ความรู้สึกวิกฤตถูกส่งมาจากด้านหลัง มู่จื่อหลิงไม่แม้แต่จะมองมันด้วยซ้ำ จิตใต้สำนึกสั่งให้นางะโขึ้นม้า ด้วยความอยากหนีไปให้ไกล
แต่ก่อนที่นางจะใช้แรงถีบเท้าะโขึ้นหลังม้า
ทันใดนั้น เสียงเยือกเย็นดังมาจากด้านหลัง “มู่จื่อหลิง ในที่สุดข้าก็จับเ้าได้!”
เสียงเย็นะเืท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืนในป่าทึบแห่งนี้ สยองขวัญเป็พิเศษ แต่จากเสียงนี้กลับยากจะซ่อนอารมณ์สนุกสนานของผู้พูดไว้ได้
ปรากฏว่าเป็ผู้หญิง!
คือใคร? ้าจับนางหรือ?
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว หัวใจของนางสั่นสะท้าน
ความทรงจำของนางดีมากเสมอมา แต่นางไม่เคยได้ยินเสียงคนผู้นี้เลย
ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงมั่นใจว่านางไม่รู้จักคนผู้นี้
สิ่งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจเป็อย่างมาก
หญิงผู้นี้รู้จักนาง แต่นางไม่รู้จักหญิงผู้นี้ แต่แน่นอนว่าหญิงผู้นี้มาด้วยเจตนาร้าย ดูเหมือนว่ามีคนส่งนักฆ่ามาอีกแล้ว
เหตุใดถึงไม่มีโชคถึงเพียงนี้?
มู่จื่อหลิงกำลังจะร้องไห้
นางเพิ่งหนีออกมาจากหลุมศพ นอกจากนี้ยามนั้นยังมีกุ่ยเม่ยอยู่ด้วย ยามนี้เล่า? มีแค่นางกับม้า จะทำอย่างไร?
สมควรตาย! คนผู้นี้มาถูกเวลาไปหรือไม่? นี่เป็่เวลาที่เหมาะสม ยามนี้นางอยู่คนเดียว
ในยามนี้มู่จื่อหลิงรู้ว่าไม่สามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน
เพราะ...
แต่ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะหันไปมองคนที่กำลังเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ในเวลาเดียวกันความหนาวเย็นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ลมเย็นโชยมาจากด้านหลังของนาง
ชั่วขณะหนึ่ง มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าระบบซิงเฉินตรวจพบพิษ
พิษนี้ไม่เป็อันตรายถึงชีวิต เช่นเดียวกับผงเส้นเอ็นที่นางให้กุ่ยเม่ยใช้เมื่อไม่นานมานี้ มันจะทำให้คนเป็อัมพาต
แต่ความแตกต่างคือพิษนี้แรงมาก ความเ็ปจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ไขกระดูกเมื่อเวลาผ่านไป จนทำให้คนรู้สึกราวกับตายทั้งเป็
ในยามนี้ มีเข็มพิษสามเล่มส่องแสงด้วยความเย็นในอากาศ ลอยไปทางด้านหลังของมู่จื่อหลิงในทันที เฉียบคมรุนแรงราวกับดาวตก
ยิ่งมู่จื่อหลิงที่กำลังหันหลังอยู่ในยามนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง นางไม่มีเวลาแม้แต่จะมองไปข้างหลัง ไม่ใช่ว่านางไม่มีอาวุธ แต่เพียงแค่นึกถึงความเร็วที่เข็มพิษสามเล่มพุ่งเข้ามา ในยามนี้แม้ว่านางจะรู้สึกถึงอันตราย แต่นางก็ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันกาล
ในยามนี้เข็มพิษสามเล่มอยู่เื้ัมู่จื่อหลิง พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม ใน่เวลาวิกฤตนี้...
ม้าเมฆาเงยหัวขึ้นฟ้าแล้วส่งเสียงร้อง
หลังจากนั้น ร่างของม้าเมฆาก็หันไปในทิศทางที่ต่างออกไป การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้า
มู่จื่อหลิงซึ่งยังคงอยู่ในท่าเตรียมขึ้นหลังม้า จับอานม้าแน่นตามสัญชาตญาณ เพื่อไม่ให้ถูกม้าเมฆาเหวี่ยงออกไปจากการหลบอย่างรวดเร็วนี้
“สารเลว ยังคิดหนีอีก!” เสียงเ็าด้านหลังดังขึ้นอีกครั้ง
ยามเห็นการกระทำของม้าเมฆา ผู้จู่โจมคิดว่าม้าเมฆา้าหลบหนีไปพร้อมกับมู่จื่อหลิง จึงหยิบกริชพิษแหลมคมออกมาแทงลงไปบนกีบเท้าหลังแข็งแกร่งของม้าเมฆาด้วยความแม่นยำ
หากยามนี้ม้าเมฆายังคงเป็ม้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นเดิม มันจะสามารถหลบกริชพิษของคู่ต่อสู้ได้อย่างแน่นอน
แต่...
เนื่องจากการหลบหลีกของม้าเมฆาเมื่อครู่นี้ มู่จื่อหลิงจึงรอดพ้นจากการโจมตีของเข็มพิษสามเล่มได้อย่างหวุดหวิด แต่เข็มพิษที่พุ่งเข้ามาทั้งสามเล่มกลับจมลงสู่ร่างกายกว้างใหญ่ของม้าเมฆาโดยตรง
มู่จื่อหลิงแนบกายบนหลังม้ากว่าครึ่งร่าง จากมุมของนาง นางสามารถเห็นเข็มพิษเรืองแสงเย็นะเืสามเล่มจมอยู่ใต้ต้นขาหลังของม้าเมฆาจนมิด
ยังมีกริชอาบยาพิษที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน...
เพียงไม่นาน ขาของม้าเมฆาเริ่มอ่อนแรงลง ม้าตัวสูงใหญ่ล้มกระแทกกับพื้น โดยมีมู่จื่อหลิงนอนคว่ำหน้าอยู่อีกด้าน นอนอยู่บนพื้นส่งเสียงครวญครางอย่างเ็ป
มู่จื่อหลิงที่จับอานม้าแน่น ล้มลงบนท้องอ่อนนุ่มของม้า
การเคลื่อนไหวของม้าเมฆาก่อนที่มันจะล้มลงกับพื้น เป็สิ่งที่มู่จื่อหลิงไม่คาดคิด แต่ใน่เวลาที่มันล้มลงกับพื้น มู่จื่อหลิงกลับคิดขึ้นมาได้
ในเวลานี้ มู่จื่อหลิงกลัวเข็มพิษที่พุ่งเข้ามาจะทำให้มันต้องทุกข์ทรมาน
นางรู้มานานแล้วว่าม้าเมฆาเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะ...
มู่จื่อหลิงรู้ว่าเมื่อครู่ม้าเมฆาพยายามช่วยชีวิตนาง ไม่เพียงแต่มันรับเข็มพิษ แต่ยังถูกแทงด้วยกริช ความเ็ปในหัวใจของนางยิ่งรุนแรงขึ้น โกรธมากขึ้น
ในยามนี้มู่จื่อหลิงนอนอยู่บนร่างของม้าเมฆาโดยไม่เคลื่อนไหว
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่กีบหลังของม้าเมฆาซึ่งถูกแทงด้วยกริช มีเืไหลซึมออกมา จู่ๆ ประกายแสงอันเย็นะเืก็ปรากฏขึ้นในดวงตาใสของนาง
ไม่ว่าผู้มาคือใคร หวังว่านางสามารถหาโอกาสโต้กลับได้
ไม่เช่นนั้น การปล่อยให้ม้าเมฆาประสบอันตรายถือเป็การสูญเปล่า ความเสียหายทั้งหมดที่ได้รับในขณะนี้ นางจะตอบแทนเป็สองเท่า
แต่ใครจะรู้ ความคาดหวังของมู่จื่อหลิงยังไม่ได้รับการตัดสิน โอกาสก็มาถึงทันที
เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่หยุดนิ่งไปของมู่จื่อหลิง คนที่อยู่ข้างหลังนางจึงยิ้มอย่างชั่วร้าย “นางหญิงสารเลว ข้าคิดว่าเ้าจะมีพลังมาก ไม่คาดฝันว่าทั้งคนและม้าถูกฟาดลงกับพื้นได้ในสามหรือสองกระบวนท่าเท่านั้น”
เสียงหัวเราะร้ายกาจนี้ใกล้เข้ามาทุกที...
เดิมทีมู่จื่อหลิงอยากจะลุกขึ้น แต่เนื่องจากได้ยินเช่นนี้ นางจึงล้มเลิกความคิดที่จะลุกขึ้นในทันที นอนนิ่งบนท้องของม้าต่อไป
เนื่องจากผู้ที่โจมตีมู่จื่อหลิงดูเหมือนจะตื่นเต้นเกินไป ดูเหมือนจะไม่คาดคิดว่าม้าเมฆาจะขัดขวางเข็มพิษสามเล่มได้ทั้งหมด
กล่าวได้ว่า คนผู้นี้มุ่งความสนใจไปที่การดึงกริชออกมา รวมกับการเคลื่อนไหวของม้าเมฆาที่บดบังวิสัยทัศน์ นางจึงไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเข็มพิษสามเล่มของนางทิ่มแทงใคร
ควบคู่ไปกับการใช้อาวุธที่ซ่อนอยู่ สำหรับคนผู้นี้ นางย่อมมีความภาคภูมิใจ
ดังนั้นในยามนี้ แม้ว่านางจะไม่เห็นด้วยตาของตนเอง แต่นางก็คิดว่ามู่จื่อหลิงถูกโจมตีแล้ว ในความคิดของนาง การที่ม้าเมฆาล้มลงกับพื้น เป็เพราะมันโดนพิษจากกริช
ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงเข้าใจจากคำพูดของนางว่า คนผู้นี้ต้องคิดว่านางถูกวางยาพิษ นางกำลังย่ามใจ
มู่จื่อหลิงเยาะเย้ยในใจ
จากนั้น นางเพียงแค่ทำตามแผน แสร้งทำเป็ว่านางถูกเข็มพิษ นอนอยู่บนร่างอ่อนแรงราวไม่มีกระดูกของม้าเมฆาต่อไป
โชคดีที่มู่จื่อหลิงมีระบบซิงเฉิน นางรู้ผลของเข็มพิษ ดังนั้นยามนี้จึงสามารถแสร้งทำเป็ถูกพิษได้อย่างแเี
ร่างกายอ่อนแรงทุกสัดส่วน ไม่อาจเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด เนื่องจากนางกลัวเข็ม เมื่อครู่ใบหน้าของนางจึงซีดเซียวจากความหวาดกลัว ในยามนี้มันเข้ากับอาการ ‘ถูกพิษ’ ของนางได้เป็อย่างดี
เมื่อพิจารณาจากการกระทำของคนผู้นั้นที่ใช้อาวุธที่ซ่อนอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มู่จื่อหลิงก็สรุปได้ทันที
คนผู้นี้มีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาก
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเศร้าคือ นางเป็คนที่ไม่รู้แม้กระทั่งวิชาแมวสามขา จะสู้ได้อย่างไร? สู้ไปมีแต่จะตายเร็วขึ้น!
ดังนั้นในยามนี้สิ่งที่มู่จื่อหลิงทำได้คือรอให้คนผู้นั้นเข้ามาใกล้
จากนั้นจึงใช้ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวของนาง นั่นคือพิษ!
ในขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังพยายามคำนวณอยู่นั้น คนผู้นั้นก็เดินเข้ามาแล้ว
มู่จื่อหลิงนอนตะแคงมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงเห็นคนผู้นั้นจากหางตา
หญิงวัยแรกแย้ม [1]!
นางสวมชุดสีส้ม ใบหน้างดงาม ท่วงท่ากล้าหาญ มีกลิ่นอายที่เงียบขรึม แฝงไปด้วยความเยือกเย็น
คนผู้นี้คือเฉิงอวี้ หนึ่งในสาวใช้ของเยวี่ยหลิงหลง
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะไม่เคยได้ยินเสียงของคนผู้นี้มาก่อน แต่นางมักจะรู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับคนผู้นี้
ยามมู่จื่อหลิงอยากจะเชื่อมภาพที่ไม่ชัดเจนในความคิดเข้าไว้ด้วยกันอีกครั้ง นางก็เห็นว่าเฉิงอวี้กำลังเดินไปที่บั้นท้ายของม้าเมฆา แล้วก้มลงเล็กน้อย
ชั่วขณะหนึ่ง มู่จื่อหลิงคิดไม่ออกว่านางจะทำอะไร จึงได้แต่มองดูนางอย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงหาโอกาสที่เหมาะสมเข้าโจมตี
แต่ใครจะรู้ คนผู้นั้นไม่ได้มองมาที่นาง ไม่ได้เข้าใกล้นางเลยด้วยซ้ำ แต่...
“มู่จื่อหลิง เ้าทำตัวราวเต่าหัวหด [2] มาเนิ่นนาน ทันทีที่เ้าออกมา ก็ต้องถูกข้าจับได้เสียแล้วหรือ? เ้าที่เป็ได้เพียงเท่านี้จะมีประโยชน์ตรงไหนกัน” เฉิงอวี้มองดูกริชที่แทงม้าเมฆา ราวกับพอใจผลงานชิ้นเอกในการแกว่งกริชของตน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
พวกนางทั้งห้าค้นหาร่องรอยของมู่จื่อหลิงในูเาโฮ่วซานั้แ่วันนั้น หลังจากกระจายตัวออกไปค้นหา แต่ก็ไม่พบ
ในท้ายที่สุด พวกนางกลับพบว่ามู่จื่อหลิงกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว นางอยู่ในจวนฉีอ๋องและไม่เคยออกมาเลย
ในเมืองหลวงสถานที่นั้น องค์หญิงรองได้ออกคำสั่งพิเศษมาก่อนหน้านี้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเมืองหลวงเพื่อจับกุมใครก็ตาม แม้แต่ในที่ลับก็ไม่ได้ นับประสาอะไรกับจวนฉีอ๋องที่มีการป้องกันอย่างแ่า
แต่พวกนางรู้ว่ามู่จื่อหลิงจะกลับมาที่เมืองหลงอันอีกครั้ง ดังนั้นพวกนางทั้งห้าจึงแยกย้ายกันไปรอตามที่ต่างๆ ทันที
คาดไม่ถึงว่าหลังจากรอมาสองสามวัน..ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย [3] ไม่ต้องใช้ความพยายามเลย!
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงอวี้ มู่จื่อหลิงก็ขมวดคิ้ว ใบหน้างดงามของนางมืดมนไปทันที นางอดไม่ได้ที่จะสบถในใจ
เต่าหัวหด? มู่จื่อหลิง นางเนี่ยนะจะทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์?
ให้ตายเถอะ นางผู้นี้เป็ใครกัน เราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ทันทีที่เปิดปากออกมา กลับพูดได้อย่างมั่นใจว่านางเป็เต่าหัวหด เ้ากำลังเล่นตลกหรือ?
แม้ว่านางมู่จื่อหลิงผู้นี้จะไร้ความสามารถจริง แต่นางจะไม่ทำในสิ่งที่หดหู่เช่นนั้น
นางไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึง้าฆ่านาง
หากนางรู้ว่ามีคนกำลังจะฆ่านาง นางคงไม่ปล่อยให้กุ่ยเม่ยจากไป ในยามนี้นางคงไม่ตกอยู่ในสภาพทุกข์ระทมเช่นนี้
น่าเสียดายที่คำว่าถ้าหากไม่อาจเป็จริงได้ นับประสาอะไรกับถ้ารู้ก่อน มู่จื่อหลิงทำได้เพียงคร่ำครวญเงียบๆ ในใจ
“ใครส่งเ้ามา?” มู่จื่อหลิงยังคงนอนแผ่อยู่บนร่างของม้าเมฆา แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้อ่อนลงเลย
พูดตามตรง หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่จื่อหลิงก็ยังคิดไม่ออกว่าใครส่งหญิงผู้นี้มาฆ่านาง
เท่าที่นางรู้ ยามนี้นางมีความเกลียดชังทั้งเก่าและใหม่กับไทเฮา ความเกลียดชังที่ลึกล้ำที่สุด และไทเฮาแทบรอไม่ไหวที่จะฆ่านาง
อาจเป็ไทเฮา? เป็ไปไม่ได้! มู่จื่อหลิงปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ คนเช่นไทเฮาเฒ่า มีเพียงหลินเกาฮั่นที่นางสามารถสั่งการได้
“เ้าไม่มีสิทธิ์รู้ อีกสักครู่ลองถามเทพแห่งความตายดูเถิด” ปากของเฉิงอวี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่โหดร้ายกระหายเื ท่าทางของนางไม่ได้หยิ่งผยองมากนัก
ก่อนที่นางจะพูดจบ นางยื่นมือออกมาดึงกริชที่แทงกีบหลังของม้าเมฆาออกมาอย่างไร้ความปรานี
คนในชุดสีส้มไม่ได้ดึงกริชออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ค่อยๆ ดึงออกมาทีละนิด ดึงออกช้าๆ
ใช้เวลาครู่หนึ่ง ม้าเมฆาต้องทนทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น มีเสียงคำรามดังออกมาจากปากของมัน ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกเป็ทุกข์ แต่ยามนี้นางไม่สามารถทำอะไรวู่วามได้
“หยุดนะ!” มู่จื่อหลิงกัดฟัน จ้องมองเฉิงอวี้ด้วยสายตาเ็า
“เ้าจะรีบร้อนไปเพื่ออะไร? อีกเดี๋ยวก็ถึงตาเ้าแล้ว แต่ในยามนี้เ้าควรเงียบไว้ ไม่อย่างนั้นมือของข้าอาจจะ...” น้ำเสียงของคนในชุดส้มไม่เร่งรีบ แต่มีความโหดร้ายกระหายเื น่าขนลุก ราวกับอยู่ในขุมนรก
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] หญิงวัยแรกแย้ม (妙龄女子) ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน อายุ 16-23 ปี แต่ในปัจจุบันจะนับยาวไปถึง 28 ปี ซึ่งเป็วัยที่ดีที่สุดในชีวิตของผู้หญิง
[2] เต่าหัวหด (缩头乌龟) เป็สำนวน มีความหมายว่า คนขี้ขลาด มักใช้เพื่อเหน็บแนมคนที่ขี้อายและหวาดกลัวต่อสิ่งต่างๆ
[3] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย (踏破铁鞋无觅处) เป็สำนวน มีความหมายว่า พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ หรือไม่รับมาอย่างง่ายดาย ทั้งที่ก่อนหน้าพยายามแทบตายกลับไม่ได้มา