ภายในห้องส่วนตัวของโรงเตี๊ยมยังคงทิ้งกลิ่นหอมของสตรีที่ร่านสวาทเ่าั้
ชายร่างผอมสูงดื่มสุราจากป้านรวดเดียวหมด สุราหกราดใส่อกและหน้าท้อง ทันทีที่ดื่มหมดใบหน้าก็เริ่มแดงก่ำ คนคล้ายเมามายเล็กน้อย เขาโบกมือวูบ บนโต๊ะที่ว่างเปล่าพลันปรากฏหัวกะโหลกสีขาวออกมา
กะโหลกเป็ของมนุษย์ลักษณะปกติทั่วไป เพียงแต่ใหญ่กว่าหนึ่งเท่า ที่เบ้าตากลวงมืดมนนั้นคล้ายเป็วังน้ำวน แผ่ความรู้สึกอันตรายและน่าสะพรึงออกมา ชายร่างผอมใช้ปลายเล็บแหลมกรีดข้อมือ หยาดโลหิตอุ่นๆ ไหลออกจากปากแผลหยดใส่กะโหลกสีขาว
ในเบ้าตาที่ดำมืดนั้นคล้ายปรากฏน้ำวนขยายขึ้น แม้ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่หากมีผู้ฝึกตนอยู่ภายในห้องจะสามารถรับรู้ได้ว่า พลังที่น่าสะพรึงก่อเกิดจากกะโหลดที่ธรรมดาบนโต๊ะ น้ำวนที่คล้ายมีคล้ายไม่มีก่อร่างกลายเป็คนผู้หนึ่ง
มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง เลือนรางคล้ายคนไม่มีใบหน้า กำลังนั่งในท่าขัดสมาธิ ยามนั้นน้ำวนที่กลายเป็คนพลันเริ่มตาขึ้นมา
ทันทีที่ดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้น ทุกชีวิตที่อยู่ในโรงเตี๊ยมพลันใจสั่นสะท้าน ความเย็นเยียบที่ไม่ได้เกิดจากอากาศหนาวแทรกเข้าสู่ร่างกายทะลุหัวใจ คล้ายกับทุกสิ่งที่อยู่ในโรงเตี๊ยมถูกแช่แข็ง ความน่าหวาดหวั่นนี้มากมายจนมิอาจพรรณนา
ชายร่างผอมสูงที่ดูดุร้ายพยศ ยามนี้กำลังคุกเข่ากับพื้น สองมือแนบติดพื้น ทำท่าคล้ายสุนัขที่รอให้เ้านายออกคำสั่ง
“ผู้ที่มาพบเ้าใช่อันปางหรือไม่” เสียงที่แ่เบาทว่าชัดแจ้งที่สุด
ชายร่างผอมสูงยังคงก้มศีรษะมองหัวเข่าตนเองกล่าวอย่างนอบน้อมที่สุด
“ผู้มาเป็คนรับใช้ของเขา”
“เขาเป็คนที่ระแวดระวังตัวดียิ่งนัก.....เ้าออกจากเมืองหลวงได้แล้ว เดินทางไปยังอู่โจว ที่นั่นสหายของเรากำลัง้าความช่วยเหลือจากเ้า”
ชายร่างผอมชะงักเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดยังคงไม่เงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า
“อาจารย์ งานที่เมืองหลวงยังไม่เสร็จ อาจารย์มิใช่บอกว่าชิ้นส่วนคำสาปนั้นถูกผนึกหรอกหรือ หากศิษย์ออกไป”
ชายร่างผอมไม่ทันกล่าวจบเสียงที่แ่เบาก็แทรกขึ้น
“เื่นี้ไม่ใช่ธุระที่เ้าต้องกังวล ภารกิจของเ้าคือไปช่วยสหายของเราที่อู่โจว ภารกิจที่อู่โจว้ากำลังรบของเ้า ส่วนเื่เมืองหลวงปล่อยให้เป็หน้าที่ของศิษย์พี่สามของเ้า”
ในที่สุดชายร่างผอมพลันเงยหน้าขึ้นมา บรรยากาศในห้องกลับคืนสู่สภาพปกติ กะโหลกวางอยู่บนโต๊ะดั่งเดิม ไร้รูปร่างที่กอปรจากน้ำวนเมื่อครู่
“ศิษย์พี่อยู่ในเมืองหลวง?” น้ำเสียงคล้ายงุนงงอย่างยิ่ง
เทือกเขาหยก
หอตำราสำนักพันปีมีสามชั้น ชั้นล่างสุดสำหรับศิษย์สายนอก ชั้นสองสำหรับศิษย์สายจริง ชั้นสามเฉพาะศิษย์สืบทอดของผู้าุโใหญ่และศิษย์ของประมุขสำนัก และส่วนห้องลับของชั้นสามเป็พื้นที่ต้องห้าม มีเพียงประมุขสำนักเท่านั้นที่เข้าไปได้
หลังจากเดินตามชั้นตำราั้แ่ชั้นล่างขึ้นมาจนถึงชั้นสาม ไท้หยูก็หอบตำราหลายสิบเล่มขึ้นมาด้วย หอตำราของชั้นสามไม่ได้มีเพียงตำรายุทธและวิชาสำหรับฝึกปรือ ทว่ายังมีตำราประวัติศาสตร์สำคัญแฝงความลับมากมาย หลังจากค้นหาวิชาที่เหมาะสมให้กับลูกศิษย์ทั้งสี่ได้แล้ว ไท้หยูจึงเดินไปที่โต๊ะดึงเก้าอี้นั่งพักผ่อน
ในสมองครุ่นคิดวิชาฝึกปรือที่ไท้หยู (คนเก่า) เคยฝึกฝน ไท้หยูฝึกมรรคายุทธควบกับมรรคาอาวุธ เป็สายต่อสู้อย่างแท้จริง
มรรคาอาวุธในระดับรับแสงปราณจนถึงรวมกายยังไม่มีจุดเด่นมากนัก ทว่าเมื่อขึ้นถึงระดับจิตไร้ขอบขึ้นไป ผู้ฝึกมรรคาอาวุธจะสามารถสำแดงความน่าสะพรึงออกมาได้อย่างเต็มที่
ระดับแรกของมรรคาอาวุธ เริ่มเชื่อมจิตเข้ากับอาวุธคู่กาย เสริมกำลังให้อาวุธคมกล้าและหล่อเลี้ยงให้อาวุธมีชีวิตจิตใจ
ระดับหลอมจิต อาวุธจะทรงพลังเริ่มมีความนึกคิดสามารถโบยบินได้เอง ผู้ฝึกอาวุธก็สามารถควบคุมอาวุธเหินบินได้ ทว่าในระดับหลอมจิต ไม่ว่าในมรรคาใดผู้ฝึกตนในระดับนี้ยังมีลมปราณที่ไม่กล้าแข็ง การควบคุมอาวุธบินโจมตีจึงทำได้ในระยะใกล้ อนุภาพไม่รุนแรง ไม่สู้ถือเองจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
เมื่อถึงระดับรวมกาย ผู้ฝึกมรรคาอาวุธจะหลอมอาวุธพร้อมเข้ากับร่างกาย เช่นเดียวกับที่ผู้ฝึกตน เมื่อถึงระดับรวมกายจะหลอมรวมจิต ลมปราณและกายเข้าด้วยกัน
เมื่อถึงระดับนี้สามารถเก็บอาวุธไว้ในกาย ทั้งยังสามารถเปลี่ยนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างเป็อาวุธ หากเรียกอาวุธออกมาใช้ สามารถใช้อาวุธบินจู่โจมไกลสิบลี้
เมื่อถึงระดับจิตไร้ขอบทั้งร่างกายจะเป็อาวุธ ทั้งคมกล้าทั้งแข็งแกร่ง อาวุธคู่กายจะถูกยกระดับจนมีความนึกคิดของตนเองอย่างสมบูรณ์ และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดนั้นคือ ทุกที่ที่ลมปราณไปถึงอาวุธสามารถปรากฏได้อย่างไร้ร่องรอย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ฝึกตนต่อสู้กัน ผู้ฝึกอาวุธปลดปล่อยลมปราณห้อมล้อมคน อาวุธสามารถปรากฏได้จากทุกทิศทาง จู่โจมด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าและในระดับนี้สามารถคุมอาวุธได้ไกลเกินสิบลี้ ทั้งยังใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็บรรลุถึง
น่าเสียดายที่หลังจากไท้หยูบรรลุถึงระดับนี้ กลับถูกคำสาปทำร้ายจนพลักฝึกตนถดถอย ไท้หยูในตอนนี้จึงไม่สามารถสำแดงความน่าสะพรึงกลัวนี้ออกมาได้อีก เขาในตอนนี้คือผู้ฝึกตนระดับรวมกาย แม้ร่างกายจะมีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธและผู้ฝึกอาวุธระดับจิตไร้ขอบ แต่ลมปราณเป็ระดับรวมกายขั้นต้นเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าเมื่อบรรลุถึงขั้นจิตไร้ขอบ ด้านมรรคาอาวุธของข้าก็ติดคอขวดมาโดยตลอด”
อาวุธคู่กายของไท้หยูคือดาบโล่ แม้ในยุคนี้โลกนี้จะเทิดทูนผู้แข็งแกร่ง ทำให้คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นักสู้ สามารถเห็นนักสู้ผู้ฝึกตนได้ตามถนน ทว่าผู้ที่ใช้ดาบโล่นี้ มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
เขายังนึกสงสัยว่าเหตุใดไท้หยูจึงเลือกฝึกดาบโล่ ในาดาบโล่อาจสำคัญ ทว่าสำหรับการต่อสู้ของผู้ฝึกตนที่เน้นความรวดเร็ว ดาบโล่ออกจะเทอะทะไปบ้าง
“ไม่แปลกใจที่มรรคาอาวุธไม่พัฒนา ที่เขาฝึกมิต่างจากฝึกสองอาวุธพร้อมกัน”
ไท้หยูยื่นมือขวาออกมาประกายสีเงินพร่างพรายขึ้นแวบหนึ่ง จากนั้นปรากฏดาบยาวออกมา อันที่จริงหากจะเรียกว่าดาบมิสู้เรียกว่าหอกสั้น
ดาบยาวห้าเชี้ยะ ปลายแหลมคม ตัวดาบเป็ทรงกรวยลักษณ์คล้ายปลายทวน รอบดาบทรงกรวยมีคมเป็เกลียวหมุนพันรอบ เป็อาวุธประเภททะลวงชุดเกราะ
อีกด้านหนึ่งที่มือซ้ายปรากฏโล่สีดำทรงยาว ตัวโล่เป็ลายตัดของกระดองเต่าทะมึนราวกับก้นหุบเหว ความมืดมิดของโล่แม้โดนแสงแดดส่องยังไม่เกิดประกายสะท้อน น้ำหนักไม่มากแต่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“ดาบโพ่คง (แหวกฟ้า) โล่ฮู้เทียน (ปกป้องฟ้า) ตกลงเ้าจะปกป้องหรือทำลายกันแน่ไท้หยู”
โล่ฮู้เทียนพลันสั่นสะท้านเกิดเสียงในใจของไท้หยูขึ้นว่า
“ข้าจะปกป้องฟ้า”
อีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นทันทีว่า
“เช่นนั้นข้าจะทำลายเ้า”
ดาบและโล่พลันเข้าปะทะกันเกิดเสียงดังสะท้านแก้วหู ไท้หยูเรียกอาวุธคู่กายคืนสู่ร่างพึมพำว่า
“แม้จะมีจิตนึกคิด แต่ไม่ต่างจากเด็กน้อยเท่าใด”
ในด้านมรรคายุทธไท้หยูฝึกวิชาร่างทองพันชั้น เป็วิชาเสริมแกร่งให้กับร่างกาย วิชาทองพันชั่งมีสี่ระดับ ร่างทองเพลิง ร่างเหล็กดารา ร่างทองเทพ และร่างหยกวิสุทธิ์ ตอนนี้ไท้หยูฝึกถึงร่างเหล็กดาราขั้นสูงสุด
วิชาทองพันชั้นนับเป็วิชาโบราณและแพร่หลายของโลกใบนี้ ทว่าผู้ที่สามารถฝึกไปจนถึงร่างหยกวิสุทธิ์ ในโลกกลับมีเพียงสองคน หนึ่งคือปฐมฮ่องเต้ผู้สถาปนาอาณาจักรชางไห่ อีกหนึ่งคือปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักพันปี
โลกใบนี้มีมนุษย์และครึ่งมนุษย์มากกว่าร้อยล้านชีวิต
นับั้แ่ประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันมิทราบมีกี่พันล้านชีวิต ผู้ที่สำเร็จวิชาทองพันชั้นจนถึงขั้นร่างหยกวิสุทธิ์กลับมีเพียงสองคน เพียงเท่านี้ก็สามารถพิสูจน์ระดับความยากของวิชานี้ได้แล้ว
หยุดครุ่นคิดเื่ทั้งหมด ไท้หยูเดินเข้าไปยังห้องลับ ประตูเหล็กหนาสี่เหลี่ยมเรียบ ตราประทับประมุขพลันลอยไปติดกับประตูเหล็ก
ครืน
ประตูเหล็กเปิดออก ปรากฏผงคลีฝุ่นควันลอยคลุ้ง คาดว่าประตูห้องลับนี้ไม่ได้เปิดมาเป็เวลานานแล้ว เมื่อเดินเข้าไปด้านใน เป็ห้องว่างเปล่าไม่มีโต๊ะ ผนังสามด้านเป็ชั้นหนังสือ ในชั้นวางซ้ายขวากลับว่างเปล่า มีเพียงชั้นหลังประตูที่มีตำราวางเอาไว้
บนชั้นวางตำราไว้สามเล่ม มีเพียงสามเล่มเท่านั้น
“สร้างห้องลับ จัดเป็สถานที่ต้องห้าม มีเพียงประมุขสำนักเท่านั้นที่เข้าได้ ทั้งห้องกลับมีตำราอยู่แค่สามเล่ม? บรรพชน พวกท่านอยู่ว่างเกินจนไม่มีอะไรทำกันหรือ”
ช่างเหลวไหลสิ้นดี ไท้หยูผิดหวังกับห้องลับนี้ถึงขีดสุด ก่อนจะมายังห้องนี้เขายังคาดหวังว่าจะมีวิชาลับสักร้อยเล่ม เป็วิชาที่สะท้านฟ้าะเืดิน ผู้ที่ฝึกสำเร็จจะเป็เ้าแห่งยุทธดั่งปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง
ทั้งห้องกลับมีเพียงสามเล่ม?
ตำราวิชาของข้า ตำราประวัติของข้า ตำราประวัติสำนักพันปี
บนหน้าปกเป็เปลือกไม้สีน้ำตาลเข้ม แกะสลักเป็อักษรตัวใหญ่ ทาด้วยชาดสีแดง เปลือกนอกตำราทั้งสามเล่มล้วนมีรูปแบบเดียวกัน
“ตำราวิชาของข้า? หรือปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งจะจดวิชาทั้งหมดของท่านไว้ในตำรานี้ ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ ประวัติของท่านและประวัติสำนักพันปีหรือ ดูเหมือนว่าทั้งสามเล่มนี้จะเป็ท่านผู้เฒ่าเป็คนเขียนเอง ในยุคของท่านแม้ไม่มีกระดาษ แต่ไฉนไม่ใช้หนังสัตว์แทนเปลือกไม้ ใช้เปลือกไม้เช่นนี้นานวันไปความชัดเจนในตำราไยมิใช่หายจนหมดสิ้น”
ตำราเล่มหนาทั้งเล่มทำจากเปลือกไม้ เมื่อเปิดดูพบว่าตัวอักษรทั้งหมดที่ใช้วิธีแกะสลักในการเขียนยังคงชัดเจน เพียงแต่เนื้อหาภายในไม่ได้ลงชาดเอาไว้
“ข้าคือ เหยาชีหราน ผู้ก่อตั้งสำนักพันปี ความลับของข้าเ้าจะรู้เมื่อเ้าคู่ควร......”
ไท้หยู” .....”
เขารู้สึกราวกับตื่นจากฝัน คล้ายคนจรจัดหิวโซจนเห็นขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ตกจากฟ้า เมื่อยื่นมือคว้ามากลับพบว่าขนมเปี๊ยะกลายเป็ขี้นกกองหนึ่ง
ตำราประวัติของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเขียนไว้ด้วยตนเอง เขียนไว้เพียงเท่านี้
“มารดามันเถอะ ข้ามิได้อยากรู้ว่าท่านชื่ออะไร ท่านคิดว่าตนเองเป็ผู้เขียนเื่ขบขันหรือไร ตำราไร้ประโยชน์ยังกล้าสร้างห้องลับแข็งแรงเช่นนี้ปกป้องเอาไว้ เฮอะ มิสู้นำไปทำฟืนปิ้งไก่”
ไท้หยูมีโทสะจนควันออกหู รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าหลายฉาดสองแก้มแดงจนร้อน หลังจากพลิกดูอีกหลายรอบก็ไม่เห็นว่าจะมีตัวหนังสือปรากฏ
เขายังนำออกไปนอกห้อง ยืนหน้าหน้าต่างใช้แสงสาดส่อง ใช้น้ำหยดใส่ ถ่ายทอดลมปราณ วางตราประทับประมุขสำนัก ทว่าทำสิ่งใดล้วนไม่ปรากฏตัวอักษรออกมา นี้เป็ตำราเปล่าชัด ๆ ไท้หยูสบถด่าปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งร้อยรอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้