หลี่เสียงเป็คนหน้าทนมาก ถ้าเฉินเฟิงบอกเขาว่าตนเองเปิดบริษัทและหลิ่วอีอีเป็ภรรยาของเขาละก็ เื่คงจะน่ารำคาญไม่น้อย!
ถ้าเขารู้เื่ทั้งหมด ดีไม่ดี พวกคนตระกูลหลี่คงแบกหน้าไปขอยืมเงินบ้านเฉินเฟิงเป็ประจำแน่
แต่เฉินเฟิงโกหกไปว่า หลิ่วอีอีคือหัวหน้าที่มาสำรวจพื้นที่ ปัญหาทั้งหลายจะได้ไม่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น คำโกหกนี้ยังทำให้หลี่เสียงเกรงใจเฉินเฟิงอีกด้วย
เพราะเฉินเฟิงเป็คนในหมู่บ้าน ส่วนเ้านายสาวสวยคนนี้ก็เล็งเห็นทรัพยากรและการพัฒนาหมู่บ้าน
หากเฉินเฟิงรายงานหัวหน้าว่า หมู่บ้านไม่เหมาะกับการพัฒนาเป็บ้านพักตากอากาศสำหรับการท่องเที่ยว ความหวังที่จะกอบโกยเงินเข้าหมู่บ้านก็จะดับไป
หลี่เสียงสูญเสียพ่อผู้เป็ผู้ใหญ่บ้านไปเมื่อต้นปี ตอนนี้เขาก็เป็เพียงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง
แต่เขาก็ยังใฝ่ฝันอยากรวยทางลัด
ตอนนี้!
ทางลัดสู่ความร่ำรวยขึ้นอยู่กับเฉินเฟิง
ดังนั้นหลี่เสียงจึงเร่งให้เฉินเฟิงรีบส่งหัวหน้ากลับ อย่าปล่อยให้เธอรอนาน
หลังจากฟังคำพูดของหลี่เสียง เฉินเฟิงก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"งั้นฉันจะไปส่งหัวหน้ากลับก่อน เื่พ่อแม่ในหมู่บ้านยังไงก็ฝากนายดูแลด้วยนะ..."
ทันทีที่พูดจบ เฉินเฟิงก็หันไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารแล้วนั่งลง
หลิ่วอีอีที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับปิดกระจกทั้งหมดและเหยียบคันเร่งออกไปทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น รอยยิ้มของหลี่เสียงก็กระตุก
เขาไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
อิหยังวะ?
เฉินเฟิงเป็คนขับรถไม่ใช่เหรอ? เขาพาเธอมาตรวจสอบพื้นที่ในหมู่บ้าน
แต่ทำไมเมื่อกี้กลายเป็หัวหน้าสาวสวยคนนั้นเป็คนขับรถแทนล่ะ แล้วเฉินเฟิงกลับนั่งเหมือนเป็หัวหน้าอยู่ที่เบาะข้างคนขับ?
สรุปเป็ยังไงกันแน่
หลี่เสียงตกอยู่ในความงุนงงจากแผนการของเฉินเฟิง เขายืนมองรถยี่ห้อฮงฉีแล่นห่างไกลออกไป
"สามี คิดว่าเฉินเฟิงพูดจริงไหม?"
แม้ว่าภรรยาของหลี่เสียงจะเรียนไม่เก่ง แต่เธอกลับมีสติมากกว่าหลี่เสียงที่งุนงง
"มันจะไม่จริงได้ไง? เฉินเฟิงไม่มีทางเป็หัวหน้าหรอก!"
หลี่เสียงยังคงยึดติดกับความคิดเดิมๆ ว่าหลิ่วอีอีคือหัวหน้า ส่วนเฉินเฟิงเป็คนขับรถ
"อีกสองสามวันก็รู้แล้วว่าหมู่บ้านจะมีการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศหรือเปล่า..."
ภรรยาของหลี่เสียงพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
ตัดกลับมาภายในรถ หลิ่วอีอีแสดงท่าทางไม่พอใจ
"จำเป็ต้องหลอกให้เขาเชื่อ หรือให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับเพื่อนเก่าแบบนั้นด้วยรึไง?!"
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฟิงเก็บความตื่นเต้นที่ได้เล่นตลกกับหลี่เสียงไว้ ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ถึงเมื่อกี้ฉันจะแค่หยอกเขาเล่นนิดๆ หน่อยๆ แต่บริษัท 'เฟิงฮวาเจว๋ต้าย' ของเราก็ทำให้โครงการบ้านพักตากอาการสำหรับการท่องเที่ยวเป็จริงได้นี่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าผู้จัดการคนเก่งของเราจะเห็นว่าหมู่บ้านของฉันคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือเปล่า ถ้าคิดว่าไม่คุ้มก็ไม่ต้องทำ ไม่เป็ไรหรอก"
หลิ่วอีอีหัวเราะคิกคัก
"พวกเราเป็บริษัทด้านการเงิน แค่เื่ซื้อสิทธิ์พัฒนาอาคารต่อจากปี้หลงเยี่ยนก็เกือบจะเกินขอบเขตธุรกิจของพวกเราอยู่แล้ว ถ้ายังจะพัฒนาหมู่บ้านเป็แหล่งท่องเที่ยว คราวนี้ก็จะเกินขอบเขตธุรกิจของเราไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะ! เงินตั้งต้นหนึ่งล้าน ตอนนี้ก็ใช้ไปแปดแสนหนึ่งหมื่นแล้ว เงินสองแสนของฉันกับอีกแสนหนึ่งของหัวหน้าเว่ยคงหมุนในบริษัทได้อีกไม่นาน พวกเราต้องหาธุรกิจระยะสั้นสักอย่างเพื่อหาเงินมาหมุน"
หลิ่วอีอีคุ้นเคยกับการดำเนินงานของบริษัทมาั้แ่เด็ก แถมพอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเลือกเรียนด้านการเงินการลงทุนที่ส่งผลให้เธอมีความเชี่ยวชาญด้านนี้พอสมควร ดังนั้นแม้จะเพิ่งก่อตั้งบริษัทได้ไม่นาน แต่คำพูดของเธอก็มีเหตุผล
"ธุรกิจระยะสั้นสำหรับบริษัทการเงินของเรา ฉันให้พวกเธอสองคนจัดการเอา ส่วนฉันเตรียมจะก่อตั้งเฟิงฮวาเจว๋ต้ายกรุ๊ปเพื่อถือหุ้นบริษัทการเงินเฟิงฮวาเจว๋ต้าย นอกจากนี้ฉันได้ทำการเจรจากับบริษัทที่ดูมีอนาคตกว้างไกลอีกหลายบริษัท แล้วก็อย่าดูถูกอาคารสร้างไม่เสร็จสองหลังนั้นของปี้หลงเยี่ยนเชียว ในอนาคตข้างหน้า หอไข่มุกจะกลายเป็จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวชั้นยอด และเป็แลนด์มาร์กระดับโลกของเมืองโม๋ตูเรา ถึงเวลานั้น สิทธิ์ในการพัฒนาอาคารสองหลังนั่น ถึงจะแค่แปดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด แต่มันจะมีมูลค่ามหาศาล ถ้าพวกเธอไม่อยากพัฒนาเอง ก็ขายสิทธิ์การพัฒนาต่อให้บริษัทอสังหาเฉียนต๋าก็ได้ เชื่อเถอะว่าพอถึงเวลานั้น กำไรจะเพิ่มเป็ร้อยๆ เท่า ราคาแปดสิบล้านยังน้อยไปด้วยซ้ำ"
เฉินเฟิงพูดถึงแผนการในอนาคตของเขาอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิ่วอีอีก็มองดูเฉินเฟิงด้วยความเคลือบแคลงใจ
"ซื้อสิทธิ์มาแปดแสนหนึ่งหมื่น แล้วให้เฉียนต๋าต่อ แค่พลิกฝ่ามือแค่นี้จะทำกำไรเป็ร้อยเท่าได้จริงเหรอ?"
เฉินเฟิงพูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ
"วิธีคิดของเธอยังแคบไป จริงๆ แล้วนั่นก็เป็เหตุผลที่ฉันให้ผู้เฒ่าหวังซื้อสิทธิ์พัฒนาที่เหลืออีกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์และกรรมสิทธิ์ทั้งหมดอาคารสองหลังนั่น เพราะว่าความสัมพันธ์ของฉันกับเฉียนต๋าถือว่าแน่นแฟ้นกันที่สุด หากรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ได้ การร่วมมือหรือซื้อขายกันในอนาคตก็จะเป็ไปอย่างราบรื่น!"
หลังจากนั้น หลิ่วอีอีก็ขับรถไปเรื่อยๆ อย่างเงียบเชียบ ในหัวพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของเฉินเฟิง
หลังจากขับรถต่อไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถหรูฮงฉีก็กลับมาถึงเขตเมือง
หลิ่วอีอีมุ่งหน้าไปยังสำนักงานทะเบียนสมรสในเขตเมือง เพื่อรับใบทะเบียนสมรสโดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงตระเวนหาซื้อบ้านกับเฉินเฟิง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองมาถึงสำนักงานทะเบียนสมรสในเขตเจียงตงของเมืองโม๋ตู
"ที่รัก ได้หยิบทะเบียนบ้านมาด้วยไหม?"
หลังจากจอดรถ หลิ่วอีอีก็ถามขึ้นด้วยความประหม่า
"พ่อแม่ฉันพอรู้ว่า ฉันหาลูกสะใภ้ที่ทั้งสวยทั้งฉลาดแบบเธอได้ มีเหรอพวกเขาจะปล่อยให้ลืมไป? พวกเขาเตรียมสมุดทะเบียนบ้านไว้ให้ฉันตั้งนานแล้ว ส่วนสมุดทะเบียนบ้านของเธอ แม่เธอน่าจะเตรียมไว้แล้ว เหลือแค่เราสองคนไปกรอกข้อมูล ยื่นสมุดทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน แล้วก็รอเ้าหน้าที่ประทับตราให้เรา เป็อันเสร็จสิ้น"
เฉินเฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้า แววตาสีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเขาที่โสดตลอดชีวิตในชาติก่อน
มีโอกาสเกิดใหม่ได้ไม่กี่วัน ดันจะจดทะเบียนสมรสเสียแล้ว
ทันใดนั้นเอง หลิ่วอีอีฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เงินเก็บส่วนตัวของเธอเอาไปลงทุนในบริษัทหมดแล้ว แล้วจะเอาเงินจากไหนซื้อบ้าน?
เธอพูดด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่าในเวลาเดียวกัน
"งั้นรีบเข้าไปกันเถอะ ยื่นขอใบทะเบียนสมรสแล้วไปดูบ้านกัน
เอ๊ะ แต่จะเอาเงินจากไหนซื้อบ้าน?!"
ร้อยยิ้มเฉินเฟิงไม่สะทกสะท้าน
"ไม่ต้องห่วง เงินหนึ่งล้านจากรางวัลที่ถูกหวยยังไม่ได้ใช้ ตอนแรกฉันใช้ไปเก้าแสนหนึ่งหมื่นซื้อที่ดินรกร้างไป ตอนนี้ฉันได้สัญญามาอยู่ในมือแล้ว แต่ผู้เฒ่าหวังเป็คนออกเงินให้ หลังจากนั้นฉันเลยใช้แปดแสนหนึ่งหมื่นซื้อสิทธิ์พัฒนาต่อจากปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป สัญญาอยู่ที่เธอ แต่ฉันยังไม่ได้โอนเงิน และปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปก็คงไม่รีบร้อนทวงเงิน คงจะพอผ่อนผันไปก่อนได้ ดังนั้น ฉันก็ใช้เงินหนึ่งล้านซื้อบ้านตอนนี้ได้ หลังจากนั้นค่อยหาเงินมาโปะ...!"
