ณ สำนักชิงเหอ ภายในห้องโถงใหญ่
ซ่งเซิงผิงกำลังมองไปยังศิษย์ชุดแดงของสำนักซ่งเจี่ย
“ไม่นานมานี้ ที่สำนักซ่งเจี่ย กู่ไห่ได้วางค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้นอย่างนั้นหรือ?” ซ่งเซิงผิงจ้องศิษย์ชุดแดงผู้นั้น
“ใช่แล้ว! ค่ายกลใหญ่นั้นร้ายกาจมาก แม้แต่ผู้าุโก็ยังไม่สามารถทำลายได้ ทั้งมันยังทิ้งาแเอาไว้หลายร้อยแผล ทั่วร่างเจียวหลงของผู้าุโอีกด้วย”
“เจียวหลง? ร่างเจียวหลง? ขนาดนั้นก็ยังไม่อาจต้านได้หรือนี่?” ซ่งเซิงผิงเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
“ท่านหัวหน้าสำนัก ข้าคิดว่าทางสำนักชิงเหอนี่ ก็ต้องระวังให้มาก กู่ไห่นั้นเ้าเล่ห์นัก ทั้งยังมีค่ายกลใหญ่ ข้าคิดว่า...” ศิษย์ชุดแดงกล่าวอย่างกังวล
“กลัวอะไร? ฟู่เสวี่ยบอกแล้วมิใช่หรือ? ว่ากู่ไห่ต้องใช้หินิญญาจำนวนมาก แล้วตอนนี้เขายังจะมีหินิญญาอยู่อีกหรือ? เหมืองหินิญญาของสำนักข้าในสำนักซ่งเจี่ย ยามนี้ก็ไม่มีหินิญญาเหลือแล้ว เขาจะวางค่ายกลได้อย่างไร? ถ้าไม่สามารถสร้างค่ายกลได้ เขาก็เป็แค่ผู้ฝึกตนระดับก่อ์เท่านั้น” ซ่งเซิงผิงกล่าวเสียงเย็น
“ใช่! กุญแจสำคัญคือหินิญญา กู่ไห่ไม่มีหินิญญาแล้วนี่นา”
“รายงาน!”
ศิษย์ชุดขาวรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่
“เ้ากลับมาได้อย่างไร มิใช่ว่าต้องคอยจับตาดูจวนสกุลกู่หรอกหรือ? หรือว่า... มีอะไรเกิดขึ้นที่จวนสกุลกู่?” ซ่งเซิงผิงถามเสียงต่ำ
“ขอรับ! ข้าน้อยจะมารายงาน ว่าบัดนี้กู่ไห่ยืมหินิญญาจากผู้ฝึกตนทุกคนในบริเวณใกล้เคียงได้แล้ว” ศิษย์ชุดขาวบอกอย่างร้อนรน
“ยืมหินิญญา? ล้อข้าเล่นหรือ คนกลุ่มนั้นเตรียมจะไปปล้นกู่ไห่ แล้วจะให้เขายืมหินิญญาได้อย่างไร?” ซ่งเซิงผิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“แต่พวกเขาทั้งหมดให้ยืมขอรับ” ศิษย์ชุดขาวกล่าว
ซ่งเซิงผิงถึงกับไร้คำพูด
“เป็ไปได้อย่างไร? พวกเขาเป็บ้าไปแล้วหรือ? ให้กู่ไห่ยืมหินิญญาอย่างนั้นหรือ?” ซ่งเซิงผิงเบิกตากว้างอย่างโกรธเกรี้ยว
ศิษย์ชุดขาวจึงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างทันที
ซ่งเซิงผิงอึ้ง
“ท่านหัวหน้าสำนัก ตอนนี้กู่ไห่มีหินิญญาแล้ว” ศิษย์ชุดแดงที่อยู่ข้างๆ กันพูดด้วยความร้อนรน
ซ่งเซิงผิงได้ยินเช่นนั้น ในใจพลันรู้สึกหวาดหวั่น
ใช่! ตอนนี้กู่ไห่มีหินิญญา เช่นนั้นเขาก็สามารถวางค่ายกลได้แล้ว
“กู่ไห่ยืมหินิญญามา เป็ไปไม่ได้ที่จะไม่ทำอะไร เขาต้องลงมือแน่ หากไม่ไปสำนักซ่งเจี่ย ก็คงจะมาที่สำนักชิงเหอ เป็ไปได้ว่าเขากำลังเดินทางมาแล้ว” ศิษย์ชุดแดงกล่าวอย่างตื่นตระหนก
“ไม่ต้องห่วง! ถึงพวกมันจะมาจริง ก็ไม่อาจฝ่าค่ายกลได้ เพราะตอนนี้ค่ายกลของสำนักชิงเหอถูกเปิดใช้งานแล้ว ไม่มีใครเข้ามาได้แน่” ซ่งเซิงผิงกล่าวเสียงต่ำ
“แต่ค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้นนั่น ร้ายกาจมาก ไม่อาจประมาทได้ ตอนนั้นเสียงะโดังกึกก้องไปทั่ว ทำให้ผู้าุโถึงกับต้องล่าถอย” ศิษย์ชุดแดงกล่าวด้วยความวิตก
“วางใจเถอะ เขาคงไม่สามารถทำลายค่ายกลใหญ่ของสำนักชิงเหอได้... ใช่แล้ว! ที่บอกว่าค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น มีเสียงคำรามดังกึกก้อง นั่นมันคืออะไรกัน?” ซ่งเซิงผิงถาม พลางขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย
“ข้าก็จำไม่ได้แล้ว เหมือน...” ศิษย์ชุดแดงเอ่ยเสียงแ่ พยายามนึกทบทวน
ทว่าขณะนั้นเอง เสียงคำรามก็ดังขึ้นที่นอกสำนักชิงเหอ
“เรี่ยวแรงของข้า มหาศาลดุจขุนเขา!”
ตูม...!
เสียงะเิดังสนั่น เกิดการสั่นะเืไปทั่วพื้นที่ของสำนักชิงเหอ ซ่งเซิงผิงที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ พลันใจสั่นสะท้าน
“ท่านหัวหน้าสำนัก กู่ไห่อยู่ที่นี่ เขาทำลายค่ายกลได้แล้ว”
“ท่านหัวหน้าสำนัก ค่ายกลป้องกันูเาแตกออกเป็เสี่ยงๆ กู่ไห่มาถึงแล้ว”
เสียงะโของศิษย์สำนักซ่งเจี่ยดังขึ้นจากทั่วสารทิศ
“ใช่ๆ! เป็เสียงนี้นี่แหละ... เรี่ยวแรงของข้า มหาศาลดุจขุนเขา!” ศิษย์ชุดแดงร้องบอก
“ไสหัวไป!” ซ่งเซิงผิงถีบศิษย์ชุดแดงจนล้มลง ก่อนถลึงตาใส่
ตอนนี้ มันใช่เวลาที่เ้าจะมาพูดจาอยู่หรือไร?
“เ้าพวกสวะ สืบหาร่องรอยประสาอะไร รอจนกู่ไห่เข้ามาทำลายค่ายกลก่อน ถึงเพิ่งจะหาพบ พวกเ้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี” ซ่งเซิงผิงจ้องเหล่าศิษย์เขม็ง พร้อมตวาดอย่างโมโห
ท่ามกลางเสียงเกรี้ยวกราด ซ่งเซิงลอยตัวขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงะเิทันที
...
ที่ด้านนอกสำนักชิงเหอ
ภายในค่ายกลที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
“เก็บหินิญญาเร็วเข้า” กู่ไห่ร้องสั่งเสียงดัง
ฟุ่บๆ!
ทันใดนั้น เมฆหมอกก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนโฉดพากันเก็บหินิญญา และรีบวิ่งตามกู่ไห่เข้าไปด้านในด้วยความว่องไว
“นายท่าน ที่นั่น ยอดเขาลูกนั้น เป็สถานที่ที่ท่านหัวหน้าสำนักเคยอาศัยอยู่” เฉินเทียนซานชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ไปกันเถอะ” กู่ไห่ะโขึ้น
ตูมๆ!
คนโฉดสามพันคนวิ่งตามกู่ไห่ไปติดๆ
“กู่ไห่... หยุดเดี๋ยวนี้!”
“บังอาจ! กู่ไห่ เ้ากล้าดีอย่างไร? ถึงได้บุกเข้ามาในสำนักชิงเหอเช่นนี้”
ทันใดนั้น ศิษย์ของสำนักซ่งเจี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นโดยรอบ พวกเขาถือกระบี่และชี้ไปยังกู่ไห่
“อย่าได้สนใจ! ก็แค่พวกปากกล้าเท่านั้น” กู่ไห่ะโขึ้น
“ขอรับ!” กลุ่มคนโฉดสามพันคนตอบ
แท้จริงแล้ว เหล่าศิษย์ซ่งเจี่ยที่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ ก็ไม่มีใครกล้าก้าวขาออกมาจริงๆ สักคน อย่างที่กู่ไห่ว่าไว้
เพราะพวกเขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ ความโเี้ของพวกกู่ไห่ มานับครั้งไม่ถ้วน ว่าคนเหล่านี้หากได้ต่อสู้ขึ้นมาละก็ มักจะไร้ซึ่งความปรานี และไม่เคยปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้รอดชีวิตเลยสักราย
พรึ่บๆ!
กลุ่มคนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน นั่นซ่งเซิงผิง!” ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มคนโฉดก็ร้องบอก
“กู่ไห่!” เสียงคำรามด้วยความเคืองแค้นดังขึ้น
“สร้างค่ายกล” สีหน้าของกู่ไห่พลันเปลี่ยนไปทันที
สวบๆๆ!
กลุ่มคนโฉดสามพันคนเมื่อได้รับคำสั่ง ก็ทำการฝังหินิญญาอย่างรวดเร็ว
ฟู่!
ลมแรงพัดผ่าน พลันกลุ่มหมอกหนาก็ก่อตัวขึ้น แล้วลอยมาปกคลุมกู่ไห่และพวกไว้
ฟึ่บ!
ซ่งเซิงผิงลอยตัวนิ่งกลางอากาศ
“กู่ไห่ เ้าช่างอวดดีนัก! ยังกล้าบุกเข้ามาอีก?” ซ่งเซิงผิงถลึงตา
“เรี่ยวแรงของข้า มหาศาลดุจขุนเขา!”
ฉึกๆ!
จู่ๆ ทวนวงเดือน์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากหมอกหนา
ซ่งเซิงผิงเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ชะงักไป ก่อนจะฟันกระบี่เข้าต้านทานการโจมตีของค่ายกล
ตูม!
พลังกระบี่ปะทะเข้ากับทวนวงเดือน์อย่างแรง เสียงะเิดังสนั่นไปทั่วบริเวณ คลื่นพลังกระบี่แตกกระจายเป็เสี่ยงๆ ทว่าทวนวงเดือน์ยังไม่หยุดโจมตี และพุ่งเข้าใส่ซ่งเซิงผิงต่อ
“ท่าจะไม่ดีแล้ว!” ท่าทางของซ่งเซิงผิงเปลี่ยนไป รีบถอยกลับทันที
ฉีก!
แขนเสื้อของเขาถูกตัดขาด โลหิตสีแดงสดเริ่มกระจายตัวเป็วงกว้างออกจากาแใหญ่
ซ่งเซิงผิงถอยห่างไปไกลกว่าเดิม จ้องกู่ไห่ พลางขบฟันแน่นอย่างไม่พอใจ “ฮึ่ม! กู่ไห่ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ เ้ายืมหินวิเศษมาแค่นี้ คิดว่าเพียงพอหรือ? ข้าได้ยินฟู่เสวี่ยบอกว่า ตอนที่บุกสำนักซ่งเจี่ย พวกเ้าใช้หินิญญาไปมหาศาล แล้วที่ยืมมานี่ จะพอหรือ? รอจนหินิญญาหมด ข้าจะคอยดู ว่าเ้าจะทำอย่างไร”
เอ่ยจบ ศิษย์ของสำนักซ่งเจี่ยและคนทรยศของสำนักชิงเหอ ต่างก็พากันเข้ามารุมล้อมค่ายกลเอาไว้
“ซ่งเซิงผิง ครั้งนี้เ้ารนหาที่ตายเอง ถึงกับกล้าลงมือกับหออี้ผิน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? การมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อจะมาจับตัวเ้า ในนามของหออี้ผิน” เสียงกู่ไห่กล่าวอย่างเ็า ดังมาจากค่ายกลั์
“ฮึ่ม! เช่นนั้นก็เข้ามาจับข้าสิ… ฮ่าๆๆ! แต่อย่างไรเสีย ค่ายกลใหญ่ของเ้าก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้อยู่ดี” ซ่งเซิงผิงยิ้มเยาะ
ค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เมื่อใดที่พลังหินิญญาถูกใช้ไปจนหมด มันก็จะเป็จุดจบของกู่ไห่
“ฮึ่ม!”
เมฆหมอกสั่นเล็กน้อย ก่อนที่ค่ายกลตรงหน้าจะค่อยๆ ขยับเขยื้อน
“อะไรกัน? ท่านหัวหน้าสำนัก ค่ายกลใหญ่นี่ เคลื่อนไหวได้อย่างไร?”
“ขยับ... มันขยับจริงๆ!”
“เร็วเข้า... ถอยไป!”
ศิษย์สำนักสำนักซ่งเจี่ยเริ่มถอยห่างด้วยความหวาดกลัว
ท่าทีของซ่งเซิงผิงเองก็แปรเปลี่ยนทันที
ขยับ? ไม่! มันขยับได้อย่างไร? ฟู่เสวี่ยเคยบอกว่า ค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้มิใช่หรือ?
แต่ยามนี้ ค่ายกลใหญ่ตรงหน้า กำลังค่อยๆ เคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียว
ภายในค่ายกลเมฆหมอก กลุ่มคนโฉดสามพันคนได้รวบรวมพลังชี่ของตนอีกครั้ง เพื่อส่งมันไปยังกู่ไห่ที่อยู่ด้านหน้าสุด
ระหว่างที่กู่ไห่เอื้อมมือไป เมฆหมอกนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมา
ในเวลาเดียวกัน คนโฉดสิบกว่าคน ก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการเก็บหินิญญาขึ้นจากพื้น
ค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น ถูกถอนออกไปแล้ว ตอนนี้ค่ายกลที่กู่ไห่กำลังควบคุมอยู่ จึงเป็ค่ายกลกระบี่์
กลุ่มคนเดินตรงไปยังกู่ไห่ แล้วจึงค่อยๆ พากันเคลื่อนตัวไปยังที่ที่หลงว่านชิงเคยอาศัยอยู่
ตลอดทาง กลุ่มศิษย์ครึ่งอสูรต่างหลบหลีกด้วยความหวาดผวา
ซ่งเซิงผิงที่ลอยตัวกลางเวหา ยังคงจับจ้องค่ายกลตรงหน้า หลายครั้งที่คิดจะบุกเข้าไปเพื่อดูว่ามันเป็อย่างไรกันแน่ แต่ก็ต้องยั้งใจไว้ก่อน
ยังคงจำพลังของทวนวงเดือน์เมื่อครู่ได้ดี หากไม่ใช่เพราะตนหลบได้เร็ว บางที...
“ทำไมมันเคลื่อนที่ได้? ค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น... เหตุใดถึงขยับได้?” ซ่งเซิงผิงะโอย่างโกรธแค้น
อย่างไรก็ตาม ค่ายกลใหญ่ก็ยังค่อยๆ เคลื่อนที่ ตรงไปยังยอดเขา
ซ่งเซิงผิงและศิษย์ครึ่งอสูรกว่าแปดร้อยคน พยายามเข้าล้อมค่ายกลเมฆหมอก แม้ไม่กล้าก้าวไปขวางหน้า แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้กู่ไห่เดินเหินได้อย่างอิสระ... เมื่อใดหินิญญาของเขาจะหมดเสียที?
“ท่านหัวหน้าสำนัก ทางนั้น พวกมันมุ่งหน้าจะไปที่นั่น” ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งร้องบอก
ท่าทีของซ่งเซิงผิงพลันแปรเปลี่ยน ทางนั้น? นั่นคือสถานที่ที่หลงหว่านชิงเคยอาศัยอยู่มิใช่หรือ? นี่อีกฝ่ายมิได้มา เพื่อตามหาคนหรือสมบัติของสำนักชิงเหอหรอกหรือ?
เป็ไปได้หรือไม่ ว่ากู่ไห่อาจจะรู้ทางเข้าออกของไต้ซือหลิวเหนียน? หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ การที่อีกฝ่ายมาที่นี่ ก็เพื่อตามหาพระภิกษุรูปนี้?
“ใช่แล้ว! มันต้องเป็แบบนั้นแน่” สีหน้าของซ่งเซิงผิงเปลี่ยนไป
ไต้ซือหลิวเหนียน? ซ่งเซิงผิงไม่เคยมองออกว่าภิกษุรูปนี้เป็คนเช่นไร ปกติก็ดูอ่อนโยนและสง่างาม แต่หลายครั้งที่ตนแอบฟังการสนทนาของหลงหว่านชิง ก็มักจะถูกเขาพบเห็นเสมอ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
ต้องหยุดกู่ไห่ให้ได้... มันต้องมีสักทางสิ!
ซ่งเซิงผิงหรี่ตาลง
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น ซ่งเซิงผิงก็ลอยตัวไปไกล และหายไปจากที่ที่ทุกคนอยู่
“นายท่าน ซ่งเซิงผิงหายตัวไปแล้ว” เฉินเทียนซานร้องบอก
“อย่าได้ใส่ใจ ไปยังที่พักของท่านถังจู่ก่อน” กู่ไห่สั่งเสียงดัง
“ขอรับ!” ทุกคนตอบ แล้วรีบรุดไปยังยอดเขาซึ่งเป็ที่พักของหลงหว่านชิง
...
ขณะเดียวกัน
ซ่งเซิงผิงให้ศิษย์สองสามคนไปพาใครคนหนึ่งมา เพื่อต่อรองกับกู่ไห่ ก่อนจะเหาะไปยังที่พักของหลงหว่านชิง
“นำตัวขึ้นไป ให้พวกมันได้เห็น” ซ่งเซิงผิงเอ่ย
“ขอรับ!”
กลุ่มคนครึ่งอสูรใช้โซ่รัดร่างของชายคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นมิใช่ใครคนอื่น เขาก็คือหัวหน้าสำนักชิงเหอนั่นเอง
สีหน้าของหัวหน้าสำนักชิงเหอนั้น ยากจะบรรยาย ตอนนี้เขากำลังเ็ปและอ่อนแรง
“หัวหน้าสำนักชิงเหอ หลี่ชิงเหอ เ้ายินยอมที่จะมากับพวกเราเองแล้วเหตุใดยังดิ้นรนอีก? เ้าไม่อาจถอยกลับได้แล้ว” ซ่งเซิงผิงกล่าวเสียงเข้ม
สีหน้าของหลี่ชิงเหอดูกล้ำกลืนเหลือทน แต่เขาก็พยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าคนที่ถูกเปลี่ยนร่าง จะมิใช่มนุษย์อีกต่อไป และตัวข้าเองก็ไม่อาจย้อนคืนได้แล้ว ซ่งเซิงผิง... ชีวิตของเ้าต้องจบไม่สวยแน่!”
“เหตุใดเ้าจึงไม่พูดแบบนี้ ตอนที่กินคนเล่า หลี่ชิงเหอ? ตอนนี้เ้าเป็มนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้ว อีกทั้งทักษะศักดิ์สิทธิ์ที่เ้าได้มาหลังจากเป็อสูร แม้แต่ฟู่เสวี่ยก็ยังต้องอิจฉา
จงจำเอาไว้ ว่าเป็เพราะฟู่เสวี่ย เ้าจึงกลายเป็มนุษย์ครึ่งอสูรเช่นนี้ เขาคือบรรพชนของเ้า หากเขา้าให้เ้าตาย เ้าก็ต้องตาย การจงรักภักดีต่อหออี้ผินจะมีความหมายอะไร?
เอาละ! ข้าควรหยุดพูดจาไร้สาระกับเ้าได้แล้ว กู่ไห่กำลังจะมา เ้าก็แสร้งทำตัวเป็นักโทษไปเถอะ หลังจากนั้น... เ้าคงเข้าใจ” ซ่งเซิงผิงกล่าวเสียงต่ำ
“ฮึ่ม!” หลี่ชิงเหอแค่นเสียง
“พวกกู่ไห่กำลังจะมาแล้ว พวกเราก็ไปเถอะ” ซ่งเซิงผิงสั่งเสียงดัง
ฟึ่บ!
ซ่งเซิงผิงพาศิษย์ครึ่งอสูรออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงร่างสลบไสลของหลี่ชิงเหอ ที่ถูกมัดเอาไว้บนแท่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้