ในวันรุ่งขึ้น
เพราะคิดถึงแต่เื่การเปิดร้าน เวินซีจึงตื่นเช้ากว่าปกติ นางล้างหน้าล้างตา แต่งตัวแล้วรวบผมเป็หางม้าไว้อย่างง่ายๆ
เพราะเมื่อคืนนางสระผมมาแล้ว เส้นผมจึงดำขลับและแวววาว ไม่พันกัน ราวกับทอแสงได้ในตอนกลางวัน
แม้แต่จ้าวต้านที่เปิดประตูและนำอาหารเช้ามาให้ ก็ยังปกปิดสายตาที่ชื่นชมไว้มิได้
เมื่อวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะแล้ว เขาก็เข้ามาใกล้ นำหวีไม้ที่อยู่บนโต๊ะมาหวีผมที่เป็หางม้าของนาง
เวินซีมองดูเขาและมิได้ปฏิเสธ
เส้นผมลื่นผ่านปลายนิ้วของจ้าวต้าน เขามองดูเวินซีภายในกระจก ริมฝีปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
ในขณะนี้ พวกเขาดูเหมือนเป็สามีภรรยากันจริงๆ
“เสร็จหรือยังเ้าคะ?”
เวินซีเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาเพิ่งได้สติกลับมา
“เสร็จแล้ว รีบทานอาหารเช้าเถิด เอ้อเอ้อร์ ซันซานรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว” จ้าวต้านวางหวีไม้ลงด้วยอารมณ์ที่ยังค้างอยู่
เวินซีพยักหน้า รับโจ๊กมาทานจนหมดอย่างรวดเร็วพลันเดินออกไป
“พี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้”
เมื่อเอ้อเอ้อร์กับซันซานเห็นนางก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที เวินซีนั่งยองลง ทั้งสองคนก็มุดตัวเข้ามาอ้อนอยู่ในอ้อมแขน
“พี่สะใภ้ หอมจัง อยากทาน จะทาน” ซันซานพูดอย่างมีความสุข มือเล็กๆ ของเขาคลำหาอาหารบนร่างของเวินซี
“พี่สะใภ้ไม่มีอาหารนะ กลับมาพี่จะซื้อให้ ดีหรือไม่?” เวินซีเห็นฟันน้ำนมสองซี่ของเขาก็หัวเราะเบาๆ
“พี่สะใภ้ ข้าก็อยากได้ด้วยเ้าค่ะ” เอ้อเอ้อร์ที่ถูกอุ้มอยู่ก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ได้ทุกคนเลย วันนี้ต้องเป็เด็กดี เชื่อฟังข้า อยากจะทานอันใดข้าจะซื้อให้ทั้งหมด” เวินซีลูบหัวนาง
เอ้อเอ้อร์จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ไปกันเถิด รถม้ารออยู่ด้านนอกแล้ว”
จ้าวต้านพูดแล้วก็อุ้มเอ้อเอ้อร์ขึ้นมา เมื่อเห็นเช่นนั้นเวินซีก็อุ้มซันซาน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกไปพร้อมกัน
มีรถม้าสองคันจอดอยู่ที่ประตู คันหนึ่งใช้สำหรับขนยาสระผม ส่วนอีกคันมีไว้ให้พวกเขานั่ง
พวกเขาเดินขึ้นไปบนรถ จากนั้นรถม้าก็เริ่มเดินทางไปยังร้านค้า
เพราะว่านี่ยังเป็เวลาเช้าอยู่ บนถนนจึงมีคนไม่มากนัก เอ้อเอ้อร์มองออกไปด้านนอกแวบหนึ่งก็รู้สึกเบื่อ จึงล้มตัวลงนอนในอ้อมอกของเวินซี
สิบห้านาทีต่อมา รถม้ามาจอดอยู่ที่หน้าร้าน โดยมีจ่างกุ้ยรออยู่ที่ประตูนานแล้ว เมื่อรถม้าจอดสนิทเขาก็รีบเข้าไปช่วยขนยาสระผมเข้าไปข้างใน
เวินซีลงจากรถ เงยหน้ามองดูป้ายชื่อร้านเก่าที่ถูกนำลงมาในชั่วข้ามคืนตามคำสั่งของตน และได้เปลี่ยนเป็ชื่อ “เวินสีเก๋อ”
“ไปกันเถิด”
จ้าวต้านเอ่ยขึ้น เวินซีพยักหน้าและะโลงจากรถม้า พลันช่วยขนย้ายขวดกระเบื้องเคลือบทันที
ไม่นานนัก ขวดกระเบื้องเคลือบทั้งหมดก็มาอยู่ที่ประตูร้าน
“จ่างกุ้ย เ้ากับจ้าวต้านเอาโต๊ะ กะละมังและผ้าออกมาวางไว้ที่หน้าประตู ข้าจะไปต้มน้ำร้อน” หลังจากที่เวินซีสั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องครัว
“พี่สะใภ้ ข้าล่ะเ้าคะ? ให้ข้าทำอันใดเ้าคะ?”
“พี่สะใภ้ ทำ ทำ”
เอ้อเอ้อร์และซันซานวิ่งเข้ามาหานาง
“พวกเ้านั่งพักผ่อนก่อนนะ หรือไม่ก็ไปเล่นที่หน้าร้าน อีกเดี๋ยวจะมีงานให้พวกเ้าช่วย เป็งานใหญ่เสียด้วยนะ” เวินซียิ้มอย่างมีเลศนัย
“จริงหรือเ้าคะ?”
“จริงสิ พี่ไม่หลอกเ้าหรอก เด็กดี ไปเล่นกันก่อนนะ พี่ยังมีเื่ที่ต้องทำ”
“เ้าค่ะ” เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานจะได้ช่วยงานใหญ่ เอ้อเอ้อร์ก็ดีใจ ะโโลดเต้นพาซันซานไปเล่นที่หน้าร้าน
หลังจากที่เวินซีเดินผ่านทางคดเคี้ยวไปนับไม่ถ้วน ในที่สุดนางก็ได้เห็นห้องครัวอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตา
นางเดินเข้าไปจุดไฟ เทน้ำที่อยู่ในครัวทั้งหมดลงในหม้อ พลันเดินไปขนน้ำในสวน
กว่างานทั้งหมดจะเสร็จสิ้นก็ผ่านไปสองชั่วยาม เวินซีรีบยกหม้อน้ำร้อนๆ ไปที่โถงหน้า
ที่นั่นได้จัดวางของเสร็จทั้งหมดแล้ว ผู้ที่เดินผ่านไปมาเริ่มมารวมตัวกันที่หน้าประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็น บวกกับการป่าวประกาศของจ่างกุ้ย ไม่นานนักก็มีคนก็มาล้อมรอบอยู่ที่หน้าประตูใหญ่อย่างหนาแน่น
“คุณหนูเวินซี พวกท่านทำอันใดหรือ?”
“จะเปิดร้านของดีแห่งใหม่หรือ?”
“คุณหนูเวินซี เป็อาหารอีกแล้วหรือ ชานมของท่านอร่อยมาก หม้อไฟก็ด้วย สิ่งนี้ต้องอร่อยแน่”
“คุณหนูเวินซี...”
“คุณหนูเวินซี...”
ผู้คนมากมายเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อเห็นเวินซีเดินออกมา
หลังจากที่เวินซีเช็ดเหงื่อ นางก็วางน้ำร้อนลงบนพื้น เงยหน้ามองดูทุกคนแล้วกล่าว “ร้านนี้มิได้ขายอาหารเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นที่นี่ทำอันใดล่ะ?” มีคนเอ่ยถามต่อทันใด
“สระผมเ้าค่ะ” เวินซีตอบ
“สระผมหรือ? ผู้ใดสระผมไม่เป็กัน? คุณหนูเวินซีเสียสติไปแล้วหรือ? ร้านใหญ่โตเช่นนี้กลับใช้เพื่อสระผม? น่าเสียดายจริงๆ หากท่านเปิดร้านหม้อไฟแห่งใหม่ หรือร้านชานม จะต้องเป็ที่นิยมแน่”
“หากทุกท่านอยากจะทานอาหาร คืนวันพรุ่งนี้ขอเชิญไปที่อีกร้านของข้า ร้านนั้นขายของปิ้งย่าง ต้องสมดังความปรารถนาของทุกท่านแน่เ้าค่ะ”
“ของปิ้งย่าง? คือสิ่งใดน่ะ?”
“มันคือ...” เวินซีไม่รู้จะตอบเช่นไร แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มฝูงชน
“จะสนใจไปไยกัน รู้เพียงว่าของที่คุณหนูเวินซีนำมาขายต้องมีรสชาติดีก็พอแล้ว”
“ฮ่าๆๆ จริงสินะ ถึงตอนนั้นคุณหนูเวินซีต้องขายราคาถูกหน่อยนะขอรับ ข้าจะพาทั้งครอบครัวไปทาน”
“ได้สิ ข้าจะขายของราคาถูกๆ ให้กับทุกท่านเลยเ้าค่ะ”
เวลานี้เวินซีแทบจะเป็หนึ่งเดียวกับกลุ่มฝูงชนแล้ว
หลังจากที่น้ำร้อนทั้งหมดถูกยกออกมาและเทลงในกะละมังทุกใบ นางก็กลับมามีสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูร้าน
“ทุกท่าน มีผู้ใดอยากสระผมหรือไม่เ้าคะ? วันนี้ร้านเราไม่คิดเงิน หากท่านใดรู้สึกว่าคันหนังศีรษะหรือไม่สบายหัว สามารถลองดูได้นะเ้าคะ น้องชายและน้องสาวของข้าก็จะสระผมไปกับทุกท่านด้วย”
“เอ้อเอ้อร์ ซันซาน มานี่สิ”
เมื่อเวินซีพูดจบก็โบกมือให้เอ้อเอ้อร์และซันซาน ทั้งสองคนรีบวิ่งไปหานางทันที
“พี่สะใภ้” เอ้อเอ้อร์เรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“พาซันซานไปนอนลงที่ท่านพี่ตรงนั้นสิ” เวินซีเอ่ย
หากให้ผู้อื่นสระผม เวินซีคงจะวางใจไม่ลง จึงให้เด็กทั้งสองไปที่จ้าวต้าน
“เ้าค่ะ”
เด็กทั้งสองวิ่งตามกันไป ปีนขึ้นไปนอนลงบนโต๊ะ
“มีผู้ใดอยากลองอีกหรือไม่เ้าคะ?” เมื่อเห็นทั้งสองนอนราบลงแล้ว เวินซีก็หันไปยังกลุ่มคน
“ข้าเ้าค่ะ”
ขณะนั้นมีเด็กสาวผมยาวที่อายุราวสิบสี่สิบห้าปีเดินออกมา นางเดินไปนอนลงบนโต๊ะด้วยตนเอง
“ยังมีผู้ใดอีกหรือไม่? มีโต๊ะว่างอยู่อีกที่หนึ่งเ้าค่ะ”
“ข้า” บุรุษผู้หนึ่งเดินออกมา และเข้าไปนอนลงด้วย
เวินซีเดินไปหาเด็กสาวแล้วแกะผมให้นาง ส่วนจ่างกุ้ยเดินไปหาบุรุษผู้นั้น และเตรียมตัวสระผมให้เขาเช่นกัน
ผู้คนที่มองดูสถานการณ์ทั้งหมดก็เริ่มพูดคุยกัน
“สระผมที่นี่ มีอันใดวิเศษวิโสนัก?”
“เ้าดูสิว่าเส้นผมของคุณหนูเวินซีงดงามกว่าผู้คนทั้งเมืองเลยนะ นางมีเคล็ดลับอันใด?”
“คุณหนูเวินซีเป็ราวกับเทพเซียนจริงๆ”
“ใช่น่ะสิ ชานมนั่นอร่อยมาก หากที่บ้านข้ามิได้ห้าม ข้าคงดื่มมันทุกวันเลยล่ะ”
“คืนพรุ่งนี้เราไปทานของที่คุณหนูเวินซีบอกเถิด ของปิ้ง...อันใดนะ?”
“ของปิ้งย่าง”
“ใช่ๆๆ ของปิ้งย่าง พวกเราไปทานด้วยกันเถิด ต้องอร่อยแน่”
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
......
ผู้คนพูดคุยกันเสียงดัง บทสนทนาของพวกเขาแว่วเข้ามาในหูของเวินซีไม่น้อย
เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็ยกริมฝีปากขึ้น การสระผมให้เด็กสาวก็ยิ่งนุ่มนวลมากขึ้น นางนวดศีรษะให้อย่างใจเย็น เด็กสาวรู้สึกผ่อนคลายเสียจนหลับตาลง
หลังจากที่ผมเปียกน้ำทั้งหมดแล้ว เวินซีก็นำยาสระผมเทลงบนฝ่ามือ ขยี้จนเกิดฟองแล้วนวดลงบนศีรษะให้
ความเย็นสบายทำให้เด็กสาวลืมตาขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น