เพียงจ้าวซินอี๋นั่งอยู่ตรงนั้นก็ส่องแสงเป็ประกายโดดเด่นกว่าใคร อีกทั้งมู่เยี่ยนยังนั่งข้าง ๆ และคล้ายจะทักนาง
ผู้คนดูออกว่าสายตาที่มู่เยี่ยนมององค์หญิงแตกต่างจากที่มองผู้อื่น มีฐานะเป็ถึงผู้บัญชาการแห่งทัพอาณาจักรจ้าว มู่เยี่ยนจึงไปมาหาสู่กับจ้าวซินอี๋บ่อยครั้ง
สาวงามราวกับเทพธิดาอยู่ตรงหน้า เขามู่เยี่ยนจะไม่ใจเต้นได้อย่างไร เขาปกป้องอยู่ข้างกายนางตลอดไม่ห่างหาย หวังว่าสักวันนางจะประทับใจในตัวเขา และได้เป็คนรักของนาง
“ผู้บัญชาการมู่ ท่านไปทำอย่างอื่นเถอะ ข้าไม่้าการอารักขา” จ้าวซินอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ได้อย่างไรกัน? องค์หญิงมาเยือนจวนตระกูลมู่ข้าทั้งที ก็ย่อมต้องต้อนรับเป็อย่างดี หากไม่ปรนนิบัติองค์หญิง เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าไร้มารยาทเอาได้”
มู่เยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยและรู้สึกไม่ชอบใจ เขาร้อนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจ้าวซินอี๋ไม่สนใจไยดีเขาแม้แต่นิด ซึ่งตัวเขานั้น้าได้รับความสนใจจากองค์หญิงผู้สูงศักดิ์โดยเร็ว
แต่จ้าวซินอี๋ไม่พูดอะไร ทั้งสองต่างคนต่างนั่งและสนทนาน้อยคำ เห็นชัดว่าจ้าวซินอี๋ไม่รู้สึกสนใจมู่เยี่ยนแม้แต่นิดเดียว
ขณะนั้นมีสี่เงาร่างปรากฏตัวในงาน พร้อมกับดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
“ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาถึงแล้ว!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทำให้ผู้คนเกิดความสนใจขึ้นมา ในที่สุดสี่สำนักยุทธ์ศึกษาแห่งเมืองหลวงก็มากันครบแล้ว เพียงแต่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนส่งตัวแทนมาแค่สี่คน กระบวนทัพไม่เกรงขามเท่าไร ถือว่ายังห่างชั้นกับอีกสามสำนักอยู่มาก
“ดูชายสองคนนั้นสิ คนหนึ่งชื่อเย่เฟิง อีกคนชื่ออวิ๋นเจี๋ย ผู้คว้าอันดับที่ 1 และที่ 2 ในงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเมื่อหลายวันก่อน”
จากการที่เย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยคว้าสองอันดับแรกในงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ชื่อของพวกเขาจึงเป็ที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีคนจำนวนไม่น้อยในที่แห่งนี้เคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาสองคนในงานประลอง
“พูดอะไรกัน? คนหนึ่งอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 อีกคนอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 4 พลังเช่นนี้น่ะหรือคว้าสองอันดับแรกมาได้? หรือว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาถึงจุดตกต่ำแล้ว?” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าวด้วยความดูแคลน ซึ่งมีหลายคนที่คิดว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนตกต่ำเช่นกัน ถึงปล่อยให้ผู้มีพลังต่ำต้อยอย่างเย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยคว้าสองอันดับแรกไปได้
เย่เฟิงได้ยินคำพูดของคนเหล่านี้ก็เผยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ในเมื่อมาถึงบ้านเกิดเมืองนอนของมารดา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความผันผวนในใจของเย่เฟิง
ในขณะเดียวกันมีสายตาเย็นเยือกหลายคู่มองมาที่เย่เฟิง หากสายตาฆ่าคนได้ เกรงว่าเย่เฟิงคงตายเป็พัน ๆ ครั้งไปแล้ว
ในกลุ่มที่จ้องมองเย่เฟิงมีจวนเซิ่งอ๋อง ตระกูลตู๋กู และตระกูลเฉินเป็ต้น แต่คนของตระกูลตู๋กูและตระกูลเฉินมองเย่เฟิงด้วยสายตาชิงชังมากที่สุด รองลงมาก็เป็จ้าวเฉิน
ทางฝั่งสำนักศึกษาเสินเจียงก็มีสายตาคู่หนึ่งมองมาทางนี้ เป็คนที่เย่เฟิงรู้จัก นั่นก็คืออี้ชิงที่ประมือกับเย่เฟิงตอนอยู่ที่แดนลับยอดเขาเทพโอสถ
อี้ชิงคือผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 3 ในรายนามเสินเจียง และมาร่วมงานนี้ในนามตัวแทนสำนักศึกษาเสินเจียง
“เ้าก็มาด้วยหรือ!” มู่เยี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ จ้าวซินอี๋เห็นเย่เฟิงมาก็กล่าวด้วยเสียงเ็า พลางมองด้วยสายตาดูแคลน
จ้าวซินอี๋มองมาที่เย่เฟิงเช่นกัน นางฝึกอยู่ที่สำนักศึกษาเสินเจียง ย่อมรู้จักมักคุ้นคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนหนึ่งในสี่สำนักยุทธ์ศึกษาพอควร แต่เมื่อนางมองไปที่เย่เฟิงกลับหยุดชะงัก และมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน
“ตั๋วมิ่ง เขาคือตั๋วมิ่งงั้นหรือ?”
แม้ในค่ายกลมายาจะสวมใส่หน้ากาก แต่หลังจากไปมาหาสู่หลายวันติดต่อกัน รายละเอียดทุกอย่างของเย่เฟิงก็ตราตรึงอยู่ในใจของจ้าวซินอี๋ ความประทับใจที่นางมีต่อชายหนุ่มที่เอาชนะนางได้มันลึกซึ้งมาก กระทั่งเห็นชายหนุ่มเป็สหาย
เมื่อมู่เยี่ยนเห็นจ้าวซินอี๋สนใจเย่เฟิงเป็พิเศษ สีหน้าเขาก็ฉายแววเย็นเยือก และถึงกับขบคิดว่าจะทำให้เย่เฟิงขายหน้าได้อย่างไร
เย่เฟิงเองก็รู้ตัวว่าจ้าวซินอี๋กำลังมองเขา เขาจึงหันไปมองก่อนจะเห็นใบหน้างดงามใบนั้นจนเย่เฟิงตกตะลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ช่างเป็สตรีที่สวยงดงามยิ่ง!” เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะตะลึงกับความงามของจ้าวซินอี๋ ความงามเช่นนี้เป็พลังสังหารต่อบุรุษที่แข็งแกร่งเป็อย่างมาก
เย่เฟิงยึดมั่นในคุณธรรม แต่บัดนี้กลับถูกความงามของจ้าวซินอี๋ดึงดูดจนถอนตัวไม่ขึ้น
เมื่อจ้าวซินอี๋รับรู้ได้ถึงสายตาลุกโชนของเย่เฟิง ในใจนางก็เกิดความผันผวนจาง ๆ ดวงตาคู่นั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก ทำให้จ้าวซินอี๋กล้าแน่ใจเื่ตัวตนของเย่เฟิง
แเื่ที่ควรมาก็มากันครบแล้ว มู่เทียนหลงจึงเริ่มจัดที่นั่งให้กับทุก ๆ กองกำลัง และบางกองกำลังก็ถูกจัดที่นั่งให้อยู่แถวหน้า ๆ
สำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลิง และสำนักอี่เทียนก็ถูกจัดให้อยู่แถวล่างถัดจากราชวงศ์จ้าว ซึ่งที่นั่งแถวล่างถัดจากราชวงศ์จ้าวมีทั้งหมดสี่กลุ่ม สามกลุ่มในนั้นเป็ของสามสำนักยุทธ์ศึกษา ส่วนอีกหนึ่งถูกจัดไว้สำหรับตัวแทนของจวนเซิ่งอ๋อง
เมื่อถึงตาสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่ไม่ถูกจัดอยู่แถวหน้า ผู้คนก็อดเผยสีหน้าสนใจไม่ได้ พวกเขา้ารู้ว่าตระกูลมู่ผู้เป็เ้าภาพจะจัดที่นั่งให้กับตัวแทนทั้งสี่จากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอย่างไร
“ใต้เท้าทั้งสี่เชิญนั่งทางด้านนั้น!”
ขณะนั้นบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งของตระกูลมู่เดินมาหาพวกเย่เฟิง ก่อนจะผายมือไปทางที่นั่ง แม้กล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพ แต่ผู้คนมองออกว่าตระกูลมู่ไม่เห็นความสำคัญของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ที่นั่งที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นจัดไว้ให้ตัวแทนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเป็ที่นั่งรวมกับกองกำลังอื่น ๆ และการที่ส่งบ่าวรับใช้มาต้อนรับพวกเย่เฟิง ก็ยิ่งเป็การเหยียดหยามสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“เ้าแน่ใจหรือว่าจะให้พวกข้านั่งตรงนั้น?”
เมื่อเห็นว่าทางตระกูลมู่ดูแคลนสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ผู้าุโแซ่อู๋คนสนิทของฉินเจิ้นถิงมิอาจทนต่อไปได้อีก จึงซักถามบ่าวรับใช้ผู้นั้นไปเช่นนั้น
“ต้องขออภัยท่านผู้าุโ ที่นั่งแถวหน้าเต็มหมดแล้ว จึงมิอาจหาที่นั่งให้ได้ ท่านทั้งสี่โปรดอภัยให้บ่าวด้วยขอรับ” บ่าวรับใช้ผู้นั้นโค้งคำนับให้ผู้าุโอู๋
หลาย ๆ คนมองมาทางนี้ด้วยท่าทีสนใจ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ของสำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง และสำนักอี่เทียนต่างก็แสยะยิ้มอย่างเย็นเยือก นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาอยากเห็น
“นี่น่ะหรือการต้อนรับแขกของตระกูลมู่!”
ผู้าุโอู๋กล่าวด้วยโทสะ ร้ายดีอย่างไรสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เป็หนึ่งในสี่สำนักยุทธ์ศึกษาแห่งเมืองหลวงที่มีรากฐานลึกซึ้ง บัดนี้มาเยี่ยมตระกูลมู่ กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้รับการต้อนรับที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ แล้วเขาจะไม่โมโหได้อย่างไรกัน
“ผู้าุโอู๋อย่าใจร้อน ก็แค่ที่นั่งเอง ในเมื่อทางตระกูลมู่จัดไว้ให้ เราก็ไปนั่งเถอะ!”
เมื่อเยว่กู่เห็นผู้าุโอู๋เกิดโทสะจึงกล่าวเช่นนั้น พร้อมกับตบบ่าผู้าุโอู๋ เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายสงบจิตสงบใจ
“หึ!”
ผู้าุโอู๋ได้ยินเช่นนั้นยังคงโมโหไม่หาย แต่ก็พยักหน้าให้เยว่กู่ จากนั้นเขาแค่นเสียงเ็า ก่อนจะเดินไปยังที่นั่ง ส่วนเย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยก็เดินตามหลังไปพร้อมหัวใจเย็นะเื
“ฮ่า ๆ ๆ สำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เป็แค่ตัวตลก ช้าเร็วก็ต้องถูกตัดออกจากสี่สำนักยุทธ์ศึกษาแห่งเมืองหลวง!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งของสำนักศึกษาเสินเจียงดูถูกเหยียดหยามสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอย่างเปิดเผยโดยไม่สนกฎเกณฑ์ใด ๆ
“ถูกต้อง ในเมื่อไม่อยู่ภายใต้อาณัติของราชวงศ์ ก็ควรถูกกำจัดไปนานแล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์หอชิงหลงกล่าวด้วยการช่วยเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก
