื้อยังเอามาราดพริกน้ำแดงได้ กระดูกมันก็เอามาทำปุ๋ยได้ ดีของมันยังเอามาทำยาได้ กระทั่งพิษของมันยังสามารถเอามาทำกับดักได้ เรียกได้ว่าทั้งร่างของมันล้วนเป็ของล้ำค่า” เสี่ยวอู่ที่เซ่อซ่าเสมอมา เมื่อพูดถึงงูกลับพูดได้มีเหตุมีผลนัก
ส่วนอาสวินฟังไปก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
หลักการนี้เขาค่อนข้างจะคุ้นเคย…ยามอยู่บนทุ่งหญ้าไม่ว่าสัตว์อะไรก็ล้วนแต่สามารถใช้หลักการเช่นนี้ได้กระมัง
