“อี๋เหนียงสอง ข้าคืออิ่งชุนจริงๆ นะเ้าคะ!”
หรานอิ่งชุนมีน้ำเสียงร้อนรน แววตาของนางจริงใจ มือที่เพิ่งถูกปล่อยยังค้างอยู่ในท่าเดิม
นางขมวดคิ้วและมองสลับไปมาระหว่างอี๋เหนียงสองกับคนรับใช้อย่างทำอันใดไม่ถูก
“เ้าแน่ใจหรือว่าคนที่อยู่ในรถม้าคือคุณหนูหรานจริงๆ ?” อี๋เหนียงสองหันศีรษะไปมองคนรับใช้แล้วถามอย่างจริงจัง
“อี๋เหนียงสอง จริงแท้แน่นอนขอรับ ข้าชะโงกหน้าไปมองนางด้วย เป็คุณหนูหรานจริงๆ ขอรับ” คนรับใช้พยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ข้า... อี๋เหนียงสอง ต้องเชื่อข้านะเ้าคะ” หรานอิ่งชุนกระทืบเท้า
นางอยากจะจับมืออี๋เหนียงสอง แต่ก็ถูกหลบ
“จะใช่หรือไม่ ออกไปดูก็รู้แล้ว” เวินซีมองดูคนตระกูลหรานที่วุ่นวายพลันเอ่ยอย่างใจเย็น “ท่านอยู่กับคุณหนูหรานมาหลายปีเช่นนี้ คงมิได้มองไม่ออกหรอกนะเ้าคะ?”
“ออกไปดูก่อนเถิด” อี๋เหนียงสองเหลือบมองเวินซี พลันก้าวเท้าออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณหนูเวิน ข้าคือหรานอิ่งชุนจริงๆ นะเ้าคะ...” หรานอิ่งชุนมองนางด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
“จะใช่นางหรือไม่ ใช่ว่าข้าจะตัดสินใจได้นี่” เวินซีพูดแล้วพาจ้าวต้านเดินตามอี๋เหนียงสองไป
“คุณ...คุณหนูหราน ข้า...ข้าไปก่อนขอรับ” คนรับใช้พูดด้วยความกลัวและวิ่งออกไปราวกับหนีเอาชีวิตรอด
คนรับใช้และสตรีรับใช้คนอื่นๆ ก็เดินอ้อมหรานอิ่งชุน ต่างก็ก้มหน้าก้มตาพากันเดินออกไป
หรานอิ่งชุนมองแผ่นหลังของพวกเขาก็เม้มริมฝีปากแน่น พลันรีบก้าวเท้าตามไปด้วย
ที่ประตูจวนหราน มีรถม้าที่หรูหราโดดเด่นจอดอยู่
เมื่อเห็นกลุ่มคนพากันออกมาจากจวน คนในรถม้าก็ลดม่านลง ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนโยน แล้วเดินลงจากรถช้าๆ
“อี๋เหนียงสอง” สตรีผู้นั้นโค้งคำนับ เสียงของนางเหมือนกับหรานอิ่งชุนทุกประการ
อี๋เหนียงสองมองดูนางแล้วหยุดที่ประตูอย่างระมัดระวัง
“ลุกขึ้นเถิด เงยหน้าขึ้น” นางพยายามสงบนิ่งไว้แล้วเอ่ยออกมา
“เ้าค่ะ” สตรีผู้นั้นตอบรับเสียงเบา พลันเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ขณะนั้นมีคนรับใช้คนหนึ่งระงับความกลัวไว้ได้ อี๋เหนียงสองส่งสายตาให้เขาจึงถือตะเกียงแล้วส่องไปที่ใบหน้าของนาง
ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าของสตรีผู้นั้นชัดเจนมากขึ้น นางเหมือนกับหรานอิ่งชุนที่ยืนอยู่หน้าประตูทุกประการ ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง
“ว่ามาสิว่าในวันที่เ้าหายตัวไปเกิดเื่อันใดขึ้นบ้าง?” อี๋เหนียงสองถอยห่างจากหรานอิ่งชุนหนึ่งก้าว พลางมองสตรีที่ประตูแล้วเอ่ยถาม
“อี๋เหนียงสองเ้าคะ ข้าได้เดินทางเข้าไปในป่า ถูกพวกโจรป่าปล้น แต่โชคดีที่คนรับใช้และสตรีรับใช้พากันช่วยข้าไว้ได้ จึงมีชีวิตรอดกลับมา แต่ข้ากลับหลงทาง พลัดหลงกับพวกเขาในป่า”
“ข้าได้รับการช่วยเหลือจากพวกพ่อค้า พวกเขาเห็นว่าข้าน่าสงสารจึงพาข้ากลับมาส่งเ้าค่ะ”
สตรีผู้นั้นตอบอย่างเปิดเผย ไม่ปิดบังใดๆ
“ไร้สาระ เ้าเป็ผู้ใดกันแน่?” เมื่อเห็นว่าอี๋เหนียงสองดูจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หรานอิ่งชุนก็ทนไม่ไหว นางเบียดตัวออกมาจากฝูงชน เผชิญหน้ากับสตรีผู้นั้นแล้วเอ่ยปาก
สตรีผู้นั้นมองนางด้วยความประหลาดใจ “เ้าเป็ผู้ใด? เหตุใดถึงมีหน้าตาเหมือนกับข้า? เหตุใดถึงมาอยู่ในจวนหรานได้?”
“เื่นี้ข้าควรจะถามเ้ามากกว่า เ้ามีเป้าหมายใดถึงได้ปลอมตัวเป็ข้า?”
“เ้าน่ะสิที่มีเจตนาร้าย!”
“เ้า...ข้าจะบอกให้นะ ออกไปเสียก่อนที่จะถูกจับได้!”
“เหตุใดข้าต้องไปด้วย? ข้าคือหรานอิ่งชุน เ้าต่างหากที่ต้องออกไป!”
......
หรานอิ่งชุนทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันจนเืขึ้นหน้า ไม่มีผู้ใดเป็ฝ่ายยอม ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็แยกทั้งสองคนไม่ออก
“พอได้แล้ว จะใช่หรานอิ่งชุนหรือไม่ ให้ข้าถามคำถามสักหน่อยก็รู้ได้แล้ว ผู้ใดก็ได้ นำกระดาษกับพู่กันมาให้พวกนางหน่อย”
อี๋เหนียงสองเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
เมื่อได้ยินคำสั่ง คนรับใช้ทั้งสองก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือน หยิบกระดาษกับพู่กันออกมาด้วยความเคารพ และนำให้หรานอิ่งชุนทั้งสอง
หลังจากที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว อี๋เหนียงสองก็มองดูทั้งสองคน
“ฟังนะ คำถามแรก มารดาผู้ให้กำเนิดหรานอิ่งชุนมีชื่อใด เขียนเสร็จให้ชูกระดาษขึ้น”
พวกนางทั้งสองหยิบพู่กันขึ้นพร้อมกัน ไม่นานนักก็ชูกระดาษขึ้นตามกัน
จวีซิ่วอี้
ทั้งสองตอบเหมือนกัน
คำตอบนั้นถูกต้อง เมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของเื่นี้ สีหน้าของอี๋เหนียงสองก็มืดมน นางกระแอมเล็กน้อย โบกมือขึ้นเป็สัญญาณให้ผ่านข้อนี้ไป พลันเอ่ยถึงคำถามที่สอง
“หรานอิ่งชุนชอบสิ่งใด เกลียดสิ่งใดมากที่สุด”
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป คำตอบของทั้งสองก็ยังคงเหมือนกัน
“อี๋เหนียงสองเ้าคะ ถามเื่ที่ยากหน่อยเ้าค่ะ เื่พวกนี้หากเป็คนที่สนิทกับหรานอิ่งชุนย่อมรู้ได้”
เวินซีเอ่ยเตือนด้วยสายตาเ็า
อี๋เหนียงสองเหลือบมองนางพลันพยักหน้า
“คำถามที่สาม บนร่างของหรานอิ่งชุนมีปานรูปใด?”
“มีปานรูปดอกเหมยที่เอว”
ไม่ยากสักนิด ทั้งสองเขียนออกมาได้อย่างง่ายดาย
“คำถามต่อไป ในตอนที่ตระกูลซูมาสู่ขอ อิ่งชุนปฏิเสธไปว่าเช่นไร?”
“อิ่งชุนอยากแต่งงานกับคนที่รัก”
แม้ว่าทั้งสองจะใช้เวลากว่าหนึ่งก้านธูปถึงจะตอบได้ แต่ก็ยังตอบถูก
อี๋เหนียงสองมองทั้งสองคนด้วยสีหน้ารำคาญ นางไม่รู้ว่าจะถามเื่ใดอีก
ทุกคนพากันยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูจวนหราน
ในเวลานั้นประชาชนที่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวต่างก็พากันมามุงดูที่นี่
“อี๋เหนียงสอง ท่านจำสิ่งนี้ได้หรือไม่เ้าคะ ในตอนที่ข้าจี๋จี ท่านเป็คนปักให้ข้า ข้าพกมันติดตัวตลอดเลยเ้าค่ะ”
สตรีผู้นั้นพูดเบาๆ พลันหยิบผ้าพันคอไหมที่ปักลายดอกกุหลาบออกมาแล้วกางออกบนฝ่ามือ
“นี่มัน...ข้าเป็คนปักเอง ย่อมปลอมขึ้นมามิได้ เ้าคือหรานอิ่งชุนจริงๆ หรือ?” อี๋เหนียงสองมองผ้าพันคอ ดวงตาพลันเป็ประกาย ใจของนางเอนเอียงไปทางสตรีผู้นั้นแล้ว
“เหตุใดเ้าถึงต้องขโมยผ้าไหมไปจากข้า!” หรานอิ่งชุนถามเสียงแข็ง พลางลูบตัวเอง
“ขโมย? ของติดตัวข้าจะขโมยไปได้เช่นไร? เ้าไม่มีล่ะสิถึงได้หาข้ออ้างมาว่าข้า?” สตรีผู้นั้นหันไปมองนางพลันเอ่ยปากอย่างดูถูก
“อี๋เหนียงสอง ในตอนที่ท่านให้ผ้าผืนนี้กับข้า มีเพียงเราสองคน ยามนั้นท่านบอกข้าเองว่าท่านไม่มีบุตร ท่านเห็นข้าเป็บุตรสาวแท้ๆ ความปรารถนาสูงสุดในชาตินี้ของท่านคือการได้เห็นข้าแต่งงานกับคนดีๆ”
เมื่อเห็นอี๋เหนียงสองเดินไปหาสตรีผู้นั้น หรานอิ่งชุนก็รีบเอ่ยปาก
นางพูดเช่นนั้นจริงๆ อี๋เหนียงสองจึงเกิดความลังเลอีกครั้ง
“เสียงเอะอะอันใด? ดึกดื่นไม่พักผ่อนหรืออย่างไร?”
“จะมามุงอยู่ที่ประตูด้วยเหตุใดกัน? มิใช่ว่าหรานอิ่งชุนกลับมาแล้วหรือ เป็อันใด? ไม่เคยเห็นนางหรือ?”
ทันใดนั้นเสียงดุด่าของสตรีนางหนึ่งก็ดังมาจากด้านใน ขัดจังหวะเื่ที่เกิดขึ้น สายตาของทุกคนพากันมองไปที่ต้นเสียง
สตรีคนหนึ่งเดินเท้าเอวออกมา เบียดให้คนอื่นๆ พากันถอยไปสองข้างทาง ก่อนที่นางจะเดินมาถึงประตูใหญ่
“กลับไปให้หมด นี่ก็ดึกแล้ว พวกเ้าไม่พักผ่อนแต่ข้าต้องพักผ่อน ข้าตั้งครรภ์อยู่นะ!”
สตรีผู้นั้นมองทุกคนด้วยความรังเกียจและเอาแต่ส่งเสียงไล่
เมื่อเห็นทุกคนก้มหน้าลงด้วยความกลัว นางก็ขมวดคิ้ว พลันกวาดตามองไปที่ถนน
เมื่อเห็นหรานอิ่งชุนถึงสองคนก็ตกตะลึง ก่อนจะมองไปที่อี๋เหนียงสองด้วยความโกรธ
“เื่อันใดกัน? ท่านริษยาที่ข้าตั้งครรภ์ได้ จึงจงใจให้หรานอิ่งชุนทำให้ข้ากลัวหรือเ้าคะ?”
“อี๋เหนียงสาม เื่นี้ไม่เกี่ยวกับข้า จู่ๆ พวกนางก็กลับมา บอกว่าตนเองเป็อิ่งชุน ยามนี้ข้ากำลังตรวจสอบ” อี๋เหนียงสองมองดูนางแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ทั้งสองคนคืออิ่งชุนหรือ? หรานอิ่งชุนมิได้สนิทกับท่านหรือเ้าคะ? อันใดกัน? ท่านแยกไม่ออกหรือ?” อี๋เหนียงสามยิ้มเยาะอย่างประชดประชัน
“เ้า...ข้าคร้านจะเถียงกับเ้า” อี๋เหนียงสองสูดจมูกอย่างเ็า พลันสะบัดแขนเสื้อ
ทุกคนในเมืองต่างรู้ดีว่าอี๋เหนียงสามนั้นนิสัยไม่ดี อารมณ์ดุร้าย จึงไม่แปลกใจกับท่าทีของนาง ยามนี้พวกเขาเอาแต่แอบพูดคุยกันเื่หรานอิ่งชุน