ฤกษ์มงคลของกู้อิ๋งคือยามใกล้เที่ยง ตอนนี้แขกของจวนกู้ส่วนใหญ่ก็มาหมดแล้ว พวกเขาต่างยืนส่งเ้าสาวออกนอกประตูไป
ขบวนพิธีต้อนรับจากจวนอ๋องยาวจนมองไม่เห็นท้ายขบวน เกี้ยวเ้าสาวใหญ่โตหรูหรา ขบวนขนสินเดิมของเ้าสาวนั้นยาวจากประตูใหญ่ไปจนสุดถนน หากจะกล่าวว่าเป็ เ้าสาวสิบลี้** ก็ไม่ได้เกินจริงเลย
(*1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร)
(*บรรยายถึง ความร่ำรวยมั่งคั่งของสินเดิมเ้าสาว)
ชาวบ้านต่างมามุงดูความยิ่งใหญ่ครึกครื้นของขบวนเ้าสาว เหล่าเด็กๆ พากันจับจ้องสาวใช้ที่อยู่ข้างเกี้ยวเ้าสาว เพราะพวกนางมีหน้าที่แจกลูกอมมงคลโดยเฉพาะ
ตอนที่เว่ยซื่อส่งบุตรสาวขึ้นเกี้ยว นางแอบซับน้ำตาอยู่เงียบๆ กู้อิ๋งกอดมารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ สาวใช้เข้ามาคลุมหน้าให้กู้อิ๋งพร้อมกับพยุงนางเข้าไปในเกี้ยว กู้เจิ้งชินกับกู้เหยาต้องทำหน้าที่ส่งตัวเ้าสาว พวกเขาจึงต้องร่วมขบวนไปด้วย
บรรยากาศงานแต่งงานของกู้อิ๋งนั้นช่างน่ายินดีปรีดายิ่งนัก
เสิ่นเยี่ยนมองตามสายตาของภรรยา นางจับจ้องไปยังเกี้ยวเ้าสาวที่กำลังเคลื่อนตามขบวนไกลออกไป ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
กู้เจิงหันมาเห็นเสิ่นเยี่ยนมองตนอยู่ นางจึงยิ้มเรียก “ท่านพี่”
“งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว เราเข้าไปในงานกันเถอะ”
“เ้าค่ะ”
งานเลี้ยงแต่งงานของคุณหนูแห่งจวนป๋อเจวี๋ย ย่อมต้องเป็งานที่จัดอย่างใหญ่โตหรูหรา แต่กู้เจิงยังไม่ทันได้ไปร่วมในงานเลี้ยง นางกับสามีก็ถูกซู่เหนียงจับจูงพาไปพบกับฉางผิงโหวบิดาของเว่ยซื่อหรือก็คือท่านตาของกู้อิ๋ง
หวังซู่เหนียงกลัวแม่ทัพเฒ่าผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร เพราะนางมักจะรู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้าของเขา หากไม่ใช่เพราะนายหญิงเว่ยซื่อได้สั่งเอาไว้ว่าต้องพากู้เจิงและบุตรเขยไปพบแม่ทัพเฒ่าสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางพามาเด็ดขาด
แม้แม่ทัพเฒ่าฉางผิงโหวจะอายุหกสิบกว่าปีแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังแข็งแรงกำยำ ยามที่ดวงตาเฉียบคมของเขากวาดมองเสิ่นเยี่ยนและกู้เจิง ก็แฝงกลิ่นอายเยือกเย็นดั่งผู้ที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน
เมื่อเทียบกับหวังซู่เหนียงแล้ว กู้เจิงกลับมีท่าทีสงบนิ่งกว่ามาก หลังจากทำความเคารพตามมารยาทแล้ว นางเอ่ยก็ทักทายแม่ทัพเฒ่าพร้อมยิ้มน้อยๆ “เจิงเอ๋อร์คารวะท่านตาเ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้หน้าตางดงามกว่าอิ๋งเอ๋อร์เสียอีกนะ” ฉางผิงโหวเอ่ยกับนายหญิงเว่ยซื่อ พอเขายิ้มขึ้นมา กลิ่นอายสังหารเยือกเย็นก็หายวับไป เขากลายเป็ชายชราที่ใจดีและเป็มิตรแทน
คำชมของฉางผิงโหวทำให้กู้เจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เว่ยซื่อเองก็ยิ้มบางๆ เหมือนกัน
“นี่คงเป็บุตรเขยใหญ่ใช่หรือไม่?” สายตาของฉางผิงโหวจับจ้องไปยังเสิ่นเยี่ยน “ผู้มากด้วยความสามารถ ช่างมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดาจริงเชียว”
“ท่านตาชมเกินไปแล้วขอรับ” เสิ่นเยี่ยนประสานมือคารวะ
“ชมเกินไปอะไรกัน? ข้าบอกว่าเ้าดี ก็คือเ้าดี” ฉางผิงโหวกล่าวด้วยความชื่นชม
“ขอบคุณท่านตาที่ชมขอรับ”
ฉางผิงโหวหัวเราะร่วน เขาหันไปพูดกับเว่ยซื่อว่า “บุตรเขยใหญ่ของเ้าคนนี้ถูกใจข้านักเชียว”
เมื่อเห็นฉางผิงโหวดูจะชอบกู้เจิงและเสิ่นเยี่ยน กู้หงหย่งก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ พ่อตาคนนี้ยิ่งแก่ชราก็ยิ่งเอาใจยาก คิดไม่ถึงว่าเสิ่นเยี่ยนจะเข้าตาเขาได้
“ไม่เหมือนเ้า กู้หงหย่ง ชอบทำทีเป็สุภาพอ่อนน้อม ทั้งๆ ที่มองตัวเองสูงส่งเหลือเกิน เ้ายิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ดูปลอมมากเท่านั้น” ฉางผิงโหวพูดเสียดสีกู้หงหย่งอย่างไม่ชอบใจ
ใบหน้าของกู้หงหย่งมืดครึ้ม เขากับท่านพ่อตาไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยเข้ากันได้เลย
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนมองหน้ากัน ต่างเห็นรอยยิ้มในดวงตาจากอีกฝ่าย
“ท่านพ่อ เด็กๆ ยังอยู่นะเ้าคะ" เว่ยซื่อเอ่ยเตือนบิดาของนางเบาๆ
“กลัวอะไร? ความจริงใจของเขานั้น ใครบ้างจะไม่รู้? ถึงเ้าจะต้องไว้หน้าเขา แต่ข้าต้องกลัวอะไรกัน? เขาสิต้องกลัวข้า” ฉางผิงโหวแค่นเสียงเยาะเย้ย
เว่ยซื่อเห็นสีหน้าสามียิ่งทะมึนขึ้นเรื่อยๆ นางจึงเอ่ยกับบิดาอย่างจนปัญญาว่า “ท่านพ่อ วันนี้เป็วันมงคลของอิงเอ๋อร์นะเ้าคะ”
ฉางผิงโหวจึงเงียบลงได้ เขาโบกมือปัด “พอๆ ข้าจะไปดื่มสุราแล้ว” เขาเดินเข้ามาตบไหล่เสิ่นเยี่ยนเบาๆ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ร่างกายไม่เลว คราวหน้าไว้เรามาลองประมือกันสักหน่อย”
เสิ่นเยี่ยนอึ้งไป สมกับที่เป็แม่ทัพาุโ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเป็ผู้มีวรยุทธ เสิ่นเยี่ยนได้แต่รับคำตามมารยาท “ได้ขอรับ”
ทันทีที่ท่านแม่ทัพชราจากไป กู้หงหย่งก็กระแอมเบาๆ เขามองกู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนพลางกล่าวว่า “ที่เรียกพวกเ้ามาพบท่านพ่อตา ก็เพื่อจะได้แนะนำให้รู้จักกันสักหน่อย โดยเฉพาะเสิ่นเยี่ยน ไม่แน่ว่าวันหน้าเ้ากับบุตรเขยสามอาจจะต้องมีเื่รบกวนท่านพ่อตา”
“ข้าเคยพบท่านตาในค่ายทหารมาก่อนแล้วขอรับ ยามว่างท่านตามักจะมาประมือกับเหล่าทหารในค่ายบ่อยๆ ขอรับ” เสิ่นเยี่ยนกล่าว
หลังงานเลี้ยงอาหารกลางวัน กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนก็ไม่ได้รีบร้อนตรงไปที่จวนตวนอ๋องทันที พวกเขายังอยู่ช่วยงานที่จวนกู้จนเสร็จ ถึงค่อยไปที่จวนตวนอ๋องอย่างไม่รีบร้อน เพราะจวนอ๋องอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก
หลังจากเสร็จงานที่จวนกู้ เสิ่นเยี่ยนและกู้เจิงก็พากันเดินตามทางมาที่จวนอ๋อง กู้เจิงเดินคล้องแขนเสิ่นเยี่ยน และฉีกยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน เขาคุ้นเคยกับท่าทีใกล้ชิดของภรรยาแล้ว แต่กับผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาล้วนมองพวกพวกเขาทั้งคู่ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ชุนหงเดินตามหลังกู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนอยู่ก้าวหนึ่ง นางเห็นคุณหนูและท่านบุตรเขยใกล้ชิดสนิทสนมต่อกันเช่นนี้ในใจก็มีความสุขมาก นางเดินะโโลดเต้นอย่างลิงโลด จนเหลือบไปเห็นพ่อค้าเร่ที่ขายขนมอยู่ข้างทางจึงร้องอย่างตื่นเต้นว่า “คุณหนู ถังหูลู่เ้าค่ะ”
กู้เจิงจึงต้องหยุดลงเพื่อซื้อถังหูลู่ให้ชุนหง เพราะรู้ว่านางชอบขนมนี้มาก
“เ้าได้ยินเื่นี้หรือยัง? ลูกสาวภรรยาเอกของฟู่ป่อเจวี๋ยคนนั้นถูกจับได้ว่าแอบนัดพบกับพี่ชายที่เป็ลูกพี่ลูกน้อง” จู่ๆ เสียงซุบซิบนินทาก็ดังมาเข้าหูพวกกู้เจิง
“ช่างไร้ยางอายจริงๆ สังคมเรายิ่งเสื่อมถอยลงทุกวัน”
“ไม่ใช่ว่านางหมั้นหมายอยู่กับคุณชายรองหนิงหรอกหรือ?”
“ตระกูลฟู่ไม่ถูกกับตระกูลหนิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ฝีเท้าของกู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนชะงักไป เสียงนินทานี้ดังมาจากคนกลุ่มหนึ่งในร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง
กู้เจิงกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดกับสามีว่า “พวกเราไปแวะดื่มน้ำที่ร้านนั้นกันเถอะเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้าเข้าใจความนัย เขารู้ว่าภรรยาอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพูดกัน
ทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะหนึ่ง เ้าของร้านรีบเข้ามาต้อนรับ แม้พวกนางจะสั่งแค่เพียงน้ำดื่ม แต่เถ้าแก่เ้าของร้านก็ไม่มีท่าทีเมินเฉยใส่เลย เขารีบกระตือรือร้นยกน้ำมาให้พวกนางทันที
เสียงพูดคุยจากคนกลุ่มนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “คุณชายรองหนิงแม้จะอายุยังน้อย แต่ได้ยินมาว่าเป็ผู้มีอนาคตไม่น้อย ส่วนทางญาติผู้พี่ของตระกูลฟู่คนนั้น ข้าได้ยินมาว่าเป็เพียงพ่อค้า อีกทั้งฐานะครอบครัวในตอนนี้ก็ตกต่ำลงมาก”
“แต่เดิมทุกคนล้วนเห็นอกเห็นใจคุณหนูฟู่คนนั้น แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว นางคงไม่ใช่คนดีอะไร”
หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค พวกเขาก็เปลี่ยนเื่คุยกัน
กู้เจิงก้มหน้าดื่มน้ำพร้อมครุ่นคิด ยากจะเชื่ออยู่บ้าง ว่าฟู่ผิงเซียงผู้คนนั้นจะออกไปนัดกับญาติผู้พี่ได้?
“ท่านพี่ ท่านว่าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็ความจริงหรือไม่เ้าคะ?” กู้เจิงถามสามี
เสิ่นเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ แต่ถ้าเื่ที่นางทำเป็เื่ผิด นางก็ควรต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง"
ชุนหงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเสิ่นเยี่ยน
ที่หน้าประตูจวนตวนอ๋องเต็มไปด้วยเกี้ยวของขุนนางผู้สูงศักดิ์มากมาย พ่อบ้านว่านและบ่าวรับใช้ล้วนยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าประตูจวน
“ใต้เท้าเสิ่นกับฮูหยินน้อยมาแล้ว” พ่อบ้านว่านเอ่ยทักเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงอย่างเป็มิตร
“พ่อบ้านว่าน วันนี้ดูท่างานจะหนักจริงๆ” กู้เจิงก็เอ่ยทักทาย
“วันมงคลของท่านอ๋อง พวกเราที่เป็บ่าวจะทำงานหนักก็สมควรแล้วขอรับ ทุกคนล้วนดีใจมากที่พระชายาของท่านอ๋องคือน้องสามของท่าน” ท่าทีเป็กันเองของพ่อบ้านว่านทำให้กู้เจิงรู้สึกเป็กันเองไปด้วย
ในจวนอ๋องมีขุนนางใหญ่โตมารวมตัวกันมากมาย กู้เจิงเป็เพียงฮูหยินของขุนนางขั้นหกเล็กๆ นางจึงไม่กล้ามองคนเหล่านี้ตรงๆ พอเข้าไปในห้องโถงใหญ่นางก็ถูกแยกจากเสิ่นเยี่ยน นางเดินตามสาวใช้ที่พานางไปยัง ‘หออิ๋งจวง’
ก่อนหน้านี้ปาเม่ยเคยพานางมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว หออิ๋งจวงเป็ถือเป็เรือนหอของพระชายาและท่านอ๋อง ตัวเรือนถูกก่อสร้างขึ้นมาอย่างปราณีตและงดงาม ภายในมีทางเดินยาวและมีศาลาชมสวนตามมุมต่างๆ มีบึงน้ำที่ถูกเชื่อมด้วยสะพานหินหยกซึ่งแกะสลักอย่างเรียบง่ายทว่างดงาม เรือนเล็กที่นางเดินผ่านมาก็ดูเล็กกะทัดรัดและประณีต มีเหล่าสาวใช้ในเรือนเดินเข้าๆ ออกๆ ส่งเสียงหัวเราะเบิกบานดังแว่วมา