ฮ่องเต้สดับฟังเช่นนั้นก็ถอนพระปัสสาสะออกมา "ชายารัก เ้าจะทรมานตัวเองไปเพื่อสิ่งใด อินเอ๋อร์ตายเพราะกินในสิ่งที่ตัวเอง... เราผิดหวังยิ่งนัก"
ฮองเฮาทอดพระเนตรองค์ฮ่องเต้ แล้วนำกระดาษในมือมอบให้ "การตายของอินเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับฉีเฉิน เขาไม่สนใจความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ทำร้ายอินเอ๋อร์จนตาย"
ฮ่องเต้รับกระดาษมาอ่านข้อความที่อยู่ในนั้น พระขนงขมวดแน่น ไยเขาจะไม่รู้ว่าฉีเฉินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของฉีอิน แต่เขาจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เขาสูญเสียรัชทายาทไปแล้ว ยังจะต้องให้เขาปะาโอรสอีกคนด้วยเช่นนั้นหรือ?
ฮ่องเต้ทรงยืนขึ้นไม่ตรัสอะไรสักคำ แต่การนิ่งเงียบของพระองค์ทำให้ฮองเฮาผิดหวัง พระนางลุกขึ้นยืนโงนเงนชี้ไปที่ฝ่าาแล้วตรัสว่า "พระองค์ทรงให้ท้ายฉีเฉินเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่าอินเอ๋อร์มิใช่โอรสของพระองค์เช่นนั้นหรือ? พระองค์ก็รู้... พระองค์ก็รู้ว่าอินเอ๋อร์คือทุกสิ่งทุกอย่างของหม่อมฉัน ตอนนี้หม่อมฉันไม่มีโอรสแล้ว พระองค์จะให้หม่อมฉันทำอย่างไร?"
"ฮองเฮา เ้าช่วยมีสติหน่อย อย่านึกว่าเราไม่รู้ว่าเ้ากับกั๋วจิ้วกำลังทำอะไรอยู่ เราไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเราไม่รู้ เราไม่เอาโทษเ้าเพราะเห็นแก่เ้ากำลังเ็ปกับการเสียโอรสไป มาตอนนี้เ้ากลับมาตำหนิเราเช่นนี้หรือ?" น้ำเสียงของฮ่องเต้มีแต่ความเ็า น้ำตาของฮองเฮาราวกับสายฝนที่รินหลั่ง พระนางไม่ตรัสสิ่งใดอีก เพียงแค่ทรงพระสรวลเบาๆ แล้วก็ถอยออกไปจากตำหนักใหญ่เงียบๆ
หลังจากฮองเฮาเสด็จกลับไปแล้ว ฮ่องเต้ทรงอ่านกระดาษแผ่นนั้นอีกสองสามรอบ พระทัยรู้สึกตรอมตรม ในเวลานั้นมีขันทีเข้ามารายงานว่าฉีเฉินมาแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกปวดตุบๆ ที่ขมับ
ขันทีมองไปที่จักรพรรรดิ แล้วถามอย่างระวังคำพูด "ฝ่าา จะทรงให้องค์ชายรองเข้าเฝ้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
"พอเถอะ เ้าบอกให้เขากลับไป เราเหนื่อยแล้วไม่อยากพบใครทั้งสิ้น"
ขันทีรับพระบัญชาแล้วก็ถอยออกไป หลังจากนั้นก็ถ่ายทอดพระราชดำรัสของฝ่าาให้แก่ฉีเฉิน ฉีเฉินฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว ดึงขันทีเอาไว้แล้วถามขึ้น "รู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อทรงกังวลพระทัยเื่อะไร?"
ขันทีส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้จึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่พบฉีเฉินกะทันทัน ฉีเฉินไม่สามารถทำอะไรได้จึงกลับออกไป
ั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา ฮ่องเต้ก็เริ่มเหินห่างกับฉีเฉิน แต่ไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าก็ไม่ค่อยเรียกหาฉีเฉินเข้ามาปรึกษาขอความคิดเห็นเป็การส่วนพระองค์อีก ฉีเฉินเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เหล่าขุนนางใหญ่ก็เริ่มคิดอยู่เงียบๆ ว่าฉีเฉินได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว
ฉีเฉินยืนขบกรามกรอดอยู่ในท้องพระโรง ความคิดของฮ่องเต้เป็สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถคาดเดาได้ แต่จู่ๆ ก็ทรงเฉยเมยเ็ากับเขากะทันหันทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มคนของกั๋วจิ้วยังพากันถากถางดูิ่ จึงไม่แปลกที่ฉีเฉินจะโกรธถึงเพียงนี้
"หวางเหย่อย่าทรงกริ้วไปเลย อารมณ์เสียไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพ พรุ่งนี้ก็เป็วันงานเลี้ยงร้อยสกุลแล้ว ถึงเวลาหวางเหย่ก็ทรงอย่าลืมไปเข้าร่วม ถือเสียว่าเป็การผ่อนคลาย" เ้ากรมพิธีการเดินมายืนอยู่ข้างกายฉีเฉิน กล่าวอย่างประจบเอาใจ
ฉีเฉินพยักหน้า "ใต้เท้าสบายใจได้ เปิ่นหวางต้องไปแน่นอน" กล่าวจบก็ก้าวออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
งานเลี้ยงร้อยสกุลเป็งานเลี้ยงที่จัดขึ้นทุกปี ผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็ชายหนุ่มบุตรหลานของชนชั้นสูงในตระกูลขุนนางมารวมตัวกันในวันนี้ คุณหนูในสกุลมั่งคั่งบางตระกูลก็จะออกมาพบปะกับเหล่าคุณชาย เพื่อมองหาคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับตนเอง
ในวันนี้คุณหนูในห้องหอเ่าั้ก็จะพยายามแสดงตนให้เป็ที่สนใจอย่างเต็มที่ เพื่อคนที่ตนเองพึงใจได้เห็น และคิดหาวิธีการให้คนพาตนเองไป
ส่วนบรรดาคุณชายที่มาที่นี่นอกจากจะมาหาคู่ครองที่เหมาะสมแล้ว ยังมาหาสหายร่วมแบ่งปันอุดมการณ์อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็งานที่คึกคักเป็พิเศษ คนงามมาพร้อมสุราชั้นเลิศ ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร!
หลังจากกลับถึงจวน ฉีเฉินก็คิดขึ้นได้ว่า จวินหวงทำงานเพื่อตนเองมามากแล้ว เขาก็ควรจะพาจวินหวงไปร่วมงานเลี้ยงร้อยสกุลด้วย ตลอดที่ผ่านมาจวินหวงไม่้าเงินทอง ไม่้ายศตำแหน่ง หากช่วยเขาหาคู่ครองที่เหมาะสมได้สักคนก็ไม่เลว
คิดได้เช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้แจ้งให้จวินหวงทราบก่อนล่วงหน้า กลับส่งคนไปหาเถ้าแก่ร้านตัดเสื้อ ตัดสินใจตัดชุดให้จวินหวงสองชุด จวินหวงดูดีมาแต่กำเนิดอยู่แล้ว จะให้ดูด้อยค่าเพราะอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ได้เด็ดขาด
ไม่นานนักช่างตัดเสื้อก็มาถึง หลังจากแจ้งความประสงค์เรียบร้อย เถ้าแก่ร้านตบอกรับประกันว่าเขาจะส่งชุดใหม่มาให้ในวันพรุ่งนี้เช้าได้อย่างแน่นอน จากนั้นค่อยรับเงินแล้วออกจากจวนเฉินอ๋องไป
ในเวลาเดียวกันนี้ จวินหวงกลับนอนพักผ่อนอยู่ในที่พักของตนเอง ดวงตาที่งดงามไร้ที่เปรียบปรือปิดลงครึ่งหนึ่ง บดบังความสง่างามและความเฉลียวฉลาดเอาไว้ อาภรณ์แพรต่วนยุ่งเหยิงอยู่ในสายลม นางนอนอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย บนโต๊ะข้างมือมีน้ำชาและขนมอบวางอยู่ ดูเอ้อระเหยสบายอกสบายใจไม่น้อย
เว่ยเฉี่ยนยืนอยู่บนระเบียงทางเชื่อมมองจวินหวงอยู่ไกลๆ ไม่เข้ามาใกล้ และไม่พูดจา แต่สายตากลับไม่เลื่อนออกไปที่อื่นแม้แต่น้อย
เช้าวันต่อมา ขณะที่จวินหวงกำลังนอนหลับอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอกตอนแรกนางนึกว่าเป็เว่ยเฉี่ยน ก็รีบลุกจากเตียงสวมเสื้อผ้า จัดแต่งทรงผมเอาตามใจแล้วจึงออกมาเปิดประตู ก็เห็นที่หน้าประตูมีสตรีงดงามสองสามคนยืนอยู่ ในบรรดาพวกนาง คนหนึ่งยกอ่างน้ำล้างหน้า อีกคนถือเสื้อผ้า แต่ละคนยืนอยู่คนละข้าง ส่วนเว่ยเฉี่ยนยืนขวางอยู่หน้าสุด
"นี่มันอะไรกันหรือ?" จวินหวงงุนงงไม่รู้เื่ราว แต่สถานการณ์แบบนี้ดูมีบางอย่างผิดปกติ
สตรีคนหนึ่งเหล่มาที่เว่ยเฉี่ยนทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปยิ้มหวานพูดกับจวินหวง "คุณชายเ้าคะ หวางเหย่ให้พวกเรามาปรนนิบัติคุณชายตื่นนอนและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เ้าค่ะ"
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นางเคยบอกกับฉีเฉินไปแล้วว่าตนเองไม่ชอบให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติ ตอนนี้เขายังส่งคนมาแบบนี้อีก ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมาไม้ไหน
“พวกเ้าวางของไว้แล้วออกไปเถอะ ข้าทำของข้าเองได้" จวินหวงกล่าว
หญิงสาวต่างมองหน้ากันว่าจะเอาอย่างไรดี แต่ก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานจนเกินไป จึงพยักหน้า วางสิ่งของลงแล้วก็กลับออกไป ก่อนที่จวินหวงจะเข้ามาในห้องนางมองมือเว่ยเฉี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง แล้วอ้าปากพูด "เมื่อครู่ขอบคุณที่แม่นางช่วยขวางพวกนางไว้ให้ผู้น้อย" พูดจบก็กลับเข้ามาในห้อง ปล่อยให้เว่ยเฉี่ยนยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
จวินหวงเปลี่ยนชุดที่ฉีเฉินให้คนตัดมาให้เป็พิเศษ อาภรณ์แพรต่วนสีม่วงยิ่งขับให้นางดูงามสง่าเป็หมื่นส่วน เรือนผมสีดำสนิทเกล้าขึ้นและรัดด้วยกวานหยกขาว ในมือถือพัดแบบพับดูเป็คุณชายที่หล่อเหลาสง่างาม ดวงตาหมือนดวงดาวระยิบระยับ ยามยิ้มก็พริ้มเพรางามล่มบ้านล่มเมือง
ตอนที่ฉีเฉินมาถึง เห็นจวินหวงในรูปลักษณ์เช่นนี้เข้า ก็ตะลึงลานอยู่เป็เวลานาน สุดท้ายก็ปรบมือชมเปราะ "เลิศล้ำเพียงหยกงามพิสุทธิ์ เอกบุรุษใต้หล้านี้ไม่มีสอง น้องเฟิงช่างเกิดมาหล่อเหลาโดยแท้ ทำให้ข้านึกอิจฉาจริงๆ"
"หวางเหย่ชื่นชมเกินไปแล้ว" จวินหวงกล่าวพลางหลุบตาลงแล้วหัวเราะเบาๆ พัดในมือโบกไปมา เว่ยเฉี่ยนที่อยู่ด้านข้างเหมือนจะตกหลุมรักเข้าแล้ว หัวใจเต้นไม่เป็ส่ำไม่กล้าสบตาตรงๆ กับจวินหวง แต่ในสายตาของฉีเฉินกลับมองเห็นสิ่งที่มีคุณค่า
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว จวินหวงถึงเอ่ยถาม "วันนี้หวางเหย่ให้คนนำเสื้อผ้าใหม่มาให้ ยังจะให้ผู้น้อยสวมใส่ให้ได้ ไม่ทราบว่ามีงานมงคลอันใดหรือ?"
"ย่อมเป็เช่นนี้อยู่แล้ว วันนี้เป็วันงานเลี้ยงร้อยสกุลซึ่งเป็งานประจำปีของเป่ยฉี เปิ่นหวางยังไม่มีคู่ครองที่เหมาะสม ก็อยากจะหาชายาสักคนในงานเลี้ยงร้อยสกุลวันนี้ น้องเฟิงเองก็มีอายุที่สมควรจะแต่งงานได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นน้องเฟิงยังเป็คนมีความรู้ความสามารถ ควรจะมีคนที่รู้ใจสักคนถึงจะดี หากน้องเฟิงไม่รังเกียจ เปิ่นหวางจะเป็ผู้เสาะบุปผาคู่ควรเ้าให้เอง" ฉีเฉินกล่าว
แม้ว่าฉีเฉินจะกล่าวเช่นนี้ แต่จวินหวงเข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะเริ่มระแวงในตัวเขา วันนี้เขา้าหาคนที่เหมาะสมมาช่วยเสริมให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น ส่วนตัวนางเพียงแค่หาคนงามสักคนมาเป็คู่ครองก็พอแล้ว
"ผู้น้อยเป็แค่คนต่ำต้อย ตัวคนเดียวไม่มีอะไรเลย จะมีปัญญาทำให้แม่นางเ่าั้มาสนใจได้เสียที่ไหน หวังเพียงแค่แม่นางเ่าั้จะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดหนักกับตัวข้าน้อย" จวินหวงกล่าวเรียบๆ
"น้องเฟิงเ้าพูดอะไรของเ้า หาก้าหาคู่ครองที่เหมาะสมจริงๆ ก็ต้องพูดเื่ที่ดีงามสักหน่อยสิ" ฉีเฉินกล่าว จวินหวงได้แต่ยิ้มบางเบาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อยฉีเฉินก็พาจวินหวงขึ้นรถม้า ทั้งสองคนไปยังสถานที่ที่จัดงานเลี้ยงร้อยสกุล นั่นก็คือเหลาสุราที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทุกปีงานเลี้ยงร้อยสกุลก็จะจัดที่นี่ ขณะนั้นมีคุณชายมาถึงแล้วไม่น้อย พวกเขาประสานมือคารวะทักทายกัน คุยกันอย่างมีความสุข
ฉีเฉินลงจากรถม้ามาก่อน อีกไม่นานจวินหวงก็ตามลงมา ขณะที่เขาลงมาจากรถม้าก็เห็นฉีเฉินคุยอะไรบางอย่างกับคนหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่อายุใกล้เคียงกัน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเพิ่มขึ้น พอเห็นจวินหวงลงมาจากรถ ฉีเฉินก็โบกไม้โบกมือเรียก จากนั้นก็ชี้มาที่จวินหวงและกล่าวกับทุกคนว่า "นี่ก็คือเฟิงไป๋อวี้ที่ข้าเคยพูดถึง แขกคนสำคัญของจวนข้า"
จวินหวงผงกศีรษะทักทายคนอื่นๆ ฉีเฉินต้อนรับขับสู้พวกเขาอย่างเท่าเทียม มองออกว่าบิดาคนเหล่านี้จะต้องมีความสำคัญที่ไม่อาจดูเบาได้ในราชสำนักอย่างแน่นอน
บุรุษท่าทางเหมือนตำราหน้าเปล่า[1] ที่อยู่ด้านข้างผู้หนึ่งประสานมือคารวะแล้วพูดกับจวินหวงว่า "ชื่อเสียงของคุณชายผู้น้อยได้ยินมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบและไม่คิดว่าคุณชายจะหล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ วันนี้ได้พบกันนับเป็วาสนาสะสมมาสามชาติภพของผู้น้อย"
"คุณชายกล่าวหนักไปแล้ว" จวินหวงหันไปตอบและแสดงมารยาทกลับไป
ภายใต้เสียงดังอึกทึกที่ดังขึ้นระลอกหนึ่ง จวินหวงมองเข้าไปในฝูงชนก็เห็นหนานสวินเข้ามาปรากฏตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า ราวกับเขาลงมาจาก์แล้วมายืนอยู่ตรงนั้น แพรต่วนปักดิ้นทองบนร่างกายยิ่งเพิ่มกลิ่นอายคล้ายเทพเซียนให้กับเขาอยู่หลายส่วน เรือนผมสีดำสนิทที่เกล้ามัดไว้ครึ่งศีรษะพลิ้วลู่ไปตามลม สาวๆ ที่อยู่บนระเบียงชั้นบนส่งเสียงกรีดกราดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ชั่วขณะนั้นบนท้องฟ้าก็มีผ้าเช็ดหน้าของหญิงสาวเ่าั้โยนลงมาเกลื่อนเต็มไปหมด
บนผืนผ้าตลบไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นละมุนละไม ทำให้บุรุษลูกผู้ดีมีเงินหัวใจหวั่นไหว แต่หนานสวินกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สีหน้ายังคงเ็าไม่แยแสเหมือนเดิม
จวินหวงและหนานสวินต่างมองซึ่งกันและกันท่ามกลางกระแสผู้คนที่ขวางกั้นให้อยู่ห่างกันไกลลิบลับ จวินหวงยักคิ้วหงึกๆ ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเขา แต่หนานสวินมีเพียงแค่รอยยิ้มอ่อนบางบนริมฝีปาก ยิ่งทำให้สตรีสองสามคนจ้องมองเขาอย่างลุ่มหลงในเสน่ห์
ไม่นานนักองค์ฮ่องเต้ก็เสด็จ ทรงพาฮองเฮาเสด็จมาด้วยกัน นางกำนัลข้างกายฮองเฮาจำจวินหวงได้ในพริบตา จึงกระซิบทูลฮองเฮา ฮองเฮามองออกว่าความสัมพันธ์ของจวินหวงและฉีเฉินมิได้บางเบา เพียงชั่วเวลาหนึ่งยังไม่อาจคาดคะเนได้ แต่ถ้าเขารู้ว่าฉีอินถูกฉีเฉินทำร้ายจนถึงแก่ความตายจริงๆ เช่นนั้นเื่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับจวินหวงอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้จิตสังหารก็พลันผุดขึ้น
งานเลี้ยงร้อยสกุลจัดขึ้นมาเพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับคนหนุ่มลูกหลานเชื้อพระวงศ์และเหล่าคุณชาย ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่บนชั้นสองเสวยพระสุธารสและพระสุธารสชา มองดูคนหนุ่มสาวเ่าั้แสดงท่าทีเขินอายเมื่อเห็นคนในดวงใจ ต่างพยายามประชันความงามกันอย่างเต็มที่ เพียงเพื่อ่ชิงความสนใจของคนที่ตนเองหมายปอง
จวินหวงฉวยโอกาสขณะที่ฉีเฉินกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการสนทนากับคนอื่นๆ อยู่ แอบวิ่งไปหาหนานสวิน แล้วพูดหยอกเย้า "หวางเหย่ช่างมีความสามารถยิ่งนัก แค่ออกมาปรากฏตัวก็มีหญิงสาวทอดสะพานลงมาให้ไม่หวาดไม่ไหว ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูเ่าั้จะต้องตาต้องใจหวางเหย่บ้างหรือไม่? หวางเหย่มีคนที่พึงใจแล้วหรือยัง? ถ้าหากว่ามี ก็ต้องบอกออกมาให้รับรู้ หาไม่แล้วคงทำให้สาวๆ เ่าั้หัวใจสลาย"
หนานสวินมองไปที่จวินหวง ริมฝีปากคลี่ยิ้มหัวเราะออกมาทันที "คนอื่นมีใจให้เกี่ยวอะไรกับข้า คนที่ข้าอยากได้หัวใจมีเพียงคนเดียวเท่านั้น"
"หืม? หวางเหย่มีสตรีในดวงใจแล้วหรือนี่? พอจะบอกผู้น้อยได้หรือไม่ว่าเป็สตรีคนไหนในที่แห่งนี้" จวินหวงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าูเาน้ำแข็งอย่างหนานสวินจะมีคนในดวงใจแล้ว
"ไม่รู้ว่าเ้าคิดจะมีใจมาบ้างหรือไม่?" หนานสวินเลี่ยงที่จะตอบคำถามของจวินหวงตรงๆ แต่กลับถามขึ้น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองจวินหวงไม่ขยับราวกับจะเอาคำตอบให้ได้
จวินหวงได้ฟังก็ตะลึงเพริดอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าหนานสวินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หัวใจของนางพลันสะดุดไปถึงสองจังหวะ ผ่านไปชั่วครู่ถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ นางหัวเราะอย่างห่างเหิน
"หวางเหย่ช่างเข้าใจล้อเล่นจริงๆ ผู้น้อยลูกผู้ชายเต็มตัวย่อมต้องพึงใจในสตรี ฮ่าๆๆ หวางเหย่ถามแบบนี้คงไม่ได้คิดว่าจะมีทั้งชายและหญิงมาตกหลุมรักใช่หรือไม่?"
..................................................................................................................
[1] ตำราหน้าเปล่า หมายถึง คนความรู้น้อย พออ่านออกเขียนได้ ด้อยประสบการณ์ อาจหมายถึงบุรุษหน้าขาวที่อ่อนต่อโลกก็ได้