พวกเขาทั้งสามมองหน้ากัน และเห็นด้วยกับคำพูดของหยวนจุน
“กรรซ์”
หมีหางงูถูกหยวนจุนขวางทางไว้จึงส่งเสียงคำรามออกมา มันหยุดไล่ตาม แยกเขี้ยวให้มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า
ขนาดตัวระหว่างสัตว์อสูรและมนุษย์แตกต่างกันมาก ดูแล้วเหมือนก้อนหินั์กับก้อนกรวด
หยวนจุนรู้ว่าไม่มีทางหนีไปได้ง่ายๆ จึงทำได้เพียงรวบรวมสมาธิ เพื่อให้ตนเองสงบสติอารมณ์
แต่สัตว์อสูรก็คือสัตว์อสูร ยิ่งไปกว่านั้นคือหมีหางงูเป็สัตว์อสูรระดับสองขั้นสูง มันไม่สนใจว่ามนุษย์ที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าจะเป็อย่างไร
หยวนจุนจำต้องเผชิญหน้ากับมัน เขาแววตาเป็ประกาย ไม่ใ ไม่ตื่นกลัว จ้องตากระดิ่งของหมีหางงูที่เต็มไปด้วยความดุร้าย
“กรรซ์”
สัญชาตญาณภายในของสัตว์อสูร หากไม่มั่นใจว่าสามารถจับเหยื่อได้ มันก็จะไม่รีบร้อนลงมือ
แต่ระหว่างนั้น พวกมันจะใช้สายตาที่ดุร้ายจ้องมองเหยื่อ จนกว่าเหยื่อจะใและแสดงท่าทางหวาดกลัว!
ดังนั้น หยวนจุนจึงต้องไม่แสดงความกลัวออกไป และใช้สายตากดดันจ้องไปที่สัตว์ร้ายตัวนี้
ศิษย์สำนักิเจี้ยนสามคนนอนนิ่งอยู่บนพื้น ไม่กล้าหายใจแรง เพราะกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของหมีหางงู พวกเขาไม่ได้ใจกล้าเหมือนหยวนจุน หากประมาทคงได้ตายอย่างอนาถแน่
“กรรซ์”
หมีหางงูค่อยๆ เปิดปากกว้าง มันไม่ได้สนใจหยวนจุนแล้ว แต่กลับสนใจศิษย์ิเจี้ยนสามคนนั้นอีกครั้ง
แต่ละก้าวของสัตว์อสูรที่เดินเข้ามา ทำให้สามคนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ปางมืออจละ!”
หยวนจุนถือโอกาสนี้รวมปราณดาราภายในอย่างรวดเร็ว แล้วซัดปางมือมรณาท่าที่หนึ่งออกไป ปางมืออจละ!
รอบตัวเขามีความร้อนเพิ่มขึ้น อากาศที่ถูกความร้อนแผ่ทั่วทำให้ดึงความสนใจได้ชั่วขณะ ทันใดนั้น รอยฝ่ามือขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น
“นั่นเป็วิชายุทธ์!? ประมุขน้อยบรรลุระดับดาราวงแหวนใหญ่ขั้นหนึ่งได้อย่างไร!? ว่ากันว่าประมุขน้อยเป็คนไร้ประโยชน์ ไม่มีเส้นปราณ แล้วบ่มเพาะปราณดาราได้อย่างไร?”
“พลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อย่างน้อยต้องฝึกถึงวิชายุทธ์เ้าฮั่วขั้นสูง! ใช้แค่ระดับดาราวงแหวนขั้นหนึ่งบ่มเพาะพลังยุทธ์จนสามารถฝึกวิชายุทธ์เ้าฮั่ว นี่มันเกินไปแล้ว...”
หมีหางงูรู้สึกถึงพลังที่รุนแรงอยู่ด้านหลัง มันจึงหันร่างใหญ่กลับมา ส่งเสียงคำรามกึกก้องฟ้า ฝ่าเท้าทั้งสองกระแทกลงพื้น แล้วถอยหลังไป
หยวนจุนมีปางมืออจละ จึงไม่กลัวอันตรายแล้ว เขาใช้เวทของปางมืออจละท่าที่หนึ่งซัดออกไปเต็มแรง ขณะที่หมีหางงูสำแดงฤทธิ์ครั้งสุดท้าย หยวนจุนก็ซัดปางมือมรณาใส่ไม่ยั้ง
เปลวไฟปางมือมรณาที่สงบนิ่งยังคงมีไฟกองเล็กๆ อยู่รอบๆ หากไม่ใช่เพราะ้ามีพลังรุนแรง คนทั่วไปคงคิดไม่ถึงว่าเปลวไฟปางมือมรณานี้จะแฝงไปด้วยพลังมหาศาล
“ตูม ตูม”
เห็นเพียงฝ่ามือที่ซัดใส่สัตว์อสูร เปลวไฟลุกโชน ร่างกายแผ่ความร้อนจากภายในสู่ภายนอก รอยฝ่ามือโปร่งแสงที่เปลี่ยนเป็ความร้อนซัดปะทะที่หลังหมีหางงูอีกครั้ง
ไม่ทันที่หมีหางงูจะได้ส่งเสียงร้องออกมา อวัยวะภายในก็ถูกฝ่ามือของหยวนจุนซัดทำลายจนสิ้น ส่วนรอบๆ แผงคอบนตัวมันก็ได้ทิ้งรอยไหม้จากฝ่ามือเอาไว้!
“ประสานปราณดารา จมสู่พื้นดิน! นี่คือพลังสูงสุดของปางมือท่าที่หนึ่ง รวมสมาธิไว้ที่จุดเดียว แม้พลัง แต่กลับมีพลังทำลายล้างรุนแรงจากภายนอกสู่ภายในได้”
ตาหยวนจุนมองไปที่หมีหางงู แล้วพึมพำอยู่ในใจ
“แค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับสองได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เราสามคนยังจัดการหมีหางงูไม่ได้เลย หากประมุขน้อยเป็คนไร้ประโยชน์จริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรานับว่าเป็อะไรล่ะ?”
ศิษย์สำนักร่างผอมเหน็บแนมตนเอง ฝ่ามือที่หยวนจุนแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ รุนแรงกว่าวิชายุทธ์ที่นักยุทธ์ระดับดาราวงแหวนเล็กขั้นสองอย่างเขาแสดงออกมาทั้งหมดเสียอีก!
ขณะที่กำลังประหลาดใจ หยวนจุนก็มาอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสาม
“ขอบคุณประมุขน้อยที่ช่วยชีวิต!” ทั้งสามคนลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับให้หยวนจุน
เมื่อมองใบหน้าที่จริงใจของทั้งสาม หยวนจุนก็ขยับริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ที่ช่วยพวกเ้า เพราะพวกเ้าเป็ศิษย์ของสำนักิเจี้ยน กระบี่ในมือก็เป็กระบี่สำนักิเจี้ยน”
ทั้งสามยังคงตัวสั่น พยักหน้าด้วยท่าทางมึนงง แม้จะฟังสิ่งที่หยวนจุนพูดไม่ค่อยชัด แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
หากพวกเขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักิเจี้ยน หยวนจุนก็คงไม่ช่วย
ไตร่ตรองสักพัก ศิษย์ผอมสูงคนนั้นก็ค่อยๆ ชักกระบี่ยาวออกมาแล้วยื่นให้แก่หยวนจุน เขาตัดสินใจว่าจะไม่ปิดบังอีกต่อไป
“ศิษย์สำนักิเจี้ยนจิตใจเปิดเผย วาจาการกระทำล้วนต้องยึดมั่น จึงจะคู่ควรกับกระบี่ยาวเล่มนี้!”
“ไม่กี่วันมานี้ มีข่าวลือว่าประมุขน้อยออกไปข้างนอกแต่เช้ากว่าจะกลับก็ดึกดื่น ท่าทางมีพิรุธ วั่นเฮ่าซิงเลยให้พวกเราศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่เป็จุดสนใจแอบสะกดรอยตาม หากเกิดเื่อะไรขึ้น ให้รีบไปรายงานเขาทันที ซึ่งหากประมุขน้อยประสบอันตรายเข้า... เราสามคนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปช่วย”
“แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เจออันตรายบนูเาหวงต้วนจะเป็พวกเรา ส่วนผู้ที่มาช่วยก็คือประมุขน้อย ช่างน่าละอายเสียจริง”
คนน่ารำคาญที่สั่งให้พวกศิษย์ฝ่ายนอกสะกดรอยตามเขา ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว นอกจากวั่นเฮ่าซิงขี้อิจฉาคนนั้น คนร้ายในคราบคนดี ไม่มีคนที่สองอีกแน่นอน
ดังนั้น ตอนที่ได้ยินชื่อนี้ เขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด
“ตอนที่เราสามคนเพิ่งเข้าสำนักิเจี้ยน ก็เคยได้ยินว่าประมุขน้อยเป็คนไร้ประโยชน์ ไม่มีเส้นปราณแต่กำเนิด ร่างกายอ่อนแอั้แ่ยังเด็ก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยออกนอกเขตสำนักิเจี้ยน”
ศิษย์ร่างผอมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนไป แล้วพูดขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าประมุขน้อยจะเรียนรู้ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เพิ่งเข้าูเาหวงต้วนได้ไม่กี่วัน ก็ทิ้งห่างพวกเราไปไกลแล้ว”
“พวกเ้าตามข้ามาห้าวันแล้ว?” หยวนจุนถามกลับ
“มิบังอาจ วันนี้เป็วันแรกเท่านั้น แต่ประมุขน้อยโปรดวางใจ เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้ เราสามคนจะจดจำอยู่ในใจ ไม่เปิดเผยแก่ผู้อื่นแม้เพียงครึ่งคำ!”
ศิษย์ร่างผอมสูงคนนี้ถือว่าฉลาดพอสมควร แม้ไม่รู้ว่าทำไมหยวนจุนต้องซ่อนการฝึกฝนพลังภายใน แต่การที่เขาทำเช่นนี้ เขาย่อมมีเหตุผลแน่นอน
หยวนจุนพยักหน้าอย่างพอใจ ไม่รีรอที่จะกลับสำนักิเจี้ยนพร้อมกับสามคนนั้น เมื่อมาถึง เขาเห็นหยวนฉางเทียนที่อยู่ในศาลามาแต่ไกล ดูแล้วเหมือนมีเื่อะไรในใจ
“จุนเอ๋อร์ อีกสองวันจะเป็วันคล้ายวันประสูติของหวงเทียนจี๋ ข้ากับผู้าุโจำเป็ต้องไปงาน ส่วนโจวเฉินได้ล่วงหน้าไปเตรียมการก่อนแล้ว เ้าอยู่ในสำนัก อย่าก่อเื่ล่ะ”
“หลังูเามีผู้าุโสองคนรักษาการณ์อยู่ ไม่น่ามีเื่ใหญ่อะไร แต่หากเป็เื่เล็กน้อยธรรมดา เ้าคงต้องพึ่งตนเองแล้ว”
ผู้าุโที่รักษาการณ์อยู่ด้านหลังูเา หยวนจุนก็เคยได้ยินมาบ้าง ทั้งสองเป็นักยุทธ์ยอดฝีมือที่หยวนฉางเทียนเชิญมา ตำแหน่งไม่ด้อยไปกว่าผู้าุโทั้งสามภายในสำนัก หากล่วงรู้ว่าในสำนักเกิดเื่ใหญ่ พวกเขาจึงจะออกมาจากหลังูเาสำนักิเจี้ยน เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่สำนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้