่ที่ดอกของต้นซินอี๋[1]จะบานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดอกไม้ที่เหลืออยู่ประปรายบนต้นก็ถูกลมพายุพัดหล่นลงมาจนผสมไปกับดินโคลน
น้ำฝนที่เจิ่งนองเต็มพื้นปะปนไปด้วยสีแดงอ่อน
ใต้ต้นไม้ปลูกต้นโบตั๋นและดอกกุหลาบเป็พุ่มซึ่งกำลังเบ่งบานพอดี ดอกโบตั๋นสีแดงโลหิต ดอกกุหลาบสีเหลืองสวยราวกับหยก พลิ้วไหวไปมาตามลมฤดูร้อน
ที่ผูกอยู่กับต้นซินอี๋เป็สตรีที่สวมชุดชาววังคนหนึ่ง นางสวมชุดสีม่วงแดงหรูหราไม่มีใครเทียบ ชุดปักลายดอกโบตั๋นเอาไว้อย่างหรูหรา ทั้งงดงามและมีสีสันสดใส
หลิวอันสั่งให้บรรดาข้ารับใช้มาล้อมนางสนมที่ถูกแขวนอยู่ผู้นั้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของที่เกิดเหตุ
เป็เื่ไม่ดีที่เกิดขึ้นติดต่อกันจริงๆ ในวังเกิดเื่ติดๆ กันสองสามครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
องค์รัชทายาทรีบเดินมา ฉินรั่วคอยกางร่มไม้ไผ่ให้นาง
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท” หลิวอันทำความเคารพก่อนจะรายงาน “เมื่อเช้าตรู่ มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินผ่านมาทางนี้ เห็นจ้าวผินแขวนอยู่กับต้นไม้พ่ะย่ะค่ะ”
“รายงานศาลต้าหลี่แล้วหรือไม่?”
พอได้ยินว่ามีคนในวังตายอีกแล้ว มู่หรงฉือก็แทบจะะโขึ้นมา โชคยังดีที่ไม่ใช่เสด็จพ่อ
หลายวันมานี้ กู้ฮวายแห่งศาลต้าหลี่กับเสิ่นจือเหยียนมาเยือนวังหลวงแต่เช้าไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
หลิวอันตอบกลับ “พอกระหม่อมมาถึงที่นี่ก็รีบส่งคนไปรายงานที่ศาลต้าหลี่ทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ลมฝนค่อยๆ หยุดลง บางครั้งจะมีลมพัดที่หอบเอาหยาดฝนมาด้วยจนขากางเกงเปียกไปหมด
ครั้นผ่านการชะล้างของฝนไปแล้ว ทั้งวังก็เต็มไปด้วยสีสันสดใส กำแพงวังสีแดงยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเดิม กระเบื้องหลิวหลีก็เหลืองเรืองรองมากขึ้น อิฐเขียวก็ยิ่งเขียวจัดขึ้นไป บรรยากาศความชื้นกระจายไปทั่ว ท้องฟ้าที่มืดมัวก็เปลี่ยนมาเป็แจ่มใส
ร่างของจ้าวผินยังคงห้อยอยู่บนต้นไม้ มู่หรงฉือมองไปที่นาง ทั่วทั้งร่างของนางเปียกชื้น หัวตกห้อยลงมา เสื้อผ้างามประณีตเปียกชุ่มจนมีน้ำหยด
มู่หรงฉือสั่งให้ข้ารับใช้ในวังพาผู้ตายลงมาแล้วนำมาวางบนพื้น
จ้าวผินหน้าตางดงาม ทว่าตอนนี้ใบหน้านั้นราวถูกย้อมด้วยสี เพราะน้ำฝนชะล้างเครื่องประทินโฉมออก เผยให้เห็นใบหน้าอันแท้จริงที่ปราศจากการแต่งแต้ม แต่เป็เพราะศีรษะของนางตกห้อยลงทำให้ยังมีเครื่องประทินโฉมหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
ภายในชั่ววินาที ก็เหมือนมีไฟถูกจุดสว่างวาบขึ้น ในหัวของมู่หรงฉือมีประกายแสงสีขาวพาดผ่าน เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้...
มีคนผู้หนึ่งนั่งลงข้างๆ นาง โดยที่นางไม่รู้ตัว เพราะกำลังตั้งใจจะจับความคิดที่แล่นปราดไปให้ได้
“เตี้ยนเซี่ยกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”
เสียงทุ้มนั้นทำให้นางใจสั่น แล้วเรียกสติกลับมาทันที
ครั้นเห็นนางใ มู่หรงอวี้ก็พูดเย้าแหย่ “เตี้ยนเซี่ยกล้าหาญถึงเพียงนั้นก็ยังใหรือ?”
มู่หรงฉือกัดริมฝีปากเงียบๆ คร้านจะสนใจเขา มองไปทางคอของจ้าวผิน
“เตี้ยนเซี่ยคิดว่านางฆ่าตัวตายหรือว่าถูกสังหาร?” เขาถามอีกครั้ง เหมือนอยากจะทดสอบนาง
“หากเป็การฆ่าตัวตาย ทำไมจะต้องมาฆ่าตัวตายที่นี่? ตำหนักจิ่งฝูของจ้าวผินอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล” นางชี้ไปที่คอของผู้ตาย “แต่ว่าคอของนางมีเพียงรอยลึกสีม่วงอยู่รอยเดียว”
นางเกิดความสงสัยขึ้นมา จ้าวผินไม่มีทางวิ่งออกมาฆ่าตัวตายที่นี่ แล้วทำไมนางจะต้องฆ่าตัวตายด้วย? ทว่า รอยแผลสีม่วงลึกที่คอของจ้าวผินดูเหมือนจะบ่งชี้ว่าเป็การฆ่าตัวตาย นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?
มู่หรงอวี้เห็นนางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ใบหน้าเผยความสงสัยออกมา จึงเอ่ยขึ้นว่า “จ้าวผินหลับตาอ้าปาก ลิ้นจุกปาก ตรงคอมีเพียงรอยม่วงช้ำรอยเดียว ดูเหมือนเป็การฆ่าตัวตาย”
มู่หรงฉือประหลาดใจ เขารู้เื่การชันสูตรศพอยู่บ้าง?
“บางทีจ้าวผินอาจจะฆ่าตัวตายเองจริงๆ เพียงแต่อาจกระทำไปอย่างไม่เต็มใจ” น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มอบอุ่น ซึ่งเป็การพูดที่ให้นางได้ยินเพียงคนเดียว
“ไม่เต็มใจ...” นางเข้าใจโดยทันที เช่นนั้นจ้าวผินก็ถูกคนร้ายพามาที่นี่
แต่ว่า จ้าวผินจะต้องไม่ยินยอมแน่ นางได้ร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่? แล้วใครเป็คนพานางมาที่นี่?
ตอนนี้เอง กู้ฮวายกับเสิ่นจือเหยียนก็รุดมาถึง
หลังจากทั้งสองทำความเคารพแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เสิ่นจือเหยียนเริ่มทำการชันสูตรศพเบื้องต้นทันที
ผลการชันสูตรศพของเขาไม่ต่างจากการสันนิษฐานของมู่หรงอวี้เท่าใด จากการสันนิษฐานเบื้องต้นคือเป็การฆ่าตัวตาย บนตัวไม่มีาแอื่น ทั้งยังไม่มีร่องรอยการดิ้นรนต่อสู้
“จ้าวผินคงจะตายประมาณตอนก่อนยามอิ๋น[2] ก่อนฝนตกฟ้าร้อง เสื้อผ้าของนางยังสะอาดสะอ้าน แม้แต่โคลนสักนิดก็ไม่มี” ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นจือเหยียนแสดงความตื่นเต้นออกมา “แต่ก็ยังมีความเป็ไปได้ที่จะถูกฝนชะล้างไปหมดแล้ว”
“เล็บของนางทาน้ำยาทาเล็บเอาไว้ ยังมีเล็บนิ้วชี้ของนางที่หลุดไป” มู่หรงฉือพูดเสริม
“คงจะเป็่เสี้ยววินาทีก่อนนางจะตายจึงใช้สองมือมาคว้าเชือกเอาไว้” เสิ่นจือเหยียนคาดเดา มือทั้งสองข้างทำท่าทางประกอบที่ลำคอ
“องค์รัชทายาทบอกว่าจ้าวผินไม่มีทางวิ่งมาฆ่าตัวตายที่นี่” มู่หรงอวี้ยืนขึ้น ปลายชุดสีดำปักดิ้นทองโดนน้ำฝนจนเปียกโชก “อีกอย่างเหตุใดจ้าวผินถึงต้องฆ่าตัวตายเล่า?”
“คำถามของเตี้ยนเซี่ยเป็ประเด็นสำคัญที่กระหม่อมก็สงสัยเช่นกัน จ้าวผินฆ่าตัวตายหรือว่าถูกคนฆ่าตายกันแน่ เื่นี้ยังต้องตรวจสอบ” เสิ่นจือเหยียนมองไปทางกู้ฮวาย “ใต้เท้า ข้าน้อยอยากจะไปดูที่ตำหนักจิ่งฝูขอรับ”
กู้ฮวายพยักหน้า หลิวอันรีบพูด “หนูฉายจะสั่งคนให้นำทางใต้เท้าเสิ่นไปขอรับ”
มู่หรงฉือมองไปทางร่างของจ้าวผินที่ถูกนางกำนัลยกไป จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้แล้วพูดกับหลิวอัน “ผู้ดูแลหลิว รอหลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วค่อยฝังจ้าวผิน”
เขาพูดอย่างลำบากใจ “ฤดูร้อนอากาศร้อนจัด เก็บเอาไว้สามวันเกรงว่าจะเน่าเหม็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นจือเหยียนกล่าว “ไม่เป็ไร วันนี้ข้าจะเอาศพของจ้าวผินไปตรวจสอบอย่างละเอียดหลังจากนั้นจะรีบนำศพกลับมา ในวังสามารถจัดงานศพได้ทันที”
มู่หรงอวี้พูดเสียงทุ้ม “ทำตามประสงค์ของเตี้ยนเซี่ย หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วค่อยฝังศพ ใช้น้ำแข็งมารักษาศพไปก่อน”
ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนออกปากแล้ว หลิวอันจึงไม่พูดอะไรมากอีก
....
จ้าวผินเป็เฟยจื่อที่มู่หรงเฉิงรับมาเมื่อสิบปีก่อน พักอยู่ในตำหนักจิ่งฝู ไม่ได้ให้กำเนิดองค์ชายหรือองค์หญิงแต่อย่างใด
นางกำนัลหลายคนยกศพมาตั้งอยู่ด้านข้างตำหนัก นางกำนัลคนสนิทข้างกายจ้าวผินมาดูแลเ้านายตัวเองเป็ครั้งสุดท้ายที่ด้านข้างตำหนัก ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า หวีผม แต่งหน้าให้ศพของนาง
เหล่านางกำนัลข้ารับใช้ที่เหลือคุกเข่าร้องไห้อยู่ที่ด้านข้างตำหนัก บรรยากาศโศกเศร้าแผ่กระจายไปทั่ว
เพียงแต่ ใครจะไปรู้ว่าเสียงร้องไห้เสียงไหนมาจากใจจริง เสียงไหนเป็การแสร้งร้องไห้อย่างขอไปที
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือมองไปรอบๆ ตำหนักก่อนจะเข้าไปในห้องนอน
ห้องนอนของจ้าวผินเต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย เครื่องประดับส่องประกายระยิบระยับ แสบตาจนทำให้คนตาแทบบอด
บรรดาเครื่องเรือนที่ทำจากทองหยกจัดวางอยู่ทั่วห้อง เครื่องประดับหลากหลายชนิดเรียงรายเต็มโต๊ะเครื่องแป้ง เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกแขวนอยู่ในตู้ไม้ ห้องนี้ได้รับการจัดการอย่างเป็ระเบียบ ทำให้คนถึงกับเปิดโลก
ั้แ่ที่เซียวกุ้ยเฟยเข้าวังมาเมื่อหกปีก่อน จ้าวผินก็สูญเสียความเอ็นดูจากฝ่าาไป หนึ่งเดือนถึงจะได้เข้าเฝ้ามู่หรงเฉิงสักครั้ง
จ้าวผินเปลี่ยวเหงาจนยากจะทานทน จึงเอาเครื่องประดับที่ฮ่องเต้ประทานให้มาคอยปลอบใจและเติมเต็มตนเอง ประหนึ่งเป็สัญญาณบอกกับตนเองว่า : ฝ่าายังคงรักนาง หรืออาจจะเป็นางที่ยังอยากป่าวประกาศให้คนในตำหนักจิ่งฝูว่า สักวันหนึ่ง นางจะได้รับความรักความโปรดปรานจากฝ่าาอีกครั้ง
มู่หรงฉือรู้สึกเศร้าใจกับสตรีในวังหลัง นางเกิดในวังหลวง ได้เห็นเฟยผินในวังหลังได้รับทั้งเกียรติยศและความอัปยศ เกิดตายเปลี่ยนไปจนชินชา
ดังนั้น ั้แ่รู้ความมา นางจึงตัดสินใจว่าจะไม่ยอมเป็สตรีที่น่าสงสารในวังหลัง จะไม่ให้บุรุษคนใดมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของนาง
เสิ่นจือเหยียนมองไปรอบๆ สายตาหม่นลงเล็กน้อย “ห้องนอนสะอาดเป็ระเบียบ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ทุกอย่างเป็ปกติ”
นางพยักหน้า “เปิ่นกงไม่เข้าใจเลย จ้าวผินไม่มีเหตุผลที่จะต้องปลิดชีพตนเองเสียหน่อย”
“แต่ก็ไม่มีคำอธิบายเื่ข้อเท็จจริงในการฆ่าตัวตายของนาง อีกอย่างนางไม่มีความจำเป็ที่จะต้องไปฆ่าตัวตายไกลถึงเพียงนั้น นี่คือจุดน่าสงสัยที่สุดในการตายของจ้าวผิน” มู่หรงฉือกล่าวต่อ
“ข้าจะไปบอกให้เรียกหยวนฟางนางกำนัลคนสนิทของจ้าวผินมาสอบถาม” เสิ่นจือเหยียนเดินออกจากห้องนอนแล้วสั่งให้นางกำนัลคนหนึ่งออกไปเรียกหยวนฟาง
มู่หรงฉือยืนอยู่ตรงหน้าเตียง สายตาเย็นเยียบกวาดมองไปรอบๆ
หลังจากนั้น นางก็เดินไปถึงตำหนักใหญ่ เสิ่นจือเหยียนเริ่มสอบถามหยวนฟาง “เ้าคือหยวนฟางนางกำนัลคนสนิทของจ้าวผินใช่หรือไม่?”
หยวนฟางก้มหน้าลงพยักหน้าน้อยๆ ตาทั้งสองข้างบวมแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ
“เมื่อคืนเป็เ้าที่ดูแลจ้าวผินเข้านอนหรือ?” มู่หรงฉืออยากจะให้นางเงยหน้าตอบ
“กราบบังคมทูลเตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น เป็หนูปี้เองเพคะ” หยวนฟางตอบเสียงสะอื้น
“เมื่อคืนก่อนและหลังเข้านอน จ้าวผินมีคำพูดหรือท่าทางผิดปกติใดหรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถามต่อ
“เหมือนปกติเ้าค่ะ หลังจากอาบน้ำเสร็จนางก็พักผ่อนตอนยามไฮ่[3]” นางหลุบตาลง สะอื้นด้วยความเสียใจ
“ก่อนเข้านอนจ้าวผินได้ดื่มชาหรือว่า...” ในหัวสมองของมู่หรงฉือพลันมีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา
“ทุกวันก่อนนอนจ้าวผินจะดื่มโจ๊กเ้าค่ะ”
“โจ๊กอะไร?”
“เมื่อคืนเป็โจ๊กซิ่งเหริน[4] แต่ก่อนจะมีโจ๊กดอกกุหลาบ โจ๊กดอกฝูหรง[5] โจ๊กรังนก”
“โจ๊กซิ่งเหรินใครเป็คนทำ?” มู่หรงฉือถามราวกับรู้สึกว่ามีบางอย่างโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
“จ้าวผินไม่ยอมให้พ่อครัวในโรงครัวทำเพคะ จึงให้พวกหนูปี้ที่ตำหนักจิ่งฝูทำห้องทำอาหารเล็กๆ เอาไว้ จ้าวผินชอบทานอะไรก็จะเป็หยวนชิวทำให้” หยวนฟางตอบ
“เมื่อคืนจ้าวผินทานโจ๊กซิ่งเหรินไปก็พักผ่อนเลยหรือ?” เสิ่นจือเหยียนมองเตี้ยนเซี่ยไปครั้งหนึ่ง เหมือนจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน “เป็เ้าที่เฝ้าอยู่เมื่อคืนหรือ?”
“จ้าวผินดื่มโจ๊กซิ่งเหรินเข้าไปก็พักผ่อนเลยเพคะ หลังจากนั้นหนูปี้ก็คอยเฝ้าอยู่ทั้งคืน” หยวนฟางยิ่งร้องไห้เสียใจ น้ำตาไหลออกมา “หนูปี้คอยระมัดระวังมาตลอดทั้งคืน แต่ไม่รู้เหตุใดเมื่อคืนกลับไม่รู้เื่อะไรเลย...ทุกวันเพียงแค่ฟ้าสาง หนูปี้ก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าวันนี้หยวนชิวเรียกหนูปี้อยู่นานหนูปี้ถึงจะตื่นขึ้นมา...เป็หนูปี้ไม่ได้ดูแลจ้าวผินให้ดี หนูปี้สมควรตาย...”
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนสบตากัน จากนั้นให้นางออกไป ต่อมาก็ร้องเรียกหยวนชิว
หยวนชิวเองก็เสียใจจนยากจะเก็บอาการ ดวงตาทั้งสองข้างบวมเล็กน้อย นางก้มหน้าลง
นางพูดเสียงเรียบ “หลังจากจ้าวผินเข้าวัง หลายปีมานี้ก็เป็หนูปี้กับหยวนฟางที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ เพคะ”
มู่หรงฉือถาม “ได้ยินว่าจ้าวผินชอบทานโจ๊กหนึ่งถ้วยก่อนนอน”
หยวนชิวตอบ “เพคะ ก่อนนอนจ้าวผินจะทานโจ๊กซิ่งเหริน โจ๊กดอกฝูหรง โจ๊กรังนกล้วนเป็หนูปี้ที่ทำ” นางเงยหน้าขึ้นมาทันที วิงวอนอย่างน่าสงสาร “องค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่น จ้าวผินไม่มีทางฆ่าตัวตาย จ้าวผินจะต้องถูกคนสังหารเป็แน่ หนูปี้ขอร้องพวกท่านช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้จ้าวผินของพวกเราด้วยเถิดเพคะ”
เสิ่นจือเหยียนมององค์รัชทายาท ถามด้วยสีหน้านิ่ง “ทำไมเ้าถึงคิดว่าจ้าวผินไม่มีทางฆ่าตัวตาย?”
“เมื่อวันก่อนจ้าวผินยังบอกว่าอีกสองวันจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าา...” หยวนชิวพูดรัวเร็ว ดูลุกลี้ลุกลน “ท่านลองคิดดูสิเ้าคะ เช่นนี้แล้วเหตุใดจ้าวผินถึงยังจะคิดฆ่าตัวตายได้เล่า? นี่มันไม่แปลกมากหรือเ้าคะ?”
“เปิ่นกงจะตรวจสอบให้ชัดเจน เมื่อคืนเ้าทำโจ๊กซิ่งเหริน เป็เ้าที่เอาไปให้นางที่ตำหนัก ได้ดูจ้าวผินทานจนหมดด้วยตนเองหรือไม่?” มู่หรงฉือถาม
“ทุกคืนจะเป็หนูปี้ทำเสร็จแล้วเอาไปส่งที่ห้องนอนของนาง แต่ว่าเมื่อคืนหยวนฟางบอกว่าจ้าวผินกำลังโกรธจัด นางจึงเป็คนยกถ้วยเข้าไป หนูปี้นึกขึ้นได้ว่าห้องครัวยังไม่ได้ทำความสะอาด จึงกลับไปทำความสะอาดเพคะ” หยวนชิวกลับมาสงบสติอารมณ์ดังเดิม
เชิงอรรถ
[1] 辛夷树 ต้นซินอี๋ หรือต้นแปะเจียก เป็พืชชนิดหนึ่งในสกุลโบตั๋น กลีบดอกสีชมพู เกสรสีเหลือง ดอกมีขนาดใหญ่และกลม ยามบานจะส่งกลิ่นหอม เมื่อบานแล้วดอกจะมีทรงคล้ายถ้วย
[2] ยามอิ๋น (寅时) คือเวลา 03.00 น. – 05.00 น.
[3] ยามไฮ่ (亥时) คือเวลา 21.00 น. – 23.00 น.
[4] โจ๊กซิ่งเหรินคือการเอาเม็ดอัลมอนด์ไปปั่นแล้วนำมาต้มในน้ำพร้อมกับข้าว
[5] ดอกฝูหรงคือดอกพุตตาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้