สุดท้ายท่านได้รับมีดสั้นที่มีการแกะสลักอักษร “จันทรา” อยู่บนด้านข้าง คมมีดเต็มไปด้วยประกายสีม่วง ท่านเคยทดลองกับไก่ตัวหนึ่งโดยการกรีดขาไก่ให้เป็แผล คาดไม่ถึงว่าไก่ตัวนั้นจะขาดใจตายในทันที
ภายหลังจึงทราบจากคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งว่ามีดสั้นในมือของท่านมีชื่อว่า “จันทราหนาวเหน็บ” มีดเล่มนี้เป็มีดสั้นของท่านสวีฟูเหรินแห่งแคว้นเยียน ภายหลังกลายเป็มีดสั้นที่จิงเคอใช้ลอบสังหารท่านอ๋องแคว้นฉิน หลังจากนั้นก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะตกมาอยู่ในมือของท่าน
เนื่องจากเป็มีดสั้นในตำนาน ดังนั้น ปฐมาจารย์อวี๋ซินจึงหลอมมีดสั้นเล่มนี้ให้กลายเป็มีดแกะสลักเล่มหนึ่ง ในขณะเดียวกันท่านก็้าหลอมพิษร้ายบนมีดให้หมดไปด้วย แต่ทว่าผลสุดท้ายกลับกลายเป็ว่าท่านสามารถหลอมมีดแกะสลักได้สำเร็จ แต่อักษร “จันทรา” และพิษร้ายบนมีดกลับไม่สามารถหลอมทิ้งไป ปฐมาจารย์อวี๋ซินรู้สึกว่ามีดเล่มนี้ไม่เป็สิริมงคล ดังนั้น ท่านจึงฝังมันลงไปในดิน ตั้งใจจะฝังให้อยู่อย่างยาวนาน ท่านหวังว่าผืนแผ่นดินอันหนักแน่นกว้างใหญ่จะสามารถหลอมพิษร้ายบนมีดเล่มนี้ให้หายไปได้ และก็หวังว่าคนรุ่นหลังจะมีวาสนาได้พบมีดเล่มนี้......
เมื่ออ่านชีวประวัติของท่านจบทั้งหมด หลินเยว่ก็ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของตนเองในเวลานี้อย่างไรดี เพราะเื่ราวทั้งหมดดูเหมือนเป็เพียงความฝันเท่านั้น
มีดแกะสลักเล่มหนึ่ง และมีดสั้นเล่มหนึ่งกลับมีชื่อเรียกว่า “จันทราหนาวเหน็บ” เหมือนกันโดยบังเอิญ
มันเป็เพียงความบังเอิญ หรือเป็พรหมลิขิต?
เมื่อหนึ่งพันปีก่อนปฐมาจารย์อวี๋ซินได้ฝังมีดเล่มนี้ลงไปในดินโดยคิดจะมอบมันให้กับคนรุ่นหลังที่มีวาสนากับมีดเล่มนี้ และสุดท้ายกลับตกมาอยู่ในมือของเขา เื่ราวระหว่างนี้ยังมีความลึกลับซับซ้อนอะไรอีกหรือเปล่า?
หลินเยว่ไม่รู้เลยสักนิด เพราะเหตุการณ์นี้มันเหนือความคิดและจินตนาการของเขาทั้งหมดไปมากมายนัก แต่ไม่รู้เป็เพราะเหตุใด เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว หลินเยว่จึงรู้สึกว่าบนบ่าของเขาได้มีภาระอันหนักหน่วงกดทับลงมา มันเป็ความคาดหวังของท่านปฐมาจารย์ที่มีต่อเขาที่ส่งผ่านมาจากเมื่อหนึ่งพันปีก่อน......
แล้วเขาจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่?
หลินเยว่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าหลินเยว่ยังคิดอะไรไม่ออก แต่เขาก็ยื่น “ชีวประวัติอวี๋ซิน” คืนถึงมือของท่านฉางไท่
ขณะที่ท่านฉางไท่รับหนังสือ “ชีวประวัติอวี๋ซิน” กลับมาท่านก็พูดขึ้น “รู้หรือยังว่าทำไมตอนนั้นผมถึงตื่นเต้นมาก เป็เพราะเหตุการณ์มันเหนือความคาดหมายจนเกินไป จนผมสงสัยว่าท่านปฐมาจารย์ตั้งใจส่งคุณมาในตอนนี้ แล้วตอนนั้นที่ผมกลับมาใจเย็นได้เหมือนเดิมไม่ได้เป็เพราะคำพูดของตาแก่เฮ่อหรอกนะ แต่เป็เพราะผมอยากจะดูผลงานของคุณก่อน แล้วมีอีกเื่หนึ่งที่ผมรู้สึกสงสัยมาตลอดก็คือ พิษร้ายบนมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บหายไปไหนเสียแล้ว หรือว่าจะเป็ไปตามคำกล่าวของท่านปฐมาจารย์อวี๋ซินในตอนนั้นที่ว่าพิษร้ายจะหลอมละลายไปในผืนแผ่นดินแล้วหรือ?”
เมื่อหลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ เขาจึงคิดถึงคราบดินสกปรกที่เป็สีม่วงอ่อนที่ติดอยู่รอบนอกตอนครั้งแรกที่เห็นมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บเล่มนี้ ในใจของเขาแอบคิดว่า หรือว่านั่นคือพิษร้ายตามตำนานที่เขาเล่าลือกัน?
ดังนั้น หลินเยว่จึงข้ามส่วนที่เกี่ยวกับพลังพิเศษตาทิพย์ของเขาออกไป แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนั้นรวมทั้งสภาพภายนอกของมีดแกะสลักเล่มนี้อีกด้วย
เมื่อฟังคำพูดของหลินเยว่จบแล้ว ท่านฉางไท่จึงได้แต่ทอดถอนใจ บางทีมันอาจจะเป็เจตนารมณ์ของ์ก็เป็ได้ มีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บเมื่อหนึ่งพันปีก่อนถูกผู้สืบทอดของท่านอวี๋ซินพบเข้า และเวลานี้ พิษร้ายบนมีดก็สลายหายไปจนกลายเป็มีดแกะสลักที่มีความยอดเยี่ยมไม่เป็รองใครอย่างแน่นอน
ท่านเฮ่อฉางเหอที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงแซวขึ้นมา “หลินเยว่ ถึงตอนนี้คุณจะไม่ยอมรับเขาเป็อาจารย์ แต่เขาก็คงคิดจะรับคุณเป็ลูกศิษย์อย่างไม่สนใจความคิดของคุณแล้วล่ะ ฮ่าๆ......”
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มรับเท่านั้น แต่ท่านฉางไท่กลับหน้าแดงทันที เพราะอีกฝ่ายพูดโดนใจเขาเหลือเกิน
หลังจากเก็บหนังสือ “ชีวประวัติอวี๋ซิน” วางกลับลงบนชั้นอย่างระมัดระวังแล้ว ท่านฉางไท่ก็หยิบหนังสือโบราณอีกเล่มที่อยู่ตรงมุมชั้นลงมา ถึงแม้ว่าความเก่าแก่โบราณจะสู้หนังสือ “ชีวประวัติอวี๋ซิน” ไม่ได้เลย เพราะอย่างน้อยหนังสือเล่มนี้ก็ยังคงมีความสมบูรณ์ และก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดูบอบบางจนแทบจะฉีกขาดได้ง่ายตลอดเวลาเหมือนหนังสือเล่มนั้น
“หนังสือเล่มนี้เป็หนังสือที่ต่อไปคุณต้องใช้ศึกษา เดิมทีผมไม่มีทางมอบเล่มนี้ให้กับคุณเร็วขนาดนี้ เพราะผมต้องดูพฤติกรรมของคุณก่อน แต่ว่าตาแก่เฮ่อบอกว่าคุณเป็คนดีทีเดียว คุณสามารถมอบเงินทั้งหมดของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคุณย่าของสาวน้อยคนหนึ่ง การเป็คนดีเช่นนี้ ถึงแม้ว่ามันจะดีเกินไป แต่ว่าก็เป็สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้จริงๆ พอเห็นว่าวันนี้คุณทำการทดสอบได้ดี ดังนั้น ผมก็เลยตัดสินใจมอบให้คุณเลย”
หลินเยว่คาดไม่ถึงว่าการที่เขาช่วยเหลือสาวน้อยิอีหรานจะส่งผลดีต่อเขามากขนาดนี้ การทำความดีย่อมได้รับผลดีจริงๆ! เขารับหนังสือเล่มนี้ด้วยท่าทีจริงจัง แต่มือที่สั่นไหวของเขาก็เป็ตัวบอกว่าเขากำลังตื่นเต้นมากเช่นกัน
หน้าปกหนังสือไม่มีอักษรใดๆ ทั้งสิ้น เป็เพียงปกสีน้ำเงินตามแบบฉบับหนังสือโบราณ แต่ทว่ามันกลับมีความใหม่ และถูกเก็บรักษาไว้เป็อย่างดี ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีคนได้อ่านมัน
“หนังสือเล่มนี้สืบทอดมาจากท่านปฐมาจารย์อวี๋ซิน เป็เคล็ดวิชาการแกะสลักจากประสบการณ์โดยตรงของท่าน แต่มีเทคนิคการแกะสลักอยู่เทคนิคหนึ่งที่ผู้ศึกษาต้องสามารถผ่าถูกธูป 3 ดอกขึ้นไปจากการลงมีด 10 ครั้ง หากผ่าถูกเพียง 3 ครั้งก็ถือว่าไม่ผ่านเงื่อนไขนี้ ซึ่งนอกจากท่านปฐมาจารย์อวี๋ซินแล้ว ไม่ว่าผู้สืบทอดทั้งหลายจะพยายามมากสักเพียงใดก็ไม่สามารถทำได้ถึงมีดที่ 4 ผู้สืบทอดในแต่ละยุคสมัยจะต้องคัดลอกหนังสือเล่มนี้ 1 จบ และเก็บรักษาไว้ 100 ปี เล่มที่อยู่ในมือของคุณเป็เล่มที่ผมคัดลอกเอง ตอนนี้ไม่สามารถหาเล่มต้นฉบับได้อีกแล้ว อีกทั้งเล่มที่อยู่ในมือคุณมีรายละเอียดเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้สูญหายไปแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านฉางไท่จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา สีหน้าท่าทางของท่านเต็มไปด้วยความเสียดาย เพราะเคล็ดวิชาที่มีความมหัศจรรย์เช่นนี้กลับไม่สามารถสืบทอดต่อไปได้ แล้วท่านก็พูดต่ออีกครั้ง
“ตอนเด็กๆ ผมก็เคยฝึกฝนผ่าธูปเหมือนกัน ฝึกฝนเป็เวลา 5 ปีก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้น ผมก็เลยล้มเลิกและปล่อยวางไป แล้วเปลี่ยนเป็ศึกษาเทคนิคการแกะสลักทั่วไปจากอาจารย์แทน ความจริงแล้วเทคนิคการแกะสลักที่แท้จริงคือการทำเื่ซับซ้อนให้เป็เื่ง่าย ใช้เพียงมีดเดียวก็พอแล้ว แต่ปัจจุบันนี้กลับเดินมาผิดทาง อุปกรณ์เครื่องมือมีเยอะขึ้นทุกวัน อาจจะดูเหมือนว่าผลงานการแกะสลักจะมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น แต่ความจริงแล้วเทคนิคฝีมือที่แท้จริงกลับแย่ลงทุกที แล้วยังขาดความมีชีวิตชีวาและจิติญญา ผมหวังว่าคุณจะสามารถนำเทคนิคฝีมือการแกะสลักที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้กลับมาปรากฏสู่สายตาของทุกๆ คนอีกครั้ง และสามารถสืบทอดต่อไป”
เมื่อพูดจบ ดวงตาคู่นั้นของท่านก็จับจ้องไปที่ดวงตาของหลินเยว่อย่างไม่คลาดสายตา ท่านไม่อยากพลาดในทุกรายละเอียด
หลินเยว่มองสบตากับท่านฉางไท่ตรงๆ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด
เื่ที่จะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของหลินเยว่เลย เขาคิดเพียงว่า ในเมื่อส่งต่อมาถึงมือของเขาแล้ว เขาก็ต้องพยายามสุดชีวิตเพื่อทำให้สำเร็จเท่านั้นเอง!
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของหลินเยว่ ท่านฉางไท่จึงยิ้มออกมาอย่างวางใจ
การมีลูกศิษย์สักคนที่ยินดีจะสืบทอดพัฒนาศาสตร์ของสำนักเขา อีกทั้งลูกศิษย์คนนี้ยังมีความเป็ไปได้สูงมากที่จะทำได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ย่อมทำให้ท่านฉางไท่นอนตายตาหลับ
ท่านเฮ่อฉางเหอที่ยืนข้างๆ เริ่มทนไม่ไหวจึงเริ่มโวยวาย “อย่าทำเหมือนยุทธภพในสมัยก่อนนักเลย นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ พอเถอะ ตอนนี้ควรจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นได้แล้วล่ะ”
“ยังขาดไปอีกเื่หนึ่ง” ท่านฉางไท่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้น
“เื่อะไรอีกล่ะ? ทำพิธีคารวะอาจารย์อย่างนั้นหรือ?” เมื่อพูดถึงการคารวะอาจารย์ ท่านเฮ่อฉางเหอก็เริ่มเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
ท่านฉางไท่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “ต้องให้หลินเยว่คัดลอก “คัมภีร์การแกะสลัก” ในมือของเขา 1 จบ นี่เป็กฎของสำนักพวกเรา ผมเก็บของผมไว้หนึ่งเล่ม เขาเก็บของเขาไว้หนึ่งเล่ม หากมีสักวันที่เขาสามารถฝึกฝนได้สำเร็จแล้ว ก็สามารถทำลายหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ทิ้งไป หลังจากนั้นก็ให้เขาเขียนใหม่ขึ้นมาเอง”
“ยุ่งยากลำบากจริงๆ!” ท่านเฮ่อฉางเหออดบ่นออกมาไม่ได้
ในที่สุดหลินเยว่ก็ได้รู้สักทีว่าหนังสือที่อยู่ในมือของเขาชื่ออะไร ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาตลอด่บ่ายค่อยๆ คัดลอกหนังสือ “คัมภีร์การแกะสลัก” เล่มนี้จนครบ 1 จบ หลังจากนั้นเขาจึงตรวจเช็กความถูกต้อง 3 รอบ ท่านฉางไท่ก็ตรวจเช็กอีก 2 รอบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีจุดไหนผิดพลาดจึงได้ถือว่าภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
ระหว่างทางกลับบ้าน ในที่สุดหลินเยว่ก็ไม่สามารถมีจิตใจเยือกเย็นสงบนิ่งได้อีกต่อไป เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจจนถึงกับสั่นไปทั้งตัว
ในที่สุดความฝันของเขาก็สำเร็จขึ้นมาจริงๆ!
หลังจากเรียนจบ เขาต้องอดทนรอมาอย่างยากลำบากถึง 2 ปี สิ่งที่เขารอก็คือวันนี้!
เป็เวลา 2 ปีแล้วนะ!
หลินเยว่ได้แต่ถอนใจ เขาเคยคิดอยากจะยอมแพ้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาคิดจะยอมแพ้ เขาก็มักจะพูดโน้มน้าวตัวเองให้พยายามเอาชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆ และก็เป็อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และเขาก็ผ่านมันมาด้วยความรู้สึกแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า บนร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยาแเป็ร้อยเป็พันแห่ง และขณะที่เขากำลังตัดสินใจยอมแพ้ในครั้งสุดท้ายนี้ ์ก็ได้ประทานความหวังครั้งใหญ่ให้เขา
และในตอนนี้ เขาก็สามารถทำความฝันของตนเองให้เป็จริง!!!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้