อันเจิงยืนอยู่ที่หน้านิกายเบิก์เป็เวลานานร่างผอมบางของเขาราวกับต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่อย่างเดียวดาย
เขาดันประตูนิกายเบิก์ออก ผู้เฒ่าฮั่วจึงรีบลุกขึ้นแล้วพยายามจะรั้งร่างของเขาเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน
เจินจวงปี้ซ่อนอยู่นานกว่าจะกล้าออกมาเขาเดินไปที่ศพไร้หัวของเชียวจ่างเฉิน จากนั้นก็ด่าทอออกมา “ช่างชั่วช้ายิ่งนัก”
เมื่อเห็นว่าอันเจิงกำลังก้าวเข้ามาทางนี้ เจินจวงปี้ก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยเขาก้มหน้าลงไปมองของในมืออยู่ครู่หนึ่งจึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมานั่นเป็สิ่งที่มู่ฉางเยียนทิ้งเอาไว้นั่นเอง ว่ากันว่ามันเป็ของที่มาจากแคว้นเยี่ยน เป็ของที่ทรงอำนาจมากชิ้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจินจวงปี้เคยศึกษาวิธีใช้มันมาก่อนและในอดีตเขาก็เคยขอยืมสิ่งนี้กับเชียวจ่างเฉินอยู่หลายครั้งแต่เชียวจ่างเฉินก็ไม่อนุญาตเสียที...
อันเจิงเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วร่างที่ไม่สูงนักของอันเจิงกลับเป็เหมือนกับเทือกเขาขนาดใหญ่ที่กำลังขยับเข้ามาและทับให้เจินจวงปี้รู้สึกหายใจไม่ออก
“เ้า...กำลังจะทำอะไรน่ะ!”เจินจวงปี้ะโขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่า
“ฆ่าเ้าอย่างไรเล่า”
อันเจิงบอก “เชียวจ่างเฉินบอกข้าว่าอย่าลงมือในตอนที่คนพวกนั้นยังอยู่ เพราะข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”
แม้จะมีสมบัติวิเศษชิ้นนั้นอยู่แต่เจินจวงปี้ก็ยังถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งอยู่ดี “เ้าคิดว่าถึงตอนนี้แล้ว เ้าจะยังขู่ข้าได้อีกรึ?”
เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆอันเจิงก็หยุดลงอย่างกะทันหัน แล้วเดินกลับไปที่นิกายเบิก์อีกครั้ง
เจินจวงปี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเ้าไม่กล้าหรอก ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปเมื่อไม่มีเ้าชั่วเชียวจ่างเฉินคอยคุ้มกะลาหัวแล้วพวกเ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุขอีกเลย ข้าจะขายพวกเ้าให้พวกเ้าไปเป็ทาส ส่วนผู้หญิงก็ขายไปเป็นางโลมให้หมด”
อันเจิงเดินกลับไปที่นิกายเบิก์ จากนั้นก็เคาะระฆังขึ้น
ตู้โซ่วโซ่วกับคนอื่น ๆ ยังนอนหลับอยู่เมื่อได้ยินเสียงระฆังพวกเขาก็พากันตื่นขึ้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตู้โซ่วโซ่วขยี้ตาตัวเองพลางเดินออกมาด้านนอก เขาเป็คนสุดท้ายที่มาถึงแม้แต่เสี่ยวชีเต้าก็ยังมาเร็วกว่าเขามาก
อันเจิงยืนอยู่ที่หน้าประตูพลางมองมาที่คนทั้งหลายด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
กู่เชียนเยว่ดันหน้าต่างให้เปิดออกเพราะอยู่ในชุดนอน ร่างของนางจึงดูเพรียวลงไปมาก และในตอนนี้นางก็รู้สึกสงสัยเหลือเกินว่าทำไมอันเจิงต้องเคาะระฆังกลางดึกเช่นนี้ด้วย
“มีเื่หนึ่งที่ข้า้าความเห็นจากพวกเ้า”
อันเจิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เดิมทีข้าคิดจะทำตามแผนที่เราเคยวางเอาไว้ คืออีกสามปีค่อยเดินทางไปที่เมืองหลวงของแคว้นเยี่ยนเพราะมารดาของเสี่ยวชีเต้าเคยบอกเอาไว้ว่าอย่ารีบร้อนไปที่นั่น แต่มาตอนนี้ข้าจำเป็ต้องหารือเื่นี้กับพวกเ้าอีกครั้ง เพราะหลังจากคืนนี้พวกเราต้องไปจากโลกมายาแล้วข้าคิดจะไปเมืองฟางกู้แห่งแคว้นเยี่ยน แต่หากพวกเ้ายังไม่พร้อมเช่นนั้นข้าก็จะล้มเลิกความคิดนี้ พวกเราไปที่อื่นกันก็ได้”
ชวีหลิวซียังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ แต่นางก็รับรู้ได้ถึงความจริงจังของอันเจิง“ข้าจะทำตามการตัดสินใจของเ้า แต่เราก็ต้องฟังความเห็นจากเสี่ยวชีเต้าด้วย”
เสี่ยวชีเต้าพยักหน้า “แม้ไม่รู้ว่าพี่ชายอันเจิงจะทำอะไรแต่ท่านว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามนั้น ไม่ว่าพี่ชายอันเจิงจะตัดสินใจอย่างไรข้าก็จะยอมทำตามทุกอย่าง”
ผู้เฒ่าฮั่วดึงแขนของอันเจิงเอาไว้“เ้าทำไม่ได้แน่”
อันเจิงส่ายหน้า “ข้าทำได้...แม้ข้ายังไม่ได้รับปากเชียวจ่างเฉินแต่เขาบอกบางอย่างกับข้าก่อนตาย บอกให้ข้าเข้าร่วมเป็ทหารแห่งแคว้นเยี่ยน เดิมทีข้าไม่คิดจะทำตามอยู่แล้วแต่มาตอนนี้ ข้าจำต้องเริ่มคิดแล้วจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าแม่นางเยว่ไม่อยากให้คนจากแคว้นเยี่ยนรู้เื่ฐานะของเสี่ยวชีเต้าแต่ตอนนี้เชียวจ่างเฉินก็ตายลงแล้ว หลังรู้เื่นี้คนของแคว้นเยี่ยนต้องส่งคนมาสืบเื่นี้อย่างแน่นอน ซึ่งพวกเขาอาจสืบเจอหรืออาจไม่เจอก็ได้”
เขาพูดอย่างเชื่องช้า “แต่ต่อให้จะไม่ทำเพื่อเสี่ยวชีเต้าข้าก็ต้องไปอยู่ดี เพียงแต่...ไม่จำเป็ต้องเป็เมืองฟางกู้ อาจเป็ที่อื่นก็ได้”
ไม่มีใครเข้าใจว่าอันเจิงเป็อะไรไป จนกระทั่งพวกเขาได้ยินข่าวเื่การตายของเชียวจ่างเฉิน
“ตอนนี้ พวกเ้าคิดเื่นี้กันไปก่อน”
อันเจิงหมุนตัวแล้วเดินออกไปทันที“เมื่อข้ากลับมา หวังว่าพวกเ้าจะได้ข้อสรุป แต่หากข้าไม่ได้กลับมา โซ่วโซ่ว...เ้าพาพวกเขาไปจากที่นี่ซะ”
“เ้าจะไปทำอะไรรึ?” ตู้โซ่วโซ่วะโถามเสียงดัง
อันเจิงโบกมือขึ้นพลันกระดิ่งแก้วก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
“ฆ่าคน หรืออาจถูกฆ่า”
เขาเดินออกไปจากนิกายเบิก์อีกครั้ง จู่ๆ เสี่ยวช่านก็วิ่งมาจากที่ไกล ๆ ราวกับััได้ว่าผู้เป็นายกำลังคิดอะไรอยู่ มันะโขึ้นไปนั่งอยู่บนบ่าของอันเจิงก่อนหนึ่งแมวหนึ่งคนจะเดินตรงไปที่หอสมุดมายา
“พาพวกเขาเข้าไปในตราประทับท้าทาย์”
อันเจิงสั่งทิ้งท้ายเอาไว้ จากนั้นก็โยนกุญแจของตราประทับท้าทาย์ไปให้ผู้เฒ่าฮั่วรับกุญแจนั่นเอาไว้ จากนั้นก็พาทุกคนเข้าไปในตราประทับท้าทาย์ทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ตู้โซ่วโซ่วกับคนอื่น ๆ พุ่งตามอันเจิงไปมีเพียงกู่เชียนเยว่เท่านั้นที่ยังนอนฟุบอยู่ที่หน้าต่าง หลังชะงักไปเล็กน้อย นางก็ะโออกมาจากห้องแล้ววิ่งไปที่ประตู...
อันเจิงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง“ดูเหมือนจะโง่ไปหน่อย ยังไม่ได้แก้แค้นเลยนะ”
“แต่นี่คงจะเป็ตัวข้าละนะ”
เขาเดินไปพลางกรีดนิ้วมือจนเกิดแผลไปด้วยจากนั้นก็ใช้เืจากาแแต้มสร้อยลูกประคำโลหิต โดยถือปิ่นแมลงปอทับทิมเอาไว้ที่มือขวาและถือกระดิ่งแก้วเอาไว้ที่มือซ้าย
ทางด้านของหอสมุดมายา บัดนี้สีหน้าของเจินจวงปี้แลดูย่ำแย่เหลือเกินเขาถือดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ มันเป็ดาบยาวที่แลดูธรรมดาเป็อย่างมากมู่ฉางเยียนเคยบอกว่า ที่แคว้นเยี่ยนมีดาบวิเศษอยู่ทั้งหมดเก้าเล่มด้วยกันและดาบนี้ก็ถูกจัดให้อยู่ในอันดับเจ็ด
ดาบนี้มีนามว่าต้วนหลี
“เ้ารนหาที่ตายเองนะ”
เจินจวงปี้หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “มีพลังแค่ในขอบเขตจุติ์แท้ๆ กลับกล้ามาท้าทายข้า เดิมทีข้ายังคิดว่า ด้วยตำแหน่งและฐานะของข้าหากลงมือสังหารเ้าด้วยตนเอง อาจทำให้ถูกเย้ยหยันว่ารังแกเด็กได้แต่ในเมื่อเ้ามาหาที่ตายเองเช่นนี้ งั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
อันเจิงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูของหอสมุดมายาจากนั้นก็มองดูศิษย์ของหอสมุดที่กำลังล้อมเข้ามา “พวกเ้าไปซะเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าไม่เว้น”
เมื่อได้ยินดังนั้นกลุ่มคนบ้างก็หวาดกลัวบ้างก็หัวเราะเย้ยหยัน
“อันเจิง เ้าคิดว่าตัวเองเก่งมากหรืออย่างไร?สุดท้ายแล้ว เ้าก็เป็แค่ผู้ฝึกตนที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์เท่านั้นแต่รองอาจารย์ใหญ่ของเรา ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสุมารุั้แ่หลายปีก่อนแล้วต่อให้จะมีเ้าเป็พัน ๆ คน ก็ทำอะไรท่านไม่ได้หรอก”
“เ้าคนโอหังหากเ้าคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตละก็ ไม่แน่ว่า ท่านรองอาจารย์ใหญ่อาจให้โอกาสเ้าได้มีชีวิตต่อก็ได้”
เจินจวงปี้ลองชั่งน้ำหนักดาบต้วนหลีในมืออยู่ครู่หนึ่งซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมาก “เ้าคิดดีแล้วรึ?แม้กระดิ่งแก้วของเ้าจะแข็งแกร่งมากก็จริงแต่แค่ต้านการโจมตีของเ้าได้หนึ่งครั้ง ข้าก็สังหารเ้าได้ในเสี้ยววินาทีแล้ว”
อันเจิงสูดหายใจเข้าลึกเขาถามตัวเองอีกครั้งว่าตนประมาทเกินไปหรือไม่ และเขาก็ได้รับคำตอบกลับมา...ถูกต้องเขาประมาทเกินไปจริง ๆ ในโลกใบนี้ ยังไม่เคยมีผู้ฝึกตนที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์คนไหนกล้าไปท้าประลองกับผู้ฝึกตนในขอบเขตสุมารุเลย ความแตกต่างของพลังในขอบเขตจุติ์กับขอบเขตสุมารุก็ไม่ต่างไปจากน้ำหยดเดียวกับน้ำทั้งบึง มันแตกต่างกันราวกับหินก้อนเล็ก ๆกับูเาทั้งลูกเลยก็ว่าได้
หากท้าประลองกันได้ง่าย ๆ แล้วจะแบ่งขอบเขตพลังเพื่ออะไร
อันเจิงรู้ดีว่าตนประมาทเกินไปแต่เขาก็ทำไปด้วยสติและคิดดีแล้วเช่นกัน เพราะหากเขาไม่ลงมือก่อน เจินจวงปี้ก็ต้องเป็ฝ่ายลงมืออยู่ดีเจินจวงปี้ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปแน่ ๆ ดังนั้นที่เขาทำไปครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเชียวจ่างเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้นแต่เขาทำเพื่อทุกคน ทำเพื่อตัวเองด้วย
นี่ไม่ใช่การประลองข้ามขอบเขตพลังวัตร แต่เป็การรนหาที่ตายต่างหาก
“เ้าโง่เอ๊ย!”
กู่เชียนเยว่ร้องด่าก่อนจะจับของในมือแน่นั้แ่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า นางยังไม่เคยใช้เ้าสิ่งนี้มาก่อนเลยเ้าสิ่งนี้มีขนาดเล็กมาก ในยามปกติ นางมักจะสวมมันห้อยคอและซ่อนเอาไว้ใต้เสื้อ
อันเจิงรู้ดีว่าสิ่งที่เจินจวงปี้พูดมาเป็ความจริงเขามีโอกาสโจมตีได้แค่ครั้งเดียวจริง ๆ นั่นแหละหากกระดิ่งแก้วสามารถสังหารเจินจวงปี้ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั่นย่อมเป็จุดจบที่ดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้ละก็ เจินจวงปี้ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่
พลังของทั้งสองแตกต่างกันมากเกินไป
นี่เป็การต่อสู้ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ั้แ่เชียวจ่างเฉินสิ้นใจ อันเจิงก็ไม่มีทางเลือกอีกต่อไปแล้ว
“ไอ้กระจอกเอ๊ย แม้เ้าจะโง่มากก็จริงแต่หลังเ้าตายชื่อของเ้าคงถูกพูดถึงไปอีกนาน แต่ในฐานะคนที่โง่ที่สุดในโลกนะทั้งที่มีพลังอยู่แค่ขอบเขตจุติ์แต่กลับกล้ามาท้าประลองกับข้า?”
เจินจวงปี้หัวเราะเสียงดังลั่น “ตอนนี้ข้ามีดาบต้วนหลีอยู่ในมือแล้ว มันทรงพลังมากจนกระดิ่งแก้วของเ้าอาจรับไม่ไหวเลยล่ะ”
ในตราประทับท้าทาย์ ผู้เฒ่าฮั่วถูกเขย่าจนร่างแทบจะแยกออกจากกันอยู่แล้ว
“อย่าเพิ่งใจร้อนกันจนเกินไปอันเจิงอาจไม่แพ้ก็ได้”
ผู้เฒ่าฮั่วรู้ดีว่าคำปลอบใจของตนช่างไร้น้ำหนักเหลือเกินชวีหลิวซีกับคนอื่น ๆ ไม่มีทางเชื่อแน่ แต่สำหรับผู้เฒ่าฮั่ว เขาคิดแบบนั้นจริง ๆคิดว่าอันเจิงอาจชนะก็ได้ ถูกต้อง...แม้อันเจิงจะมีพลังอยู่แค่ขอบเขตจุติ์แต่เขาเป็คนที่ดวงดีมาก เป็ดวงที่ดีจนกระทั่งตอนนี้ผู้เฒ่าฮั่วก็ยังทำความเข้าใจกับมันไม่ได้เลยทั้งที่เป็แค่มือใหม่ด้านการฝึกพลังวัตร ทั้งที่เพิ่งเริ่มฝึกพลังแท้ ๆ แต่กลับมีสมบัติวิเศษระดับสูงอยู่มากมายเหลือเกิน
ช่างน่าประหลาดเสียจริง ประหลาดจนผู้เฒ่าฮั่วหาคำอธิบายไม่ได้เลยสมบัติวิเศษที่อยู่ในระดับสีม่วงจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็ของตัวเองหากจะว่ากันตามปกติ เป็ไปไม่ได้เลยที่ของในระดับนี้จะเลือกคนที่มีพลังวัตรต่ำต้อยมาเป็เ้านายหรือต่อให้จะได้รับมา สมบัติวิเศษก็ไม่ยอมรับในฐานะเ้านายอยู่ดี
ปิ่นแมลงปอทับทิม สร้อยลูกประคำโลหิตเกล็ดมัจฉา ผ้าฟู่หมัวแล้วไหนจะกระดิ่งแก้วนั่นอีก หากนำของเหล่านี้มารวมกันมูลค่าของพวกมันก็มากมายจนแม้แต่แคว้นเล็ก ๆ ก็ยังไม่มีปัญญาจ่าย
ที่ประตูทางเข้าหอสมุดข้างศพไร้หัวของเชียวจ่างเฉิน
อันเจิงสูดหายใจเข้าลึกเป็ครั้งที่สามจากนั้นก็หันไปโค้งคำนับศพของเชียวจ่างเฉินหนึ่งครั้ง“ขอบคุณที่ท่านช่วยดูแลใน่ที่ผ่านมา แม้ข้าจะไม่ได้รับปากในสิ่งที่ท่านขอแต่ข้าจะทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน”
เขาลุกขึ้นยืนจากนั้นก็มองไปที่เจินจวงปี้
เจินจวงปี้รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาเย้ยหยันและหัวเราะเยาะอันเจิงมาโดยตลอดก็จริง แต่ความจริงแล้ว ลึก ๆ เขากลับรู้สึกไม่มั่นใจเลยสักนิดแทนที่จะบอกว่ากำลังเยาะเย้ยอันเจิง ให้บอกว่าเขากำลังให้กำลังใจตัวเองยังจะถูกต้องมากกว่าอันเจิงเป็แค่ผู้ฝึกตนมือใหม่ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์เท่านั้นไยต้องกลัวด้วย? เขากำลังกลัวอะไรอยู่? กำลังกลัวอะไร?
กลัว
สุดท้ายก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี
เจินจวงปี้สูดหายใจเข้าลึกตามอันเจิงและในที่สุดเขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาเป็ฝ่ายเริ่มลงมือก่อนแล้ว
แต่เขาเสียแขนไปข้างหนึ่ง ซึ่งสำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาแล้วนั่นสามารถสร้างผลกระทบที่มากจนไม่อาจประเมินได้เลยทีเดียว นอกจากนี้เืของเขายังได้รับความเสียหายรุนแรงอีก และขณะต่อสู้กับกู่ซาเขาก็เสียพลังไปมากดังนั้น ด้วยพลังที่มีในตอนนี้ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะต้านการโจมตีจากกระดิ่งแก้วได้หรือไม่ต่อให้เขาจะมีดาบต้วนหลีอยู่ในมือก็เถอะ
แสงกระบี่ที่เย็นะเืสว่างวาบขึ้น...เจินจวงปี้เริ่มลงมือแล้ว
สายฟ้าระลอกหนึ่งส่องประกายขึ้นในยามราตรี
เสียงคำรามแห่งัดังแว่วอยู่บนนภา
ดาบนั้นพุ่งเข้ามาหาอันเจิงในเสี้ยววินาทีเขาไม่มีเวลาให้ป้องกันเลยสักนิด แม้เขาจะตอบสนองได้เร็วมากแล้วก็เถอะแต่อย่างไรเสียพลังของทั้งสองก็ยังแตกต่างกันอยู่ดี
ผู้ฝึกตนในขอบเขตสุมารุขั้นสี่สามารถสังหารอันเจิงที่มีพลังวัตรเพียงขอบเขตจุติ์ขั้นสามได้ง่าย ๆราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
เมื่อดาบพุ่งมาประชิด ชีวิตย่อมสิ้น
อันเจิงมองเห็นดาบของเจินจวงปี้ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาแต่ในตอนที่เขาเตรียมจะป้องกัน ดาบก็พุ่งเข้ามาประชิดเสียแล้ว
เสี้ยววินาทีก่อนที่ดาบจะถูกแทงเข้าไปที่กลางอกของอันเจิง จู่ ๆ ลูกประคำเม็ดหนึ่งจากสร้อยลูกประคำโลหิตของเขาก็มีประกายแสงออกมามันเป็ลูกประคำเม็ดที่สี่นั่นเอง...
เกล็ดมัจฉาปรากฏออกมาจากลูกประคำเม็ดนั้นและมาบังร่างของอันเจิงเอาไว้
แต่แม้จะต้านคมดาบเอาไว้ได้แล้วแต่กลับต้านพลังในการโจมตีจากดาบเอาไว้ไม่ได้ เกล็ดมัจฉาพุ่งกลับไปทางด้านหลังทำให้กระแทกเข้ากับหน้าอกของอันเจิงอย่างแรง เขารู้สึกเจ็บราวกับร่างกายกำลังจะแยกออกจากกันเลยทีเดียวหากไม่ใช่เพราะเกล็ดมัจฉาดูดซับพลังโจมตีไปมากกว่าครึ่งแล้วละก็อันเจิงคงกลายเป็เนื้อบดไปแล้ว นี่เป็การโจมตีที่ต่างระดับกันอย่างสิ้นเชิงพลังของเขากับคู่ต่อสู้แตกต่างกันมากเกินไปอันเจิงรู้ดีว่าตนมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ความจริงแล้วไม่มีทางที่ตนจะสู้อีกฝ่ายได้เลย
ถูกต้อง ไม่มีทาง...
แต่เขาก็ไม่จำเป็ต้องสู้...
เพราะในตอนนั้นเอง จู่ ๆโชคชะตาก็ะเิความพิศวงออกมาอีกครั้ง สำหรับอันเจิง นี่ถือเป็โชคช่วยแต่สำหรับศัตรู นี่ก็เป็ได้เพียงความซวยของพวกเขาเท่านั้น
หากเจินจวงปี้ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกแม้เพียงเสี้ยววินาทีละก็เขาต้องโกรธจนหัวใจวายตายแน่
แต่ก็ไม่...เพราะเขาตายอย่างไม่ทันตั้งตัว
เพราะเกล็ดมัจฉาต้านดาบต้วนหลีเอาไว้ดาบต้วนหลีจึงไม่อาจแทงทะลุออกมาได้ เจินจวงปี้ใกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะะเิโทสะออกมาครั้งใหญ่ เขาขับเคลื่อนพลังทั้งหมดที่มี ด้วยหวังว่าจะบดขยี้ร่างของอันเจิงด้วยพลังวัตรของเขานั่นเองแต่ทันใดนั้น กระดิ่งแก้วก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็ระฆังั์แล้วครอบร่างของอันเจิงเอาไว้อย่างมิดชิด ทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายคว้าน้ำเหลวอีกครั้งเจินจวงปี้ะเิความเกรี้ยวโกรธขึ้น แล้วขับเคลื่อนพลังทั้งหมดในร่างกายออกมาและในตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยแสงระยิบระยับราวกับดวงดาว
เสี่ยวช่านแหงนหน้าแล้วคำรามขึ้นฟ้าดังลั่นไม่ใช่เสียงร้องของแมว แต่เป็เสียงคำรามของพญาราชสีห์ต่างหาก
ภาพของพญาราชสีห์ตัวใหญ่สีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศก่อนกรงเล็บของมันจะตะปบมาที่ใบหน้าของเจินจวงปี้อย่างแรง เจินจวงปี้ร้องโหยหวนเสียงดังลั่นร่างของเขาถูกเหยียบให้นอนแนบอยู่บนพื้นดินเป็ที่เรียบร้อยแล้ว เสี่ยวช่านเก็บปิ่นแมลงปอทับทิมที่อันเจิงทำหล่นลงบนพื้นขึ้นมาก่อนจะะโขึ้นไปในอากาศ...ราชสีห์กำลังกดร่างของเจินจวงปี้เอาไว้ส่วนแมวน้อยก็คาบปิ่นแมลงปอทับทิมพุ่งตรงเข้าไป
ปิ่นแมลงปอทับทิมถูกแทงออกไป
เ้าแมวน้อยล้มยวบอยู่บนศพของเจินจวงปี้อย่างหมดแรงในที่สุด
ศิษย์ของหอสมุดมายาที่มามุงดูอยู่รอบ ๆ ต่างตกตะลึงพวกเขาร่างแข็งทื่อ ไม่มีใครสามารถขยับร่างกายได้เลยพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เดิมที สิ่งที่พวกเขากำลังรอชมเป็ภาพของอันเจิงที่ถูกเล่นงานจนร่างแยกแต่กลับมาเห็นเจินจวงปี้ถูกแมวสีขาวฆ่าตายเสียอย่างนั้น
นั่นเป็แมวรึ?เป็แค่แมวที่ยังมีอายุน้อยจริง ๆ รึ?
เสี่ยวช่านส่งเสียงร้องออกมาก่อนจะหมดสติไปราวกับกำลังร้องเรียกเพื่อนเก่าอยู่เช่นนั้น ราชสีห์สีขาวหายไปแล้วทว่าผ้าฟู่หมัวกลับปรากฏขึ้นแทน...ผ้าฟู่หมัวที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับดวงตากงล้อเก้าภพพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วมันตัดหัวของเจินจวงปี้ออกมาจากร่าง ก่อนจะหมุนวนขึ้นไปในอากาศ ทำให้เกิดพายุหมุนขึ้นในเสี้ยววินาทีไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนตายกี่คน และแขนขาขาดเพราะพายุนี้ไปมากขนาดไหน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้