หลินหร่านอ่านบันทึกไปก็พบกับสัญลักษณ์แปลกๆ และตัวอักษรอีกมากมายที่เขาไม่เข้าใจ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็สัญลักษณ์และตัวอักษรโบราณ
ด้วยสิ่งที่หลินหร่านไม่เข้าใจเหล่านี้ ทำให้เขาคิดว่าตำราเล่มนี้อาจเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างก็เป็ได้ ส่งผลให้เขายิ่งรู้สึกว่ามันเป็สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์
การบันทึกนั้น เขียนบันทึกเอาไว้ั้แ่อาการเริ่มแรกเป็ไข้หวัดธรรมดา แล้วเริ่มมาเป็ไข้หวัดใหญ่จนกระทั่งมาถึงอาการของโรคติดต่อ ลุกลามจนกลายเป็โรคระบาด
หลังจากนั้น อาการต่อมาคือิัเริ่มเน่าเปื่อย เสี่ยงต่อการติดต่อสูง เสียชีวิตและกลายเป็ศพ แต่ไม่สามารถเดินได้ ทำได้เพียงขยับตัว ลุกขึ้นนั่ง นิ้วมือนิ้วเท้ากระดิก ราวกับกำลังฟื้นคืนจากความตาย
นอกเหนือจากนั้น ดูเหมือนการทดลองครั้งนี้จะถูกบังคับให้ยุติลงก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์
บันทึกทั้งหมด นอกจากจะไม่มีการกลายสภาพของศพแล้ว อย่างอื่นก็มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่ซูชิงเฟิงเอ่ยมาทั้งหมด
ทว่าบันทึกนี้ก็ยังมีสิ่งที่ถือว่าเป็ประโยชน์อยู่ เหมือนกับว่าบันทึกของคนผู้นี้จะแสดงให้เห็นว่า การใช้ยาตัวไหนที่ผิดและควรที่จะใช้ยาตัวไหนแทน ผลจะเป็อย่างไรและควรตอบสนองต่อสถานการณ์เช่นไร
แต่สิ่งที่ทำให้หลินหร่านไม่เข้าใจก็คือ ตัวยาที่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้แต่ชื่อยังอ่านไม่ออก
ตัวยาที่บันทึกไว้ถือว่าเป็ตัวยาหายาก คาดว่าคงเป็ตัวยาที่มีเฉพาะทางชายแดนทางใต้อย่างแน่นอน
หลินหร่านกำลังอ่านตำราที่ผู้เป็มารดาของเขาเขียนเกี่ยวกับยาสมุนไพรอย่างตั้งใจ ซึ่งในขณะนั้น อวี้ฉู่จาวได้เดินเข้ามาพอดี
“อวิ๋นซี”
อวี้ฉู่จาวเอ่ยเรียกทำให้หลินหร่านเงยหน้าขึ้นมามอง
เวลานี้ อีกคนกำลังจ้องมองมาที่เขาเสมือนพบสิ่งที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอมาแสนนานด้วยแววตาเป็ประกาย
“ท่านอ๋อง ข้าเจอสิ่งสำคัญบางอย่างแล้ว” หลินหร่านกวักมือเรียกอวี้ฉู่จาวให้เดินมาหาตน
อวี้ฉู่จาวรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก อวิ๋นซีของเขาพบเจออะไรกันแน่ถึงได้ดูตื่นเต้นเช่นนั้น
อวี้ฉู่จาวก้าวเข้าไปใกล้ แล้วหลินหร่านก็ก้าวออกมาสองก้าว เขากอดแขนของอวี้ฉู่จาวพร้อมกับลากไปที่หน้าโต๊ะศึกษาตำรา
“ท่านอ๋องดูนี่สิ”
หลินหร่านยื่นบันทึกเล่มนั้นใส่ฝ่ามือของอวี้ฉู่จาว ให้เขาลองดูเนื้อหาเ่าั้ให้ละเอียด
อวี้ฉู่จาวเพียงมองไปเห็นปีที่บันทึกก็พลันรู้สึกว่าสิ่งนี้ช่างน่าสนใจ
“ท่านอ๋อง ปีอธิกสุรทินคือ่ของราชวงศ์ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านเอ่ยถามในส่วนที่ตนเองไม่ค่อยแน่ใจ
“ปีอธิกสุรทินคือ่ที่เสด็จพ่อของข้าเพิ่งขึ้นครองราชย์” อวี้ฉู่จาวไม่ได้สนใจเื่ที่หลินหร่านไม่รู้ว่าปีอธิกสุรทินคือ่ราชวงศ์ใด เพราะเขาคิดว่านี่คงเป็เื่ปกติที่จะมีคนไม่รู้
อวี้ฉู่จาวยิ่งอ่านเนื้อหาลงมาเรื่อยๆ เขายิ่งประหลาดใจ
สิ่งที่เขียนอยู่ในบันทึกเล่มนี้มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่ซูชิงเฟิงกล่าวออกมายิ่งนัก
“นี่คือสิ่งที่ข้าพบจากตำราทางการแพทย์ของท่านแม่ แต่ดูจากตัวอักษรเหล่านี้ ท่านแม่ไม่น่าจะเป็คนเขียน มันเกี่ยวข้องกับเื่ของโรคระบาดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ” หลินหร่านหาโอกาสอธิบาย และเขาก็ให้เวลาอวี้ฉู่จาวได้ดูรายละเอียดต่างๆ ต่อโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
บันทึกจากปีที่ 48 นี้ อวี้ฉู่จาวไม่ได้ดูจนจบ แต่เนื้อหาเหล่านี้ส่วนมากแล้วน่าจะเกี่ยวข้องกับโรคระบาดที่เกิดขึ้นในเขตผิงอย่างแน่นอน
เขาเริ่มรู้สึกสงสัย หรือว่าโรคระบาดนี้จะเกี่ยวข้องกับอวี้ฉู่ซวน อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับชายแดนทางใต้อีก
ทว่าเมื่อลองเชื่อมโยงไปถึงชาติภพก่อน เขาพลันรู้สึกว่าสิ่งนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอวี้ฉู่ซวนอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้น...เท่ากับมีความเป็ไปได้สูงที่อวี้ฉู่ซวนกับชายแดนทางใต้จะสมรู้ร่วมคิดกัน
เมื่อมาลองคิดดู ในตอนที่ตัวเขาไปเมืองชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ก็ได้ถูกกองทัพเข้ามาโจมตีขนาบข้าง
เื่ที่เกิดใน่เวลานั้น เท่านี้เขาก็พอจะหาคำตอบได้แล้ว
อวี้ฉู่จาววางบันทึกเล่มนั้นลง เขานิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนหันมามองหลินหร่าน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยถามสิ่งใดออกไปดี
หลินหร่านมองอวี้ฉู่จาวด้วยสีหน้าหม่นหมอง แล้วเป็ฝ่ายเอ่ยถามก่อน “ท่านอ๋อง สิ่งนี้ช่วยเหลืออะไรท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวพยักหน้ารับ “ช่วยได้แน่นอน”
“เป็เช่นนั้นก็ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“อวิ๋นซี ตำราเล่มนี้พวกเราอ่านไปก็ไม่เข้าใจหรอก ต้องส่งให้ซูชิงเฟิง ให้เขาได้ศึกษาดู เ้ายินยอมหรือไม่ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็สิ่งที่มารดาของเ้าทิ้งไว้ให้” อวี้ฉู่จาวให้เกียรติหลินหร่านมาเสมอ เพราะอย่างไรเสีย สิ่งเหล่านี้ก็เป็ข้าวของที่มารดาของหลินหร่านทิ้งไว้ให้ ซึ่งวันนี้ก็ได้มอบให้หลินหร่าน แน่นอนว่าต้องให้หลินหร่านเป็ผู้ตัดสินใจ
“แน่นอน ข้ายอมแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ หากท่านอ๋องว่าดีก็ทำเช่นนั้นเลย ข้าฟังท่านอ๋อง ของของข้าก็คือของของท่านอ๋องเช่นกัน” หลินหร่านบอกอย่างกระตือรือร้น
หากเป็สิ่งที่อวี้ฉู่จาวคิด หลินหร่านจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรกัน เขาคงรู้สึกแย่ไม่น้อยหากมิได้ช่วยเหลืออะไรท่านอ๋อง
อวี้ฉู่จาวระบายยิ้มก่อนกล่าว “นั่นสินะ แม้แต่เ้าก็เป็ของข้า เรายังจะมาแบ่งอะไรกันอีก”
หลินหร่านมองอวี้ฉู่จาวที่ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ทำให้ใจสั่นเช่นนั้นจึงได้แต่ก้มหน้าด้วยท่าทีขวยเขิน หลบซ่อนใบหูที่แดงระเรื่อ
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวจึงได้พาหลินหร่านออกไปจากตำหนักเพื่อไปพบกับสหายผู้หนึ่ง
เมื่อหลินหร่านรู้ว่าอวี้ฉู่จาวจะพาตนเองไปพบสหายก็รู้สึกดีใจ เขารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกจากตำหนักมาอย่างมีความสุข
ครั้งนี้หลินหร่านไม่ได้โดยสารรถม้า แต่ขี่ม้าตัวเดียวกันไปกับอวี้ฉู่จาว
ทั้งคู่ข้ามผ่านถนนจูเชวี่ย ผ่านกลางเมืองที่วุ่นวายเพื่อไปยังชานเมือง
หั่วเนี่ยเป็ม้าที่สามารถวิ่งระยะทางไกลได้ มันแบกทั้งคู่เอาไว้บนหลังโดยไม่มีปัญหาใด วิ่งเหยาะๆ ไปเรื่อยๆ
นอกเหนือจากครั้งที่อวี้ฉู่จาวพาหลินหร่านมาจากกระท่อมฟางคราวนั้น นี่ถือเป็ครั้งแรกที่หลินหร่านได้ขี่ม้าออกไปทางชานเมืองกับท่านอ๋อง ระหว่างทางเขารู้สึกผ่อนคลาย ราวกับตนเองกำลังมาเที่ยวเล่น
หลินหร่านนั่งอยู่ด้านหน้าอวี้ฉฉู่จาว จับมือของอีกคนที่โอบรอบเอวตนเอง
เวลานี้เข้าสู่เดือนห้าแล้ว สภาพอากาศไม่ร้อนจนแผดเผา อากาศ่เช้าอบอุ่นกำลังดี
ทั้งคู่ค่อยๆ ขี่ม้าไปทางชานเมืองของเมืองหลวง การเดินทางราบรื่นและสบายยิ่งนัก
“เรากำลังจะไปไหนหรือท่านอ๋อง” หลินหร่านมองดูหั่วเนี่ยที่กำลังพาพวกเขาเคลื่อนตัวออกไปไกลเรื่อยๆ ค่อยเอ่ยถามขึ้นมา
“อยู่ข้างหน้าไม่ไกล ไปส่งคนน่ะ”
“ส่งคน?” หลินหร่านพลันเกิดความสงสัย อยากรู้ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร
่เวลาต่อมา หั่วเนี่ยพาพวกเขาลงไปทางลาดก่อนจะพบกับร่างของคนสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“อยู่ข้างหน้านั่นไง เ้าเห็นหรือยัง?” อวี้ฉู่จาวเร่งหัวเนี่ยให้ตรงไปยังเบื้องหน้า
เมื่อเข้าไปใกล้กับทั้งสามคน นอกจากต้าซือหม่าหรงจิ่ง อีกสองคนที่อยู่ตรงนั้นหลินหร่านไม่รู้จัก แต่คนผู้หนึ่งเป็เด็กหนุ่มที่มีอายุใกล้เคียงกับเขา มีใบหน้างดงามดึงดูดผู้คน
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
หรงจิ่งเพียงประสานมือแล้วก้มศีรษะถวายความเคารพ แต่อีกสองคนคุกเข่าพลางก้มลงกับพื้น ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ถวายบังคมพระชายา”
หลังจากนั้น พวกเขาถึงเอ่ยทำถวายความเคารพหลินหร่าน
หลินหร่านไม่ได้ตอบอะไร ค่อนข้างรู้สึกงุนงงทีเดียว เขาพิงไปที่ไหล่ของอวี้ฉู่จาวก่อนจะลอบมองท่านอ๋องของตน
อวี้ฉู่จาววางมือเอาไว้ที่หน้าท้องของหลินหร่านแล้วดึงตัวอีกคนมาอยู่ข้างกายตนเอง
“ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงอันสง่างามและน่าดึงดูดของอวี้ฉู่จาวดังกึกก้องอยู่ในหูของหลินหร่าน
ฉินข่ายกับไป๋มู่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นจึงลุกขึ้น
ฉินข่ายรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะประคองไป๋มู่ที่อยู่ข้างกาย
อวี้ฉู่จาวมองทั้งคู่ แม้จะไม่ได้แสดงออกบนใบหน้า แต่ภายในใจเขาก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
วันนี้บ้านของอัครเสนาบดีฉินฉือแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
ตระกูลฉินนั้นมีจิตใจโหดร้าย สิ่งที่กระทำกับฉินข่ายทั้งหมด ใน่เวลาที่เกิดเื่นี้ไม่มีใครมาเยี่ยมเยือน นอกจากนั้นยังไม่มีใครเอ่ยถึง เพราะเกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง
ซึ่งนั่นกลับแสดงให้เห็นว่าตระกูลฉินได้ทอดทิ้งคุณชายรองไปแล้ว
หรงจิ่งมองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกพึงพอใจ เขาทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นไป๋มู่คอยวิ่งเข้าวิ่งออกในคุก จึงได้ครุ่นคิดและหาหนทางพาตัวฉินข่ายออกมาได้สำเร็จ โดยเขาเลือกวันนี้เพื่อที่จะส่งตัวทั้งสองคนไปที่ตงเยวี่ย
เขาคอยให้คนช่วยดูแลการค้าของตงเยวี่ยไว้ให้ตลอด แต่ด้วยระบบที่ค่อนข้างใหญ่ หากเป็คนที่ไม่มีประสบการณ์ก็จะจัดการยากเสียหน่อย ดังนั้น หรงจิ่งจึงค่อนข้างเป็กังวลเื่ที่ต้องปล่อยตัวฉินข่ายออกมา
ส่วนเื่ในคุก รอให้เขาไปไกลก่อนค่อยแจ้งข่าวการตายอย่างกะทันหัน เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
--------------------------------------------------
