ยามดวงเดือนเต็มวงลับลาขอบฟ้า
การผจญภัยของชายทั้งสองและเหล่าเด็กหนุ่มก็จบลง
ในใจทั้งตื่นเต้นและฮึกเหิม
อาสวินเดิมทีวางแผนว่าจะใช้เวลาสักหนึ่งเดือนก็น่าจะเข้าใจดินเหล่านี้ ด้วยเพราะเขานั้นทั้งมีระเบียบและมีเป้าหมาย
ไม่ว่าทำอะไรจึงประสบผลสำเร็จ ทั้งยังมีระเบียบ
ทว่าเฉินโย่วกลับใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถทำความเข้าใจดินเหล่านี้ที่เขาวางแผนว่าจะใช้เวลานับเดือนในการศึกษา
ร่ำลือกันว่าดินแคว้นจิงสามารถหลอมอาวุธพิเศษขึ้นได้เพราะมีสาเหตุสำคัญคือความร้อน
เฉินโย่วชอบเล่นไฟเป็พิเศษ ความร้อนของไฟนั้นทำให้คนอื่นไม่อาจััมันได้ ทว่าสำหรับนางแล้วนับว่าการััไฟเป็เื่ง่ายดายนัก
ดังนั้นการไขปัญหาเื่ความร้อนของไฟจึงกระจ่างขึ้นมา
เพียงแค่ใช้ดินแบบที่เฉินโย่วบอกว่าสามารถจุดไฟได้ร้อนที่สุดเป็พอ
แต่ก็เอาเถิด กระทั่งเด็กหนุ่มที่ปราดเปรื่องที่สุดเช่นอาสวินยังกลายมาเป็คนเขลาได้
ทว่าอาสวินนั้นมีปัญญาเป็เลิศ รู้วิธีพลิกแพลงแก้ไข ในเมื่อมีวิธีการง่ายๆ เขาก็เลือกทำตามวิธีการง่ายๆ ตามเฉินโย่ว
ส่วนขากลับนั้นอาลู่ยังแบกน้องสาวดังเดิม
เด็กหญิงที่ในคราแรกยังเริงร่าด้วยความตื่นเต้นนั้น เมื่อถูกแบกขึ้นหลังพี่ชายไม่นานก็ผล็อยหลบไป
บัดนี้นับว่าดึกมากแล้ว
เมื่อเดินออกมาจากถ้ำ ทั้งค่ายจึงเหลือเพียงความเงียบสงัด และแสงดาวระยิบระยับท่ามกลางความมืดที่โอบอุ้มูเาลูกนี้ไว้
กระทั่งเหล่าแมลงน้อยใหญ่ก็พากันหยุดส่งเสียง
มีเพียงสายลมเอื่อยเฉื่อยที่พัดมา พัดพาทิวหญ้าอยู่ไหวๆ
นายท่านสามแม้ภายนอกจะดูนิ่งขรึม ทว่าความจริงแล้วในใจคงกำลังลิงโลด พลันรู้สึกรำคาญปอยผมที่เคยปล่อยให้ร่วงลงมาปิดบังคิ้วที่หายไปกว่าครึ่งของตนจนต้องรวบมันขึ้นเสีย เผยให้เห็นใบหน้าคมคายของบุรุษ
หลังจากเดินออกจากถ้ำแล้วก็พลันหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวขึ้น “เื่นี้ไม่อาจแพร่งพรายได้ จำต้องช่วยกันทบทวนให้ดีก่อน”
อาลู่มองแววตาของนายท่านสามแล้วก็หวนคิดถึงแววตาของเขายามผลักนายก้างปลาลงสระกระดูก มันช่างดูคล้ายคลึงกันนัก
เขาพยักหน้าตอบ
แม้อาสวินจะฉลาดเฉลียว เสี่ยวอู่จะเป็จอมพลัง แต่ถึงอย่างไรผู้ตัดสินใจต่อเื่ต่างๆ ก็ยังเป็อาลู่
เด็กหนุ่มทั้งสองเมื่อเห็นอาลู่พยักหน้า ก็พยักหน้าตามอย่างว่าง่าย
ส่วนราชครูเมื่อเห็นนายท่านสามกวาดสายตามามองตน ก็ยกสองมือขึ้นคารวะเป็สัญญาณว่าตกลง
คนที่ชั่วช้าที่สุดนั้นย่อมเป็คนที่มีความรู้ เขาในฐานะปัญญาชนคนหนึ่งย่อมกระจ่างแจ้งในเื่นี้
ทั้งค่ายบนูเาแห่งนี้ไม่ว่าคนสามานย์ขนาดไหนก็ล้วนมี ทว่าภายใต้การดูและของชายคิ้วบากผู้นี้ ผู้คนบนเขาลูกนี้กลับอยู่กันอย่างสงบสุข และสมัครสมาน
“รอให้น้องสาวตื่นก่อน แล้วข้าจะกำชับนางอีกที”
จากนั้นทุกคนจึงพากันแยกย้ายกลับเรือนของตน
นายท่านสามและราชครูนั้นเดินกลับไปทางเดียวกัน ส่วนเหล่าเด็กหนุ่มก็พากันเดินกลับกระท่อมกลางทุ่งหญ้าของพวกเขา
ราชครูรู้สึกกังวลเล็กน้อยตลอดเส้นทาง
ว่ากันตามจริงแล้วแม้เขาจะมีตำแหน่งสูงถึงราชครู ทว่าเขานั้นถูกส่งเข้าวังั้แ่ยังไม่ประสีประสา ทว่านอกจากเข้าเฝ้าฝ่าาแล้วก็ไม่จำเป็ต้องปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ้าสิ่งใดก็เพียงออกคำสั่งเป็พอ
แต่บัดนี้เขาได้ตกกระไดพลอยโจนมาอยู่ในรังโจรเสียแล้ว บัดนี้ชายที่เดินเคียงกายนั้นคือหัวหน้าโจรคนหนึ่ง ซ้ำหัวหน้าโจรคนนี้ยังเอาแต่เรียกเขาว่าท่านอาจารย์
จากมุมมองของราชครูแล้วเขารู้สึกได้ว่า ชายที่เดินอยู่ข้างกายตอนนั้นย่อมจะต้องเป็ผู้มากความรู้คนหนึ่ง เป็ดั่งข้าราชการในราชสำนักก็ไม่ปาน ด้วยอากัปกิริยานั้นช่างดูคล้ายคลึงคนเ่าั้เหลือเกิน
คนประเภทนี้เป็คนที่ในยามที่เขายังเป็ราชครูไม่กล้าผิดใจที่สุด
ถือคติว่าอย่าผิดใจคนพาลและขุนนาง
ต่อหน้าทำหน้าซื่อใจเหี้ยม ลับหลังยิ่งหน้าซื่อใจเหี้ยม ทั้งยังน่ารังเกียจ
“ท่านอาจารย์ ท่านมีนางในดวงใจหรือไม่”
น้ำเสียงมีแววเคารพถามขึ้น ทำเอาราชครูพลันใ
ในสมองเขากำลังคิดหัวข้อในการยกขึ้นมาสนทนาอยู่มากมาย ทว่าไม่คาดคิดว่าจะกลายมาเป็หัวข้อนี้ไปได้
ใต้ดวงเดือนที่ลอยเด่น มีชายผู้เจนโลกถามเื่นางในดวงใจขึ้นมาเช่นนี้ ชายผู้ผ่านชีวิตมาเสียครึ่งค่อนชีวิตก็พลันอ้ำอึ้งมิรู้จะกล่าวอันใด
ราชครูนั้นแม้จะรูปงามโดดเด่น ทว่าก็ไม่เคยมีสตรีนางใดมาเคียงคู่
ทว่าเขามิอาจกล่าวว่าไม่มีได้ ชายชราปกติคนใดบ้างเล่าจะไม่เคยมีสตรีมาเคียงกาย โดยเฉพาะเหล่าบัณฑิต มิต้องกล่าวถึงเื่สตรีในใจ มีสตรีไว้ประดับเรือนสักสองสามคนก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
“แค่กๆ ตาแก่เช่นข้าครั้งยังอยู่ในวัยคะนองก็เคยมีกับเขานางหนึ่ง” ราชครูหลังจากครุ่นคิดอยู่นานก็นึกขึ้นได้
นายท่านสามที่คืนนี้ออกจะตื่นเต้นอยู่สักหน่อย ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง การได้เผชิญหน้ากับผู้ทรงปัญญาที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบเยือกเย็นเช่นนี้จึงทำให้ชายหนุ่มอยากกล่าวปัญหาที่ตนเก็บซ่อนไว้ในใจออกมา
“มีนางในดวงใจนั้นรู้สึกเช่นไรหรือ”
“เ้าก็ลองกล่าวมาดูว่าเ้ารู้สึกเช่นไร” ราชครูกล่าวตอบอย่างคลุมเครือ
“เอ่อ ข้ารู้สึกว่าชอบมาก ชอบนางเหลือเกิน ก่อนจะไปเจอนางก็ต้องเตรียมตัวอยู่นานสองนาน มีคำพูดที่อยากจะกล่าวกับนางมากมาย ครั้นเมื่อได้อยู่ต่อหน้านางเข้าจริงๆ กลับกล่าวอันใดไม่ออกสักคำ รอจนจากมา ก็รู้สึกขัดเคืองตนเองนัก หรือบางคราสติก็แทบจะหลุดลอยเพราะรอยยิ้มของนาง บางคราได้ยินนางกล่าวอันใดออกมาสักประโยคใจก็พลันเต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอก จวบจนยามสูญเสียนางไปก็ยังไม่รู้ว่าตนนั้นได้สูญเสียอันใดไป เพียงรู้สึกว่าดวงใจตนนั้นชราเสียแล้ว”
ราชครูได้ยินความในใจที่เขาถ่ายทอดออกมา ในสายธารแห่งความทรงจำของเขาก็พลันปรากฏภาพคนคนหนึ่ง ภาพฮองเฮาแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ อยู่ใต้ต้นอู๋ถงพลันโหมซัดเข้ามา
จากภาพที่แสนเลือนรางก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
ใบหน้าอิ่มเอิบมีเค้าลางของความสง่างาม คิ้วที่ไม่เรียวยาวตามประเพณีนิยม คิ้วดกดำนั้นดูราวกับคิ้วของบุรุษก็ไม่ปาน ดวงเนตรคู่เรียวตรงนั้นเมื่ออยู่กับคิ้วคู่เด่นนั้นจึงทำให้ดูเรียวเล็กไปเสียหน่อย
ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับดำลุ่มลึกนัก
ผิวก็ขาวเนียนละเอียด
บนใบหน้านั้นริมฝีปากของนางนับว่างดงามที่สุด
ริมฝีปากเล็กอวบอิ่มดุจผลอิงเถา
ด้วยไฝเม็ดน้อยบนใบหน้านั้น ทำให้ยามนางเผยอยิ้มแล้วดูอ่อนโยนนัก
ตอนเขาถูกส่งตัวเข้าวัง นางยังเป็เพียงเด็กหญิงตัวน้อย เขาเองก็ยังเป็เพียงเด็กหนุ่มเช่นกัน
ด้วยเพราะนางนั้นได้ใบหน้ามาจากอาจารย์ของเขา ว่ากันว่าใบหน้าของนางนั้นสูงศักดิ์เกินประมาณ ใบหน้านี้สามารถจะเป็ฮองเฮาได้
ในตอนนั้นเขานึกสงสัยนัก จึงได้ตั้งใจมองรูปลักษณ์นางอย่างละเอียด
ดังนั้นทั้งคิ้ว ริมฝีปาก จมูก และไฝเม็ดเล็กของนางเขาล้วนแต่จำขึ้นใจ
ขอแค่เพียงมีโอกาสก็ต้องแอบตั้งใจมองอยู่เสมอ
กระนั้นบางครั้งก็ทำทีว่ามาถามปัญหากับท่านอาจารย์เพื่อจะได้มามองนางสักครั้ง
ทว่าต่อมานางนั้นก็ถูกส่งตัวเข้าวังจริงๆ
เขาเองก็กลายมาเป็ราชครู นางเองก็กลายเป็ฮองเฮา
เขาไม่กล้าจะพินิจมองใบหน้านางอีก
ในวันสถาปนาฮองเฮา วันที่นางได้สวมมงกุฎทอง นางช่างงดงามนัก นางคือสตรีผู้คู่ควรกับมงกุฎนั้นโดยแท้จริง
ต่อมาเมื่อนางมีครรภ์ นางก็งดงามเสียยิ่งกว่าเดิม
ทว่าก็ยิ่งขุ่นข้องหมองใจได้ง่ายกว่าเดิมเช่นกัน
รอยยิ้มที่เคยเจิดจ้าดุจแสงตะวันก็ค่อยๆ หม่นแสงลง
ไม่นานนักก็มีคนชี้นำฝ่าา ทั้งยังร่ำลือเื่เทพธิดาขึ้นมา
ใบหน้านางจึงได้มีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
ราชครูอย่างเขาก็ได้แต่ยืนอยู่ด้านหลัง หรือหลบอยู่มุมห้อง
ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ราชครูไม่กล้าคิดต่ออีก ใบหน้าในวัยผ่านชีวิตไม่เพียงฉายแววเ็ป ทั้งยังแฝงแววตระหนก ในหัวพลันมีความคิดว่าตนทำอะไรลงไปผุดขึ้นมา
ร่างกายของชายชราพลันซวนเซ
เขามาถึงแล้ว
ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงกระท่อมที่ตนเองอยู่เสียที
เมื่อครู่ที่นายท่านสามเพิ่งจะเล่าเื่ของตนจบ ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่ได้สนทนาอันใดต่อ ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง แล้วก้าวขาต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น
บนเส้นทางเมื่อครู่นั้น แม้จะเงียบงันแต่บัณฑิตทั้งสองก็ราวกับจะเข้าใจกันโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยอันใด
นายท่านสามตบไหล่ราชครูเบา ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้น “สิ่งที่เสียไปแล้วก็แล้วไปเถิด รักษาสิ่งที่มีตรงหน้าไว้ให้ดีก็พอ”
ราชครูพลันนิ่งงัน
ไม่เคยมีใครตบไหล่เขามาก่อน
กระทั่งท่านอาจารย์ของเขาก็ไม่เคย
ชายชราได้แต่ตั้งใจพินิจชายตรงหน้าตน
“เ้าไม่มีชะตาในเื่ความรัก นางมิอาจเคียงคู่กับเ้าได้ เ้าจงรีบตัดใจเสียเถิด”
ราชครูที่เตรียมตัวจะเข้าเรือน เมื่อหันชายหนุ่มกำลังจะจากไปก็โพล่งเื่นี้ขึ้นมา
ขาที่กำลังก้าวออกไปของชายหนุ่มพลันหยุดชะงัก
จากนั้นจึงเห็นศีรษะเขาสะบัดไปมาเบาๆ
“ข้าไม่เชื่อเื่โชคชะตา ตอนข้ายังเล็ก หมอดูทำนายว่าวันหนึ่งข้านั้นจะได้เป็จอหงวน จะได้เป็ผู้ค้ำจุนคนทั้งใต้หล้า ทว่าบัดนี้ข้ากลับเป็เพียงชาวบ้านธรรมดาในหมู่บ้านห่างไกลเท่านั้น สิบปีที่ข้าทุ่มเทศึกษาเล่าเรียน สิบปีที่ข้าได้กลายมาเป็โจร ทั้งบิดาและมารดาก็ล้วนลาลับไปสู่ปรโลกแล้ว ข้าจึงมิเชื่อเื่โชคชะตาอีก”
เมื่อกล่าวจบชายหนุ่มก็สาวเท้ายาวๆ จากไป
แผ่นหลังที่แสนอ้างว้างแต่แฝงด้วยแววทระนงนั้นค่อยๆ ห่างออกไป
ราชครูยังคงยืนอยู่หน้าประตู สายลมที่โบกพัดมาพาให้ร่างของชายชราสั่นสะท้าน
ดาวที่นี่กระจ่างชัดและดูง่ายกว่าในวังหลวงมากนัก
ทั้งแผ่นฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวที่กะพริบวับวาวไม่รู้ดับ