ใช่ ชายฉกรรจ์ไม่ต้องซักกางเกงกลางดึก แต่เปลี่ยนมาซักตอนเช้าแทน
แต่ก่อนซักกางเกง เขาไม่ลืมที่จะวิ่งไปตักน้ำร้อนจากห้องครัวเข้ามาในห้องให้ภรรยาตัวน้อยใช้ล้างมือ…
น้ำที่ใช้ล้างมือแล้วย่อมต้องเอาออกไปเท สาดน้ำในกะละมังออกไป ดมอย่างละเอียดให้แน่ใจว่าไม่มีกลิ่นลูกหลานหลงเหลือจึงตักน้ำเข้าไปให้ภรรยาตัวน้อยล้างหน้าต่อ
หลินหวั่นชิวนวดข้อมือที่ปวดประหนึ่งจะหักเสียให้ได้ ทำตาขวางใส่เจียงหงหย่วน
ชายฉกรรจ์ “…”
เขาไม่ได้อยากให้ภรรยาตัวน้อยปวดมือ อยากให้นางปวดเอวมากกว่า
รอจนภรรยาตัวน้อยล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ ชายฉกรรจ์จึงซักกางเกงตัวเอง
ตามภรรยาตัวน้อยเข้าห้องครัว เจียงหงหย่วนเห็นมือนางสั่นตอนเปิดฝาหม้อก็รีบแย่ง
“เ้าไปนั่ง ข้าทำเอง”
ชายฉกรรจ์ตักโจ๊ก หมั่นโถวและเต้าหู้ยี้ คีบผักดองที่หลินหวั่นชิวดองไว้ในไหใส่ถ้วยใบเล็กๆ ทั้งคู่ไม่ได้ไปกินที่ห้องโถง ก็แค่ข้าวเช้า ไม่จำเป็ต้องพิธีรีตอง
หลินหวั่นชิวกำลังจะยกโจ๊กขึ้นดื่ม ช้อนที่มีน้ำข้าวต้มอยู่เต็มคันหนึ่งก็ยื่นมาข้างปาก “เ้าเหนื่อยอยู่ ข้าป้อนให้”
(หลินหวั่นชิว: “…เ้ารู้หรือไม่ว่าหากทำเช่นนี้อีกจะโดนทุบตี?”)
กระนั้นก็อ้าปาก
อุณหภูมิกำลังดี
เห็นนางกินโจ๊ก ชายฉกรรจ์บิหมั่นโถวเข้าปากนางต่อ หมั่นโถวจิ้มเต้าหู้ยี้ เขาจำได้ว่านางชอบกินเช่นนี้
ถูกปรนนิบัติอย่างระมัดระวังราวกับคนมือหักเช่นนี้ หลินหวั่นชิวค่อยๆ อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
ทว่ากินเสร็จแล้วนางถึงเพิ่งรู้ว่าชายฉกรรจ์ป้อนหมั่นโถวสามลูกกับโจ๊กข้นชามโตให้ตัวเอง!
มากกว่าที่นางกินปกติครึ่งหนึ่ง!
จะขุนนางให้เป็หมูหรืออย่างไร
หลินหวั่นชิวเห็นความตั้งตารอในแววตาของเขา ประหนึ่งกำลังพูดว่า รีบกิน กินเยอะๆ อ้วนแล้วข้าจะได้เชือด!
“ปกติเ้ากินน้อยแล้วยังจะดื้อกับข้า ดูเถิด ต้องให้ข้าป้อนถึงจะยอมกิน!” เจียงหงหย่วนพูดจบก็ยกชามขึ้นกรอกโจ๊กเข้าปาก
เพียงพริบตาก็หมดชาม ต่อด้วยยัดหมั่นโถวเข้าปาก ท่าทีองอาจยิ่งนัก
หลินหวั่นชิวไม่อยากคุยกับเขา นางลูบท้องที่พองขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลุกขึ้นไปที่ลานบ้าน นั่งบนเก้าอี้เอน หลับตาครุ่นคิดถึงชีวิต
ชีวิตช่างยากลำบากเหลือเกิน
อ้วนง่าย ลดน้ำหนักยาก
นางต้องเรียนรู้บทเรียน ห้ามให้เจียงหงหย่วนขุนตัวเองจนอ้วนเด็ดขาด
เจียงหงหย่วนล้างชามเสร็จก็ยกม้านั่งตัวเล็กๆ มานั่งข้างหลินหวั่นชิว ตัวบึกบึนแต่นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก มองแล้วเหมือนกำลังนั่งยองๆ อย่างไรอย่างนั้น
เขามองหลินหวั่นชิว ยกมือทัดผมนางไปไว้หลังหู “อยากงีบก็ไปงีบในห้อง ข้างนอกอากาศเย็น”
หลินหวั่นชิวตอบอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่อยากสนใจท่าน ท่านมันคนใจดำ คิดจะขุนข้าให้อ้วน”
เจียงหงหย่วน “นอนเฉยๆ ไม่ขยับตัวอ้วนง่ายกว่าอีก”
หลินหวั่นชิวได้ยินดังนี้ก็สะดุ้งโหยง ลุกขึ้นเข้าห้องทันที
นางยังต้องทำโยคะ เช้านี้ถูกชายฉกรรจ์รบกวนจนลืม
“ข้าจะให้คนถามเื่เ้าของร้านให้ เ้าเองก็เอาไปคิดดู ไว้ข้ากลับมาแล้วค่อยปรึกษากัน” เจียงหงหย่วนะโเข้ามา ไม่สนใจว่าคนด้านในจะได้ยินหรือไม่ พูดจบก็เดินจากไป
งานยุ่ง
ที่บ่อนมีหลุมพรางรอให้เข้าะโลงไปอยู่ จะะโลงหลุมพรางก็ต้องใช้ทักษะ เขาต้องถือโอกาสนี้มาตรวจสอบให้แน่ชัดว่านอกจากปาหลี่ว์จื่อแล้วยังมีผู้ใดที่ไม่ชอบเขาอีก ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
ฝั่งสวีเต๋อเซิ่งเองก็ต้องจับตาดู
สวีเทาก็ต้องจับตาดู
บ้านเหล่าหลินก็ต้องดู
เขามีคนให้ใช้งานไม่มาก อยากแยกร่างตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
แต่อีกไม่นานน่าจะมีข่าวคราวจากฝั่งหนิงผานแล้ว แค่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร
หลินหวั่นชิวทำโยคะอยู่ในห้องไปหนึ่งชุด อันที่จริงทำกลางแจ้งจะดียิ่งกว่า ทว่าท่าของโยคะ…คนยุคนี้คงรับไม่ได้เป็แน่
ได้แต่แอบทำ
เที่ยงแล้วเจียงหงหย่วนยังไม่กลับมา หลินหวั่นชิวกินแบบลวกๆ คิดไปคิดมาแล้วตุ๋นแกงไก่ให้ยายสวีเอาไปส่งให้ตู้ซิวจู๋
นางแทงมีดใส่เขา ยิ่งชดเชยมากก็ยิ่งติดค้างน้อย
บ่อนพนัน
ปาหลีว์จื่อเจอตัวเจียงหงหย่วนก็ดึงมาคุยด้านข้าง “หมอนั่นติดกับแล้ว คืนนี้พวกเราปล่อยให้เขาชนะไปก่อนแล้วค่อยแพ้ รอจนแพ้หมดตัวเ้าก็ไปชวนให้กู้เงิน…”
เจียงหงหย่วนพยักหน้า “ไว้ใจได้ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยแน่”
“ได้ ขั้นตอนที่เหลือเป็หน้าที่เ้า ขึ้นอยู่กับเ้าแล้วว่าปีใหม่นี้พี่น้องทั้งหลายจะมีเงินดื่มเหล้ากินเนื้อหรือไม่!” ปาหลีว์จื่อตบไหล่เขายิ้ม “ข้าคุยกับจ้าวกวาผีและโหย่วโก่วต้านแล้ว พวกเขาตกลงเรียบร้อย”
สองคนที่ปาหลีว์จื่อพูดถึง คนหนึ่งเป็เ้ามือประจำโต๊ะ คนหนึ่งเป็คนปล่อยกู้
“ได้ ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง” เจียงหงหย่วนตอบ
เจียงหงหย่วนจับตาดูพวกเฮ่อตงเวย เป็ไปตามคาด ่แรกเฮ่อตงเวยชนะตลอดจนมีคนเล่นตาม
กระทั่งตกดึก เขาชนะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เจียงหงหย่วนมองออกว่าความดีใจของอีกฝ่ายเป็การแสร้งทำ
เพราะนอกจากความดีใจแล้ว แววตาเขายังมีความเสียดาย นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเงินที่ชนะมาไม่ใช่ของตัวเอง อีกไม่นานต้องเสียหมดและต้องกู้ยืม
ชัดแล้วว่าเฮ่อตงเวยไม่ได้ตกหลุมพรางจริงๆ แต่ร่วมมือกับพวกปาหลีว์จื่อมาหลอกเจียงหงหย่วน
ในเมื่อเฮ่อตงเวยไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าเขาโหดร้าย
เจียงหงหย่วนลูบแขนเสื้อ เขาเตรียมสัญญากู้ไว้สองฉบับ ดอกเบี้ยในสัญญาไม่เท่ากัน แผ่นหนึ่งคิดดอกเบี้ยสองส่วน อีกแผ่นคิดห้าส่วน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเตรียมสัญญาขายตัวไว้หนึ่งแผ่น…
เขาอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ นำตะบันไฟ[1]ออกมาเผาสัญญาที่คิดดอกเบี้ยแค่สองส่วนทิ้ง ขี้เถ้าปลิวลงในหลุม
เมื่อเขากลับไป เฮ่อตงเวยก็เริ่มแพ้พนันแล้ว
เจียงหงหย่วนเข้าไปอย่างถูกจังหวะ ถามเฮ่อตงเวยว่า “ไม่มีเงินแล้วหรือ? ข้าช่วยปล่อยกู้ให้ถอนทุนคืน!”
เฮ่อตงเวยผงะเล็กน้อย ไหนว่าเ้าโง่นี่จะตีสนิทกับเขาก่อนแล้วค่อยล่อลวง?
เหตุใดไม่ล่อลวงแล้วเล่า?
“เอ่อ…”
“เ้าจะกู้หรือไม่กู้?” เจียงหงหย่วนขมวดคิ้ว
เฮ่อตงเวยรีบตอบ “กู้ ข้ากู้!” เขาจะไม่กู้ได้อย่างไร? เล่นพนันมานานขนาดนี้ก็เพื่อเวลานี้ไม่ใช่หรือ
เชิงอรรถ
[1] ตะบันไฟ(火折子) เครื่องมือจุดไฟของชาวจีนโบราณ สามารถจุดไฟได้ด้วยการเป่าเพียงครั้งเดียว ทำมาจากกระบอกไม้ไผ่อัดแน่นไปด้วยกระดาษมูลม้าที่แห้งและไม่ติดไฟหรือกระดาษฟางกระดาษดินเผา ฯลฯ แล้วม้วนอัดแน่นอยู่ภายใน กระดาษเหล่านี้มีส่วนประกอบฟอสฟอรัสและสารที่มีออกซิเจนบางชนิด เมื่อออกมา กระดาษด้านในจะถูกออกซิเจนจากภายนอก สะบัดเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็การกระตุ้นให้ไฟติด