ย่าหลี่แค่นเสียงดังเฮอะ มองหลินฟู่อินแล้วพูด “เ้าไปต่างเมืองหลายวันย่อมไม่รู้ แต่ต้าหลางบ้านลุงเ้าได้เป็ซิ่วไฉแล้ว ได้ยินว่าทำคะแนนได้ดีจึงได้เป็หลิ่นเซิง [1] บ้านป้าใหญ่เ้าช่างโชคดีจริงๆ!”
โอ้โห?
หลินต้าหลางได้เป็ซิ่วไฉจริงๆ ด้วย แถมยังทำได้ดีจนได้เป็หลิ่นเซิงเสียด้วย?
การได้เป็หลิ่นเซิงนี้ไม่ใช่จะเป็กันง่ายๆ เมื่อได้รับการยอมรับเป็หลิ่นเซิงแล้วเขาจะได้รับอาหารจากทางการ
ตามกฎหมายต้าเว่ย ซิ่วไฉที่ได้สถานะหลิ่นเซิงจะได้รับข้าวเดือนละแปดถังจากทางการ พร้อมกับเงินสิบตำลึงเงินต่อปี
เทียบกับยุคปัจจุบันก็เหมือนได้ตั๋วอาหารและได้ทุนการศึกษานั่นเอง
ข้าวหนึ่งถังในต้าเว่ยจะมีราวๆ สามสิบจิน หมายความว่าจากนี้หลินต้าหลางจะได้ข้าวสารเดือนละสองร้อยสี่สิบจินจากทางการทุกๆ เดือน พร้อมกับทุนการศึกษาปีละสิบตำลึงเงิน
การดูแลนี้ถือว่าดีมากๆ
สำหรับปู่หลินก็ถือว่าเป็การลงทุนที่คุ้มค่ายิ่งนัก
หลินฟู่อินยิ้ม นางไม่ใช่คนที่จะมองไม่เห็นข้อดีของคนที่เกลียด กล่าวออกมาว่า “เป็เื่ดีจริงๆ ถือว่าสกุลหลินเราก็ได้เชิดหน้าชูตาไปด้วย มิใช่ท่านปู่รอคอยเช่นนี้อยู่หรือ? ดีแล้วเ้าค่ะ!”
ย่าหลี่หันมา “ใครบอกว่าไม่ดีเล่า? แต่ป้าเ้าช่างตลกนัก! พอลูกชายได้เป็หลิ่นเซิงหน่อยก็หางชี้ฟ้า! ไล่เคาะประตูบอกไปเสียทุกบ้าน กระทั่งบ้านเราก็ยังมา ดึงดันจะเรียกเ้าออกมาให้ได้ ข้าบอกว่าเ้าเข้าเมืองก็ไม่เชื่อ กล่าวว่าเ้าอิจฉาต้าหลางที่ได้เป็ซิ่วไฉจึงไม่อยากพบนาง…”
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว พูดไม่ออก
“ยังไม่พอ นางยังด่าเ้าหยาบคาย สุดท้ายยังขู่ให้เ้าทำตัวดีๆ ไม่อย่างนั้นจะให้หลินต้าหลางมาจัดการเ้า” แม่นมฉินเสริม ดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน “เป็ซิ่วไฉก็ทำตัวเสียขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยได้เป็จวี่เหรินไม่รู้จะขนาดไหน!”
ั้แ่แม่นมฉินมาอยู่ที่บ้านหลินฟู่อินก็ระมัดระวังอยู่เสมอ นานๆ ครั้งจะแสดงความเห็นออกมา ครั้งนี้ถึงกับอดพูดเื่จ้าวซื่อไม่ได้ ทำให้พอจะเดาออกว่าจ้าวซื่อคงด่านางเอาไว้เยอะมากจริงๆ
หลินฟู่อินหัวเราะเหยียดหยัน นางรู้นิสัยจ้าวซื่อดี แต่ครั้งนี้หลินต้าหลางได้เป็ซิ่วไฉจึงทำให้นางลำบากแล้ว
“ช่างนางเถอะเ้าค่ะ อยากทำอะไรก็ทำไป” หลินฟู่อินปลอบย่าหลี่กับแม่นมฉิน ก่อนจะหลิ่วตา “ขอเพียงอีกหน่อยข้าไม่อยู่บ้าน ท่านป้าก็ไม่เป็ไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็ใครจากบ้านเดิมก็ไม่ต้องเปิดทั้งนั้น ไม่ต้องไปสนใจว่าจะก่อปัญหาอยู่หน้าบ้านแค่ไหนด้วย”
แม่นมฉินพยักหน้า แต่ย่าหลี่รู้ว่าคนบ้านเดิมสกุลหลินนั้นยุ่งยากเพียงใด จึงทำเพียงส่งเสียงอืมเท่านั้น
หลินฟู่อินไม่ได้สนใจสีหน้าย่าหลี่ นางกลับเข้าห้องเพื่อหาเสื้อเปลี่ยนแล้วค่อยไปอาบน้ำ
เด็กสาวนั่งรถม้ามาครึ่งค่อนวัน เพราะบนรถม้ามีแต่บุรุษจึงงีบหลับไม่ได้ เกินครึ่งวันก็ต้องใช้เวลาทั้งหมดนั่งสนทนากับคุณชายแปด
ดังนั้นตอนนี้หลินฟู่อินจึงได้รู้สึกเหนื่อยแทบแย่แล้ว พอคุยกับย่าหลี่เสร็จนางก็เข้านอน
นางหลับไปตลอดบ่าย พอตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดแล้ว
นางตื่นเพราะเสียงสนทนาจากด้านนอก
พอลุกขึ้นมานางก็เดินไปยังห้องรับรอง เห็นหลินเฟินนั่งคุยกับย่าหลี่และแม่นมฉินอยู่ อีกฝ่ายเห็นนางมีสีหน้าง่วงงุนเดินลากรองเท้าออกมาก็ลุกขึ้นยิ้ม “ฟู่อินตื่นแล้ว ย่าหลี่ยังพูดอยู่ว่าถ้าเ้าไม่ตื่นจะไปเรียก”
หลินฟู่อินหัวเราะ “พี่เฟินก็มา นั่งสิ วันนี้ข้านั่งรถม้าอยู่นาน ก็เลยนอนชดเชยที่ไม่ได้งีบเสียเลย”
หลินเฟินปิดปากยิ้ม “นั่งเกวียนเทียมลามาจากในเมืองครู่เดียวก็เหนื่อยแล้ว เ้านั่งรถม้านานๆ ย่อมต้องเหนื่อยกว่า ประเดี๋ยวข้าไปเอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาให้ เช็ดหน้าเช็ดตาเสียหน่อยแล้วมากินข้าวกัน”
หลินฟู่อินพยักหน้า หลินเฟินเดินเข้าครัวไปเตรียมน้ำร้อนอย่างคล่องแคล่ว หลินฟู่อินรับผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ มาเช็ดหน้าแล้วพูด “พี่เฟินยังไม่ได้กินข้าวนี่ เรียกท่านลุงสองมาด้วยเสียเลย กินข้าวด้วยกันเถอะ”
หลินเฟินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มสุภาพ “ข้าทำอาหารให้ท่านพ่อก่อนออกมาแล้ว วันนี้ข้าอยากมากินข้าวกับเ้า”
หลินฟู่อินไม่เซ้าซี้ บ้านนางมีแต่สตรี แม่นมฉินอายุยังไม่มากขนาดนั้นจึงเกรงว่าหากให้ลุงสองมาร่วมโต๊ะด้วยจะมีข่าวลือไม่ดีเอาได้
ไม่นานอาหารก็มาถึงโต๊ะ ย่าหลี่ทำอาหารจนเต็มโต๊ะจริงๆ ด้วย เป็จานเนื้อสี่อย่าง ฤดูนี้ผักมีไม่มาก จะให้ย่าหลี่เตรียมจานผักย่อมไม่ง่าย
รับประทานอาหารเย็นเสร็จ ย่าหลี่ก็รีบออกไปล้างจาน ให้นางนั่งคุยกับหลินเฟิน
“พี่เฟิน ข้าไม่อยู่บ้าน่นี้เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ? กิจการไข่ดอกสนเล่า?”
หลินเฟินดวงตาหยีโค้งเมื่อได้ยินคำถามเื่กิจการ นางตอบ “ที่บ้านสบายดี ท่านแม่ขอให้ลุงหลิวมาส่งจดหมายให้ ยังบอกว่ากิจการของเ้าในเมืองที่มีคนชื่อท่านตวนมู่ดูแลนั้นเป็ไปได้ดีมาก วันแรกลุงใหญ่เห็นเขาก็ไม่ยอม กล่าวว่าเขาเป็ลุงเ้า ในเมื่อเ้ากับคุณชายใหญ่หลิวไม่อยู่ เขาย่อมเป็คนดูแล จากนั้นท่านตวนมู่ก็ถามว่าเขานับเลขทำบัญชีได้หรือไม่? สามารถไปร้านแลกเงิน แลกเงินก้อนใหญ่ได้หรือไม่? แล้วท่านลุงก็หยุดไปเลย ฮ่าๆ”
หลินเฟินยิ่งกว่ายินดี เห็นท่าทางก็รู้ว่าอยากเห็นเื่ตลกของผู้เป็ลุง
หลินฟู่อินยิ้มพยักหน้ารับ ฝีมือของตวนมู่เฉิงนั้นผู้อื่นไม่ทราบ แต่นางพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ต่อให้เป็เถ้าแก่หลิวสิบคนก็ยังไม่ใช่คู่แข่ง
หลินต้าซานหาเื่ตวนมู่เฉิงนี่ไม่ใช่หาเื่ตายหรือ? โง่เขลาเกินไปแล้ว
หลินฟู่อินอยากจะหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้
หลินเฟินคิดได้อีกเื่ นางกะพริบตาปริบๆ พอคิดดูแล้วก็พูดออกมาอยู่ดี “ฟู่อิน ย่าหลี่บอกเ้าเื่พี่ต้าหลางได้เป็ซิ่วไฉแล้วใช่หรือไม่”
เห็นคู่สนทนาพยักหน้ารับ คนก็นิ่วหน้าแล้วพูดต่อ “วันนั้นข้าไปร้านค้าแถวบ้านของหลินซิ่วไฉชราเพื่อรับซื้อไข่ พอผ่านแม่น้ำสายเล็กก็เห็นพี่ต้าหลางกับคนที่แต่งตัวดูร่ำรวยคนหนึ่งนั่งอยู่ริมแม่น้ำกำลังคุยกันอยุ่”
หลินฟู่อินไม่ได้คิดมาก “เกรงว่าคงเป็สหายร่วมห้องกระมัง?”
หลินเฟินส่ายหน้า กล่าวด้วยท่าทีอัดอั้น “ฟู่อิน เ้าไม่รู้ แต่ว่าพี่ต้าหลางไม่ใช่คนดีอะไร การเรียนก็ไม่ดี หาไม่คงได้เป็ซิ่วไฉตั้งนานแล้ว เพื่อนร่วมห้องที่สนิทด้วยก็มีนิสัยคล้ายๆ กัน แต่หากจะถามว่าคนเ่าั้มีใครแต่งตัวร่ำรวยเหมือนคนที่ข้าเห็นหรือไม่ ข้าว่าไม่มี”
หลินฟู่อินพลันนึกขึ้นมาได้ ใช่แล้ว การเรียนของหลินต้าหลางไม่ได้ดีอะไร เ้าตัวก็ไม่ได้ฉลาดมากมาย สอบตั้งหลายปีขนาดนั้นยังไม่ได้ติดเป็ตัวสำรองด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็ซิ่วไฉ
แล้วเหตุใดอยู่ๆ ปีนี้ถึงโชคดีขึ้นมาได้? ครั้งเดียวก็ได้เป็หลิ่นเซิงเลย?
หลินเฟินยังกล่าวต่อ “ข้าเห็นเขาทะเลาะกับชายคนนั้น ตอนหลังก็เอาบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ สีหน้าลังเลอยู่นานสุดท้ายก็ส่งของไปให้คนผู้นั้น พอคนนั้นรับของไปก็มีสีหน้ายินดียิ่งนัก ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าพี่ต้าหลางให้อะไรเขาไป แต่พอคิดย้อนดูแล้วก็เหมือนจะเป็กระดาษอะไรสักอย่าง”
“กระดาษ?” หลินฟู่อินทวน ทันใดนั้นก็นึกออก “คงไม่ใช่ตั๋วแลกเงินกระมัง?”
พอได้ยินหลินฟู่อิน หลินเฟินก็ลองคิดตาม นางติดตามหลินฟู่อินย่อมเคยเห็นตั๋วแลกเงิน สิ่งที่ต้าหลางมอบออกไปอาจจะเป็ตั๋วแลกเงินจริงๆ!
“เกรงว่าจะเป็ตั๋วแลกเงินตำลึง…” หลินเฟินว่า “พี่ต้าหลางไปเอาตั๋วแลกเงินตำลึงเงินมาจากที่ใดกัน? หลินซิ่วไฉคนนั้นรับศิษย์เพียงไม่กี่คน ไม่มีทางมีตั๋วแลกเงินแน่ ท่านย่าที่บ้านเดิมก็ยิ่งเป็ไปไม่ได้ที่จะมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านลุง แล้วเขาไปเอามาจากที่ใด?”
เื่นี้หลินฟู่อินก็นึกไม่ออกเช่นกัน
สิ่งที่นางสงสัยคือการได้เป็ซิ่วไฉของหลินต้าหลางจะเกี่ยวกับชายคนนั้นหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ธุระของนาง ที่นางกับหลินเฟินยกเื่นี้มาคุยก็เพียงเพราะสงสัยเท่านั้น
“พี่เฟิน ช่างเขาเถอะ เขาได้เป็ซิ่วไฉก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ได้เงินได้ข้าว อย่างไรก็จะให้ท่านปู่ท่านย่าเลี้ยงเขาไปตลอดไม่ได้กระมัง? เช่นนี้ปัญหาของเราก็น้อยลงไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินเช่นนี้หลินเฟินก็หัวเราะ ก่อนจะส่ายหน้าด้วยท่าทีอับจน ชี้ไปยังทิศทางของบ้านเดิม “ฟู่อิน เ้ามองคนบ้านเดิมง่ายไปแล้ว คนพวกนั้นได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ! ดูเอาเถอะ การสอบของหลินต้าหลางเพิ่งเริ่มเท่านั้น อีกหน่อยเขาจะยิ่งต้องใช้เงินมากกว่านี้อีก เงินที่ท่านปู่โดนสูบไปยังเรียกว่าโดนสูบไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ได้ยินคำพูดของพี่สาว หลินฟู่อินอดตัวสั่นไม่ได้ แต่นางก็ไม่ปฏิเสธ
หากเป็อย่างที่หลินเฟินพูด การสอบติดของหลินต้าหลางก็เป็แค่จุดเริ่มต้นของฝันร้ายสำหรับบ้านสกุลหลินเท่านั้น…
นางไม่อยากคิดถึงเื่ร้ายๆ จึงรีบเปลี่ยนเื่อย่างรวดเร็ว “เลิกพูดถึงเขาเถอะ ว่าแต่ไร่กะหล่ำปลีที่ท่านลุงสองปลูกให้ข้าเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”
หลินเฟินเห็นนางถามเื่นี้ก็อารมณ์ดี “เื่นี้นี่นะ ไม่เพียงกะหล่ำปลีจะไม่ถูกความหนาวจนตาย ทว่ายังมีชีวิตชีวาเสียจนชาวบ้านประหลาดใจกันหมดแล้วว่าโตขนาดนี้ได้อย่างไร”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็โล่งใจ
สองพี่น้องนั่งคุยกันต่อสักพักหลินเฟินก็ลุกขึ้นกล่าวลา นางรู้ว่าพรุ่งนี้น้องสาวจะต้องขึ้นเกวียนเทียมลาเข้าเมืองแต่เช้าจึงอยากให้อีกฝ่ายรีบเข้านอนเร็วหน่อย
วันต่อมาหลินฟู่อินก็ขึ้นเกวียนเทียมลาเข้าเมืองจริงๆ ตรงดิ่งไปยังร้านที่หลินซานหลางอาศัยอยู่
ทันทีที่เข้าร้าน บรรยากาศอบอุ่นก็ปะทะตัว คนที่นางจ้างมาต่างก็กำลังช่วยกันแช่ถั่วในน้ำอุ่นอยู่
คนแรกที่นางเห็นคือต้ายาที่กำลังเทถั่วปากอ้าตากแห้งหนึ่งตะกร้าลงในถังใหญ่
เห็นหลินฟู่อินเดินเข้ามา นางก็รีบโยนตะกร้าลงพื้น ะโเข้าหา “ฟู่อินมาแล้ว เหตุใดมาตอนนี้เล่า ได้ยินท่านป้าหลินบอกว่าเ้าต้องเข้าเมือง เป็เื่จริงหรือ?”
หลินฟู่อินยิ้ม ตบบ่าสหายเบาๆ “ใช่ ข้าไปเมืองชิงเหลียนมา”
“โอ เ้าเข้าเมืองจริงๆ ด้วย ในเมืองมีชีวิตชีวามากใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินยิ้ม พยักหน้าอีกครั้ง
มารดาต้ายาเห็นบุตรสาวเอาแต่คุยจนไม่ยอมทำงานก็ร้องเรียก “ต้ายาอย่าี้เี ไปทำงาน!” จากนั้นจึงยิ้มขอโทษหลินฟู่อิน แล้วทักทาย “ฟู่อินมาแล้ว”
หลินฟู่อินยิ้มทักทายนาง จากนั้นจึงถามหาป้าสองกับหลินฟาง
มารดาต้ายาบอกว่าเฟิงซื่อกับหลินฟางกำลังต้มน้ำอยู่ในครัวด้านหลัง พอหลินฟู่อินขอบคุณนางแล้วก็เดินไปหาทั้งสองทันที
ตอนที่มาถึง หลินต้าซานนั่งอยู่หลังถังใบใหญ่ หลินฟู่อินจึงไม่เห็นเขา พอหลินต้าซานเห็นว่าหลินฟู่อินมาถึง คนแรกที่มาหากลับไม่ใช่เขาที่เป็ลุงใหญ่ ทว่าเป็เฟิงซื่อสตรีคนหนึ่ง เขาจึงอารมณ์ไม่ดี ใบหน้าครึ้มลง
คนสกุลเฉียนผ่านมาเห็นหลินต้าซานนั่งยองๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดก็ถามอย่างสงสัย “พี่หลินเป็อะไรไป? เหตุใดจึงทำหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้เล่า?”
หลินต้าซานมองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด “ไม่มีอะไร งานเ้าเสร็จแล้วหรือ?”
อีกฝ่ายยิ้มแล้วตอบกลับ “เป็ถั่วเขียวกระบุงสุดท้ายแล้ว ว่าแต่พี่หลิน ท่านยังเหลืออีกตั้งยี่สิบกว่ากระบุงแน่ะ อยากให้ข้าช่วยหรือไม่?”
งานที่ตวนมู่เฉิงจัดการให้บุรุษวัยหนุ่มกับวัยกลางคนทำมีมากกว่าการแช่ถั่วเท่านั้น
เพราะจำนวนถั่วที่หลินฟู่อินจัดมาให้มีเยอะมาก หลินต้าซาน พี่น้องสกุลเฉียนและบ้านที่ได้รับเลือกจากห้าคำประกันมาเริ่มเตรียมการทำถั่วงอกั้แ่เมื่อสามวันก่อน
อย่างแรกคือต้องชั่งน้ำหนักเมล็ดพืช จากนั้นนำถั่วเขียวและถั่วเหลืองตากแห้งไปแช่ในน้ำที่มีอุณหภูมิราวแปดสิบองศาข้ามคืน รอจนถั่วงอกเริ่มโตก็ระบายน้ำออกในวันต่อมา
เรียกว่าการลวกเมล็ด
งานลวกนี้ตวนมู่เฉิงให้คนสูงวัยจากห้าค้ำประกันเป็คนทำเพราะง่ายกว่า
ขั้นที่สองคือการแช่ถั่วในผ้าขาวบางชุ่มน้ำ จัดระยะห่างให้เหมาะสมแล้วนำผ้าขาวบางที่ห่อถั่วไปใส่ไว้ในถังน้ำขนาดใหญ่ แล้วจึงใช้ผ้าขาวบางปิดทับอีกชั้นหนึ่ง
หลังจากที่เสร็จแล้วก็ให้นำกรอบไม้ที่ทำเป็รูปกากบาทใส่เข้าไปในถังน้ำ แล้ววางทับด้วยตะแกรงที่ทำจากไม้ไผ่สาน้า จากนั้นก็วางผ้าขาวบางเปียกไว้้าตะแกรงไม้ไผ่สาน จากนั้นโรยเมล็ดที่ลวกแล้วทับผ้าขาวปากเปียกอีกชั้น
หลังจากนั้นคือการทำขั้นตอนเดิมเช่นนี้ไปจนกว่าถังน้ำขนาดใหญ่จะเต็ม เมื่อมาถึงปากถังแล้วก็ปิดด้วยกระดาษมัน แล้วมัดกระดาษมันไว้ด้วยเชือกหนาๆ
รอจนเช้าวันต่อมาก็ให้แกะกระดาษออก เทน้ำลงไปเล็กน้อย ทำเช่นนี้ติดต่อกันเจ็ดวัน
ขั้นตอนนี้คนทำคือหลินต้าซานกับพี่น้องสกุลเฉียน เพราะพวกเขายังหนุ่มแน่นความคิดคล่องแคล่ว ขั้นตอนเหล่านี้จะผิดพลาดหรือลืมไปไม่ได้เด็ดขาด
ยามนี้หลินต้าซานกับพี่น้องสกุลเฉียนทำขั้นตอนที่สองติดต่อกันไม่หยุดมาหลายวัน คนบ้านเฉียนทำจนเกือบเสร็จงานส่วนของวันนี้แล้ว แต่หลินต้าซานยังเหลืออีกมากกว่ายี่สิบกระบุงกว่าจะเสร็จ
ดังนั้นเหล่าเฉียนคนโตจึงได้ถามว่าอยากให้ช่วยหรือไม่
เขาเพียงถามเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็ลุงของหลินฟู่อินเท่านั้น อย่างไรก็เป็งานทั้งนั้น ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันหมด ใครจะสนว่าเ้าจะทำเสร็จหรือไม่?
ทว่าหลินต้าซานกลับไม่ได้ดูซาบซึ้งใจสักนิด ทำเพียงแค่นเสียงเย็นตอบ “ทำเสร็จแล้วก็ไปพัก เห็นใจปลอมๆ เช่นนี้น่าสนใจหรืออย่างไร”
เหล่าเฉียนเห็นอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็ไม่พอใจ จังหวะประจวบเหมาะกับที่เฉียนต้ายามาได้ยินเข้าพอดี
นางเป็คนใจร้อน ตอนนี้อารมณ์ไม่ดีก็โยนงานในมือ วิ่งเข้าไปหาหลินต้าซานแล้วต่อว่าทันที “ลุงหลินพูดเช่นนี้กับพ่อข้าได้อย่างไร? พ่อข้าถามท่านด้วยความจริงใจ ไม่ได้ทำอะไรท่าน ท่านไม่ชอบก็ไม่ว่า แต่ยังมาหาว่าพ่อข้าเสแสร้งอีก พูดเช่นนี้ได้อย่างไร?”
โดนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชี้หน้าเช่นนี้หลินต้าซานก็ยิ่งโมโห เขามองต้ายาของบ้านเฉียน เห็นแล้วรู้สึกเหมือนได้เจอหลินฟู่อินอีกคน
ไม่น่าพอใจแม้แต่น้อย
เขาเป็บุรุษตัวโตย่อมไม่ทำให้ตัวเองขายหน้าด้วยการไปโต้เถียงกับเด็กยังไม่โตเต็มวัยคนหนึ่ง จึงได้หันไปหาคนบ้านเฉียน “ดูลูกสาวเ้าให้ดีๆ ลิ้นนางเฉียบคมไม่น่าให้อภัยเท่าไรนัก ระวังเถอะ อีกหน่อยจะหาลูกเขยไม่ได้!”
แม่ต้ายาบังเอิญเดินผ่านมาได้ยินอีกคนก็วางตะกร้าหวายในมือลงกับพื้นทันที นางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนหลายครั้ง จากนั้นมองหลินต้าซานด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ “พี่หลินใหญ่ ท่านเป็บุรุษตัวโตจะมากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุใดลูกสาวข้าจะหาสามีไม่ได้? ท่านเองก็มีลูกสาว ดังนั้นก็ไปห่วงลูกสาวสองคนของท่านเถอะ!”
โดนทั้งผู้เป็แม่และผู้เป็ลูกชี้หน้าด่าต่อๆ กัน จมูกของหลินต้าซานแทบจะบี้เข้าไปอยู่แล้ว
เขาถอดผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่แล้วปาลงพื้น พูดอย่างโมโห “ข้าลาออก! นี่เป็กิจการที่หลานสาวข้าเป็คู่ค้า แต่ผู้อื่นกลับปีนหัวข้ากันไม่หยุด นี่มันเื่บ้าอะไรกัน?”
หลินฟู่อินกับเฟิงซื่อแม่ลูกคุยกันเสร็จก็เดินออกมา ยังไม่ทันถึงห้องโถงก็ได้ยินคำพูดของหลินต้าซานเต็มหู
นางยืนตัวตรงดั่งเสาเข็ม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มองหลินต้าซานแล้วถาม “ท่านลุง กำลังโวยวายเื่อะไรเ้าคะ?”
หลินต้าซานเห็นนางเข้ามาก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม
เขาเดินหลายก้าวอย่างรวดเร็วจนถึงตัวหลินฟู่อิน ชี้จมูกนางแล้วด่า “หลินฟู่อิน เ้ามาได้เวลาพอดี ข้าจะบอกเ้าให้ว่าข้าทำงานนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
หลินฟู่อินพยักหน้า ไม่แม้แต่จะถามเหตุผล “ได้เ้าค่ะ ข้าจะจ่ายค่าแรงของวันนี้ให้ ท่านกลับบ้านได้เลย”
หลินต้าซานชะงักไปครู่ใหญ่ เด็กคนนี้ไม่ถามเขาสักคำ บอกให้เขาไปง่ายๆ เช่นนี้?
เฮอะ ถึงนางจะบอกให้เขาไป แต่เขาไม่ไป!
“นี่คือสิ่งที่คนเป็หลานทำหรือ?” หลินต้าซานถาม สีหน้าหม่นครึ้ม “เ้าจะให้ข้าไปโดยไม่ถามเหตุผลว่าเหตุใดข้าถึงไม่ทำ?”
หลินฟู่อินคิดว่าคำถามของเขาน่าขบขันเหลือเกิน ตลกจนนางหมดความอดทน “ท่านลุง หากท่านอยากไปย่อมต้องมีเหตุผล ในฐานะผู้เยาว์ข้าย่อมไม่ขัดขวางการตัดสินใจของท่าน เช่นนี้ข้าจึงจะให้ค่าแรงท่านแล้วให้ท่านไป ข้าทำไปด้วยความเคารพอย่างที่สุดเ้าค่ะ”
หลินต้าซานได้ยินนางกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลายก็โมโหจนแทบลุกเป็ไฟ ไม่สนใจแล้วว่าหลินฟู่อินจะถามหรือไม่ พูดออกไปตามตรง “เ้าพูดมา เ้าไม่อยู่ที่นี่หลายวันก็หาคนสกุลตวนมู่นั่นมาดูแลพวกเรา เ้าคิดว่าข้าผู้เป็ลุงตายแล้วหรืออย่างไร? หรือไม่เชื่อข้าจึงจงใจไม่ให้ข้าดูแล? แล้วพอมาถึงก็ตรงไปหาป้าสองของเ้า ไม่แม้แต่จะสนใจข้าที่เป็ลุงใหญ่ ข้าผู้เป็ลุงยังไม่ดีเท่าป้าสองเ้าที่เป็สตรี? ในใจเ้าดูถูกข้า คิดจะทำให้ข้าโมโหหรืออย่างไร?”
----------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หลิ่นเซิง (廩生)หมายถึง บัณฑิตที่ได้รับเงินและข้าวจากทางการ เป็ผู้สอบได้คะแนนสูงที่สุดในการสอบระดับท้องถิ่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้