หลังได้ฟังคำนี้ ต่อให้โง่เขลาถึงเพียงใดก็ย่อมมองออกว่ามู่ลี่จงใจยั่วยุมู่เฟิง ้าให้มู่เฟิงรู้สึกอับอาย ทางฝั่งมู่จงนั้นถึงกับขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียดเพราะกำลังไม่สบอารมณ์
ส่วนมู่ขวงและไป๋จื่อเยว่นั้นกำลังไม่พอใจเป็อย่างมาก แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะะเิอารมณ์ลงบนโต๊ะ มู่เฟิงกลับยกฝ่ามือขึ้นปรามเสียก่อน
มู่เฟิงหยัดกายยืนขึ้น ก่อนมองไปทางมู่ลี่และกล่าวว่า “ในเมื่อพี่มู่ลี่้าจะประมือเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปฏิเสธ แต่เมื่อครู่ที่เ้าต่อว่าน้องข้านั้น เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เขาก็เหมือนเ้ากับข้า เป็คนตระกูลมู่เหมือนกับทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เป็พี่น้องร่วมสายเื ดังนั้นการที่เ้าว่ากล่าวเขาว่าจะนับเป็ตัวอะไรได้ นี่ไม่ใช่ว่าเ้ากำลังต่อว่าข้า ต่อว่าตัวเ้าเอง รวมถึงทุกคนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ว่าจะนับเป็ตัวอะไรได้หรอกหรือ?”
น้ำเสียงของมู่เฟิงเริ่มดังขึ้น จนท้ายที่สุดได้เปลี่ยนเป็การะโออกมาอย่างเ็าและเต็มไปด้วยโทสะ
ถึงอย่างไรเขาก็เป็เพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แม้ความคิดความอ่านของเขาจะโตกว่าคนในวัยเดียวกันหรือมีประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะโมโหไม่เป็ เขาคือมู่เฟิง ผู้เคยผ่านาและเคยเข่นฆ่าศัตรูมามากมาย แน่นอนว่าเขาย่อมมีทั้งความสามารถทั้งความโหดร้ายในแบบของตัวเขาเอง
มู่ขวงเป็หนึ่งในพี่น้องเพียงไม่กี่คนที่ยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเขา เขาสามารถรับรู้ถึงความจริงใจจากอีกฝ่ายได้เป็อย่างดี เป็พี่น้องที่สามารถสละชีวิตแทนกันได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทนได้เมื่อมีคนมาต่อว่ามู่ขวง
มู่ลี่ใกับเสียงคำรามของมู่เฟิงจนอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยออกไปสองก้าว จากนั้นเขาก็กวาดตามองเหล่าสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลมู่ที่กำลังมองมายังเขาด้วยสายตาตำหนิ กระทั่งบิดาของเขายังมองมาทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ภายในใจของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็โกรธเคืองมู่เฟิงขึ้นมาทันที
“ขะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
มู่ลี่รีบอธิบายอย่างลนลาน
“ช่างเถอะ”
มู่เฟิงโบกมือขัดจังหวะเขา ก่อนจะกล่าวต่ออย่างเ็า “ในเมื่อเ้าอยากลองประมือนัก เช่นนั้นข้าก็จะประมือกับเ้า!”
จากนั้นมู่เฟิงได้หันไปทางมู่ไห่ ก่อนกำหมัดคำนับ “ท่านอาไห่ ข้าเสียมารยาทแล้ว”
หลังกล่าวจบเด็กหนุ่มได้สะบัดแขนเสื้อและก้าวออกไปทันที โดยมีมู่จง มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่ติดตามไปอย่างรวดเร็ว
“หึ”
มู่ไห่จ้องมองไปยังมู่ลี่ ก่อนจะเดินตามออกไป
ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลมู่ก็เริ่มทยอยตามออกจากโถงรับรองไปด้วยเช่นกัน
มู่ลี่มองตามแผ่นหลังของมู่เฟิง ก่อนจะกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ
“พี่ลี่...”
สมุนตัวน้อยสองคนได้เดินเข้ามาหามู่ลี่ในทันที
“พวกเราออกไปกันเถอะ วันนี้ข้าจะฉีกโฉมหน้าของคุณชายจากตระกูลสายหลักนั่นให้ดู และทำให้เขาได้รู้ว่าคนของเรานั้นเก่งกาจมากเพียงใด”
มู่ลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื ก่อนจะเดินตามทุกคนออกไป
ด้านนอกของโถงรับรองคือลานหินแกรนิตซึ่งเป็พื้นที่เปิดโล่ง เวลานี้คนของตระกูลมู่ต่างมารวมตัวกันจนกลายเป็วงกลมขนาดใหญ่ โดยมีมู่เฟิงที่กำลังเอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงกลางรอคอยการมาของมู่ลี่
เพียงไม่นานมู่ลี่ก็เดินเข้ามา สีหน้าของเขาดูมืดครึ้มลงเล็กน้อย
“พี่มู่ลี่ ลงมือเถอะ”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย
“จองหอง เส้นลมปราณถูกทำลายไปแล้วยังกล้าทำตัวอวดดีอีก”
มู่ลี่ตะคอกด้วยน้ำเสียงเ็า ในขณะเดียวกัน เขาได้กำหมัดเอาไว้แน่นและกล่าวขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เช่นนั้นข้าขอลงมือก่อนแล้วกัน”
ฟึ่บ!
หลังกล่าวจบ มู่ลี่ได้กระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้นก่อนจะทะยานร่างไปข้างหน้า พร้อมปล่อยหมัดตรงเข้าใส่มู่เฟิง
วืด วืด...!
กำปั้นนั้นทะลวงผ่านอากาศจนเกิดเป็เสียงหวีดหวิว โดยหมัดนี้ได้ถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังปราณสีขาว
เพียงหมัดเดียวก็สามารถมองเห็นถึงความแข็งแกร่งของมู่ลี่ได้ว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ต่อไปและกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าความแข็งแกร่งระดับนี้ทั้งยังอยู่ในวัยเพียงเท่านี้นั้น นับได้ว่าเป็คนมีความสามารถ แต่นี่เป็เพียงมาตรฐานของตระกูลมู่ในเมืองอันหนานเท่านั้น ไม่สามารถเทียบกับเมืองหลวงได้
ความรุนแรงของหมัดนี้มีน้ำหนักเกือบถึงสองพันจิน* เกรงว่าหากเป็เพียงคนธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์ กำปั้นนี้อาจทำให้าเ็สาหัสเจียนตายได้
(*หนึ่งพันกิโลกรัม)
มู่เฟิงเพียงเอียงตัวไปทางซ้ายเพื่อหลบหมัดที่พุ่งมาทางขวา เหมือนว่าเขาจะสามารถหลบหมัดที่แสนอันตรายนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ฉับพลันนั้นมู่ลี่ก็ได้ปล่อยหมัดที่สองออกมาทางฝั่งซ้ายต่อในทันที
เมื่อเห็นดังนั้น มู่เฟิงได้บิดฝ่าเท้าเพื่อหมุนตัวเป็ครึ่งวงกลมก่อนจะก้าวถอยหลัง เด็กหนุ่มสามารถหลบหลีกและเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่มู่ลี่ยังไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น คราวนี้เขาได้รุดตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปล่อยหมัดคู่ออกมา หมัดคู่นี้ราวกับเป็กำปั้นสังหารที่รวดเร็วดั่งพายุคลั่ง สามารถปล่อยหมัดอกมาได้เจ็ดถึงแปดหมัดต่อวินาที ซึ่งเป็อัตราความเร็วที่สูงมาก
แต่การเคลื่อนไหวของมู่เฟิงนั้นดูราวกับใบไม้ท่ามกลางสายลมที่โบกสะบัดอย่างรุนแรง เขาสามารถหลบหลีกหมัดเ่าั้ได้อย่างลื่นไหล มู่ลี่จึงทำได้เพียงต่อยอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น
บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลมู่ที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์กันทั้งนั้น แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมองเห็นการเคลื่อนไหวทุกอย่างได้ชัดกว่าคนทั่วไป
หากเป็คนธรรมดาย่อมมองที่ความคึกคักดุเดือด แต่สำหรับพวกเขานั้นมองที่วิธีการเคลื่อนไหว แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่ามู่เฟิงถูกการโจมตีของมู่ลี่บีบให้ต้องล่าถอย แต่ในความจริงแล้วเด็กหนุ่มนั้นสามารถหลบหลีกการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องตัว เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของเขาไม่ได้อ่อนด้อยเลยแม้แต่น้อย
ถูกต้อง มู่เฟิงได้ฝึกทักษะร่างกายให้ว่องไวและมีความคล่องตัวสูง ดังนั้นท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาจึงพลิ้วไหวดุจสายลม เดิมทีนี่เป็เพียงท่าทางการเคลื่อนไหวร่างการขั้นพื้นฐานเท่านั้น ในความจริงมู่เฟิงได้ฝึกทักษะร่างกายจนบรรลุระดับสัมฤทธิ์แล้ว และอีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะสามารถบรรลุระดับสมบูรณ์ซึ่งเป็ระดับสูงสุดได้สำเร็จ
สำหรับการฝึกทักษะร่างกายคือการฝึกฝนร่างกายั้แ่เริ่มต้นไปจนถึงสามารถใช้ร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญในระดับสูงสุด โดยมีการแบ่งระดับขั้นเอาไว้ดังนี้
หนึ่งคือระดับเริ่มต้น เป็ระดับเริ่มต้นของการฝึกฝน
สองคือระดับไต่เต้า เป็ระดับที่ข้ามผ่านขั้นเริ่มต้นมาแล้ว และเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการเคลื่อนไหวท่าทางของร่างกายได้อย่างชัดเจนมากขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่าเกือบสัมฤทธิ์ผล
สามคือระดับสัมฤทธิ์ เป็ระดับที่ฝึกฝนจนสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้อย่างเชี่ยวชาญ มีความยืดหยุ่นและว่องไวดุจสายลม
สี่คือระดับสมบูรณ์ โดยระดับนี้คือการฝึกฝนจนสามารถเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จิตเป็หนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหว สามารถเคลื่อนกายได้ดังใจนึก! ซึ่งระดับนี้ถือเป็ระดับสูงสุดแล้ว
ท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกายของมู่เฟิงนั้นปราดเปรียวดุจดังสายลม ถึงอย่างไรทักษะร่างกายของเขาก็บรรลุระดับสัมฤทธิ์แล้ว และอีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถบรรลุระดับสมบูรณ์ได้สำเร็จ อีกทั้งเพราะอาศัยสิ่งนี้ทำให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดรวมถึงเข่นฆ่าศัตรูในกองทัพได้
“ความว่องไวยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกทักษะร่างกายจนถึงระดับสัมฤทธิ์แล้ว การจะบรรลุทักษะร่างกายในระดับสัมฤทธิ์ได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ในสามปีห้าปี สมแล้วที่เขาเป็อัจฉริยะของตระกูลหลัก”
“ถูกต้อง เ้าดูนั่นสิ แม้หมัดของมู่ลี่จะเร็วมาก แต่หมัดของเขากลับไม่เคยััถูกตัวของคู่ต่อสู้เลย มู่เฟิงผู้นั้นเป็เพียงแค่คนไร้ประโยชน์จริงหรือ?”
“แต่ว่าเขาทำเพียงหลบเลี่ยงหมัดอยู่ตลอด ไม่ยอมโต้กลับเสียที คงไม่ใช่ว่าเพราะเส้นลมปราณถูกทำลาย ไม่มีวรยุทธ์แล้วจึงไม่กล้าโต้กลับหรอกนะ”
ผู้คนในตระกูลมู่ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเื่นี้
เวลานี้ภายในใจของมู่ลี่จวนจะคลั่งเต็มที เขาปล่อยหมัดออกไปเป็เวลานาน แต่กลับไม่สามารถแตะต้องได้แม้กระทั่งเสื้อผ้าของอีกฝ่าย ส่วนด้านมู่เฟิงนั้นยังคงเอามือไพล่หลัง ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายราวกับกำลังเดินเล่นชมสวน
“ฮ่าๆ มู่ลี่ เ้านี่ห่วยชะมัด เ้าแตะต้องเสื้อผ้าของพี่เฟิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
มู่ขวงหัวเราะร่า พลางกล่าวเหน็บแนมอยู่ข้างสนาม เมื่อได้ยินดังนั้นมู่ลี่ก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น
“อย่าเอาแต่หลบหลีกแล้วมาเผชิญหน้ากับข้าเสียที”
มู่ลี่คำรามออกมาเสียงดัง ก่อนทะยานหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับดูสะเปะสะปะเล็กน้อย
“เผชิญหน้า? เช่นนั้นข้าจะสนองให้เ้าเอง!”
ดวงตาของมู่เฟิงเป็ประกายเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ร่างของเขาถอยห่างออกมาอย่างกะทันหัน แต่ในวินาทีถัดมาเขาก็พลันก้าวรุดไปเบื้องหน้าทันใด
เมื่อมู่ลี่เห็นมู่เฟิงทะยานตัวเข้ามาหาอย่างฉับพลัน เด็กหนุ่มก็เกิดความสับสนขึ้นมาเล็กน้อย ในเสี้ยววินาทีนั้นมันได้กลายเป็ช่องโหว่ของเขา และด้วยช่องโหว่นี้จึงเป็ผลดีต่อการโจมตีของมู่เฟิง
“หมัดทะลวงลมปราณ!”
หมัดของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วและกะทันหัน อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยพลังปราณระดับทงม่ายขั้นหกจากเส้นลมปราณที่ขยายใหญ่มากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป
วืด! วืด! วืด! วืด…!
เสียงกระดูกแขนของเขาดังขึ้นอย่างคมชดถึงเก้าครั้ง พร้อมกับหมัดที่มีแสงเปล่งประกายพุ่งตรงเข้ากระแทกหน้าอกของมู่ลี่อย่างจัง
ปัง...!
อัก...!
มู่ลี่ถูกหมัดนั้นกระแทกหน้าอกอย่างแรง กระทั่งเสียงหมัดกระทบเนื้อยังดังสนั่น เด็กหนุ่มกระอักเืออกมาคำโต ร่างกายของเขาราวกับกระสอบที่ถูกโยนทิ้งกลางอากาศและลอยถลาไปไกลกว่าสิบเมตร ก่อนจะร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงและกลิ้งต่อไปอีกสองตลบ
หลังจากปล่อยหมัดนี้ออกมามู่เฟิงยังคงนิ่งสงบดังเดิม ภายในใจของเขามีเพียงความเยือกเย็นเท่านั้น
เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในหมัดเดียว! เงียบสงัด! เวลานี้มีเพียงความเงียบ! ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคำ