เขาเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทางระบบก็ส่งข้อความแจ้งเตือนขึ้นมากะทันหัน
ติ๊ง! ระบบแจ้งเตือน : เนื่องจากท่านเพิ่งออนไลน์เป็ครั้งแรกใช้เวลาออนไลน์เกือบ 12 ชั่วโมงแล้วกรุณาออฟไลน์ออกจากระบบตามเวลา มิเช่นนั้นระบบจะทำการตัดท่านออกไปโดยอัตโนมัติ (เมื่อออนไลน์ครั้งที่ 2 ระบบจะไม่แจ้งเตือนเื่เวลาอีกผู้เล่นจะต้องใช้ดุลยพินิจตัดสินใจเื่เวลาเอง เมื่อเริ่มอ่อนเพลียจะเริ่มตัดท่านออกจากระบบทันที) หวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือ ยังเหลือเวลาอยู่อีก 60 วินาที
แย่แล้ว!
ฉินโจ้วคิดไม่ถึงว่าจะมีระบบแจ้งเตือนแบบนี้ด้วยผู้เล่นที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนย่อมทนไม่ไหวก็เหมือนกับคนหิวที่ต้องกินข้าวปลาอาหารผู้เล่นที่มีประสบการณ์การเล่นเกมคงตุนอาหารเอาไว้เป็ที่เรียบร้อยแต่แรกไม่ต้องเสียเวลา และก็ไม่ต้องถูกพ่อค้าหน้าเืดูดเงินไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าเวลาไหนประสบการณ์ยังคงเป็เื่ที่สำคัญยิ่งเสมอ
เขาส่งข้อความไปแจ้งและขอโทษหนานกงเสี่ยวเมื่อเรียบร้อยแล้วเวลาก็เหลืออยู่แค่ 10 วินาทีเท่านั้นเพื่อไม่ให้ถูกตัดออกจากระบบ ฉินโจ้วจึงเป็ฝ่ายออฟไลน์ออกไปทันที
เพิ่งจะถอดหมวกเกมออกเขาก็พบว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องรับแขก ได้ยินเสียงชายหญิงคู่หนึ่งเสียงของฝ่ายหญิงฟังดูคุ้นหู ได้ยินก็รู้แล้วว่าเป็ใคร อาจารย์หวังโหรวนั่นเองส่วนเสียงผู้ชายฟังดูประหลาดนัก เหมือนกำลังตื่นเต้นทว่าเจือด้วยน้ำเสียงอับจนหนทาง
ฉินโจ้วไม่ได้ตั้งใจแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาแต่ห้องนี้กั้นเสียงไม่ค่อยได้นอกจากนั้นเนื้อหาที่ฝ่ายชายพูดยังทำให้เขาสนใจขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ขนาดคิดจะหันไปทำอย่างอื่นเพื่อเบี่ยงความสนใจก็ยังไม่สำเร็จ
“เสี่ยวโหรว เราก็รู้จักกันมานานแล้วผมไม่ดีตรงไหน ผมเปลี่ยนแปลงได้นะ ผมแค่จะขอร้องคุณอย่าเอาแต่หลบหน้าผมได้ไหม? ผมแค่อยากเห็นหน้าคุณทุกวัน” น้ำเสียงของฝ่ายชายอ่อนโยนมาก เสียงเหมือนคนเหนือออกเสียงม้วนลิ้นกับเสียงขึ้นจมูกอย่างถูกต้องชัดเจน
ฉินโจ้วรู้สึกว่าเสียงพูดของครูสอนภาษาตอนอยู่โรงเรียนประถมยังไม่เป็มาตรฐานขนาดนี้เลย
“อาจารย์เถียนหลินฉันไม่ได้หลบหน้าคุณ ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ?” หวังโหรวยิ้มแย้มตอบแต่ด้วยความเข้าใจของฉินโจ้วที่มีต่ออาจารย์เวลานี้ในใจของอาจารย์คงกำลังจนแต้มไม่น้อยเลยทีเดียว เื่นี้ก็ช่วยไม่ได้ั้แ่เข้าทำงาน ไม่รู้ว่าเธอต้องปฏิเสธคำขอของอาจารย์ชายไปกี่คนแล้วเพียงแต่ว่าต่างฝ่ายต่างเป็เพื่อนร่วมงาน แม้ในใจจะเบื่อหน่ายฝ่ายตรงข้ามแค่ไหนกลับไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้ไม่เช่นนั้นอาจทำร้ายความมั่นใจของอีกฝ่ายเอาได้ง่ายๆ
ฉินโจ้วหวนนึกขึ้นมาได้ในวินาทีนั้นคนที่กำลังตกหลุมรักหรือแอบรักเขาข้างเดียว ส่วนใหญ่ล้วนเปราะบางเหลือเกิน
“ทำไมจะไม่ล่ะ? ทุกครั้งที่ผมเข้าไปในห้องทำงาน คุณก็ไปเข้าห้องเรียน พอผมเข้าห้องเรียนคุณก็หาข้ออ้างมาที่ห้องทำงาน นี่ยังไม่ใช่การหลบหน้าผมอีกหรือ?” อาจารย์เถียนหลินขึ้นเสียงสูงไม่น้อย
บนหน้าของหวังโหรวยังคงรักษารอยยิ้มสงบนิ่งเธอเอ่ยอย่างอดทน “อาจารย์เถียนแผนการสอนเป็สิ่งที่ทุกคนปรึกษาหารือกันแล้วถึงวางแผนงานออกมาไม่ใช่ความตั้งใจของฉันคนเดียว คุณก็รู้ เวลาที่ฉันมีสอนก็ต้องไปที่ห้องเรียนสิถ้าไม่ไปห้องเรียน แล้วคุณจะให้งดสอนหรือคะ? หัวหน้าจะได้เคืองเอาน่ะสิ”
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้ชั้นเรียนแปดโมงครึ่ง คุณก็ไปเข้าห้องเรียนั้แ่แปดโมงผมอยากคุยกับคุณสักสองสามคำก็ไม่มีเวลา” อาจารย์เถียนหลินพูด
“อาจารย์เถียนหลินนักศึกษามีคำถามมากมายอยากถามฉัน ทั้งหมดนี้นัดเอาไว้แล้วคุณก็รู้ว่าตารางสอนของฉันค่อนข้างแน่นปัญหามากมายที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนในระหว่างสอนนักเรียนบางคนมีความสามารถในการทำความเข้าใจค่อนข้างต่ำพวกเขามีนิสัยเปิดใจกว้างต่อการศึกษา ฉันก็ต้องกระตือรือร้นขึ้นบ้างก็อย่างที่คุณรู้ อาจารย์ในสำนักการศึกษาของพวกเรามีจำนวนมากเกินไปนักเรียนบางส่วนค่อนข้างขี้อาย พวกเขาไม่อยากเข้ามา ในฐานะที่เป็อาจารย์คนหนึ่งพวกเราก็ควรเป็ฝ่ายช่วยแก้ไขความยุ่งยากนี้ให้แก่นักศึกษาไม่ใช่หรือคะ?” หวังโหรวตอบอย่างระมัดระวัง “อีกอย่างหนึ่งคุณจะคุยกับฉันก็ยังมีเวลาเยอะแยะ ระหว่างคาบเรียนก็มีเวลาอยู่เยอะแยะไม่ใช่หรือคะ?”
“ระหว่างคาบเรียนมีคนเยอะเกินไปมีบางอย่างก็พูดไม่สะดวก” อาจารย์เถียนหลินตะกุกตะกักเสียงพูดเบาลงเรื่อยๆ ดูเหมือนจะเหนียมอายอยู่บ้าง
หวังโหรวแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ พูดเสียงแปลกใจ “คนเยอะๆ ถึงจะคึกคักดีเื่ที่บอกคนอื่นไม่ได้ อาจารย์เถียนหลิน มีความลับอะไรจะบอกฉันหรือคะ? ถ้าเป็แบบนั้นอย่าพูดดีกว่า ฉันเป็คนปากสว่างค่ะ แถมยังชอบละเมอ กลัวว่าไม่ทันระวังจะทำความลับของคุณแตกเอาได้อย่างนั้นคงไม่ดีกับอาจารย์เถียนหลินแน่ๆ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ” อาจารย์เถียนหลินเริ่มหน้าแดง พูดตะกุกตะกัก “ผมแค่ผมแค่คิด ผมแค่อยากถามคุณ ทำไมชานมที่ผมส่งให้คุณ คุณถึงไม่ดื่ม”
อีกนิดเดียวฉินโจ้วก็จะหัวเราะก๊ากออกมาแล้วอาจารย์เถียนหลินคนนี้นี่ อยากเป็โจรแต่กลับไม่กล้าคิดทำแต้มแต่กลับไม่กล้ายิงประตู ช่างไม่มีความกล้าเอาเสียจริงๆ
“อ้อ...ที่แท้คุณก็อยากถามเื่นี้นี่เอง” หวังโหรวเหมือนเห็นแสงสว่างรีบเอ่ยเป็เชิงขอโทษ “แย่จริง อาจารย์เถียน หลินลืมบอกกับคุณไป ฉันไม่ชอบดื่มชานม ฉันแพ้ชานมค่ะ”
“อ้า...เป็แบบนี้เองหรือ อย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้” อาจารย์เถียนหลินรีบขอโทษ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเอ่ยถาม “ไม่สิ ผมเคยเห็นคุณดื่มชานมครั้งหนึ่งชัดๆ”
ภายในห้อง ฉินโจ้วไม่เพียงส่ายหัวในใจของเขาคิดว่าอาจารย์เถียนหลินคนนี้ อีคิวไม่แค่ต่ำกว่าคนทั่วไปเดาว่าพลังงานก็คงจะหมดไปกับการวิจัยแล้ว เวลาอย่างนี้ต่อให้รู้ว่าหวังโหรวกำลังโกหกก็ไม่ควรพูดออกมานี่มันไม่ใช่การจงใจหาเื่หรืออย่างไรกัน?
“อ้าว งั้นเหรอคะ” สีหน้าของหวังโหรวไม่เปลี่ยนขณะตอบ “ฉันแพ้ชานมจริงๆข้อนี้เป็ความจริง เพียงแต่ยกเว้นชานมชนิดหนึ่ง”
“เป็ชานมยี่ห้ออะไรหรือครับผมจะรีบไปซื้อมาเลย” อาจารย์เถียนหลินพูดเร็วปรื๋อ
“ชาที่ฉันชงเองค่ะ” สีหน้ายิ้มแย้มของหวังโหรวยังคงไม่เปลี่ยน
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” อาจารย์เถียนหลินพูดอายๆ “งั้นก็ซื้อไม่ได้แล้วจริงสิ คืนนี้มีเวลาหรือเปล่า ผมอยากเชิญคุณไปทานข้าว”
“คืนนี้ เกรงว่าจะไม่ได้น่ะค่ะ” หวังโหรวทำหน้าปั้นยากตอบ “ที่บ้านฉันยังมีคนอยู่”
“ไม่เห็นเป็ไรเลยออกมากินพร้อมกัน ก็แค่เพิ่มตะเกียบคู่เดียวเท่านั้น ไม่มีปัญหามีคนเพิ่มจะได้ครึกครื้นขึ้นนะ” อาจารย์เถียนหลินพูดอย่างสบายอารมณ์เขาเที่ยวสอบถามมาแต่แรกแล้วว่าหวังโหรวเช่าบ้านอยู่ร่วมกับพี่น้องผู้หญิงคนหนึ่งเขากำลังกังวลอยู่พอดีว่ายังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน ดังคำที่ว่า จะชนะใจแฟนเื่สำคัญก็คือต้องเข้ากันได้ดีกับเพื่อนฝูงของแฟนด้วย มีบางครั้ง คำกระซิบที่ส่งเสริมข้างหูอาจสำคัญกว่าคำพูดนับสิบประโยคที่เราพูดเองก็ได้
“เื่นี้คงไม่สะดวก” หวังโหรวตอบอย่างลำบากใจ
“อย่างนั้นหรือ” อาจารย์เถียนหลินค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็ยังไม่ค่อยยอมตัดใจ เขาเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็แบบนี้ก็คงได้แต่รอครั้งหน้าแล้ว จริงสิขอถามได้ไหมครับว่าคนในบ้านของคุณเป็ใคร?”
“ไม่สะดวกค่ะเขาไม่ชอบพบปะผู้คนเอามากๆ” หวังโหรวเอ่ยปฏิเสธอย่างมีไหวพริบ
“ในเมื่อเป็แบบนี้งั้นผมก็ไม่รบกวนแล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะครับ” อาจารย์เถียนหลินเดินออกจากห้องรับแขก
“อาจารย์เถียนหลินค่อยๆเดินนะคะ พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” หวังโหรวโบกไม้โบกมือยิ้มแย้มแต่เดินไปได้แค่สองก้าวก็ต้องชะงัก
“อาจารย์หวังคุณคงเข้าใจความหมายของผมดี” พอเดินไปถึงประตูอาจารย์เถียนหลินดูเหมือนจะตัดสินใจได้ เขาหมุนตัวกลับมาที่หวังโหรวพร้อมเอ่ยเสียงเข้มจริงจัง
“อะ...อะไรนะคะ?” หวังโหรวรับมือไม่ทัน กระเถิบถอยไปก้าวหนึ่ง
“ผมชอบคุณ อาจารย์หวัง” เถียนหลินพูดเสียงจริงจัง หลังจากที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด ก็รู้สึกกล้าหาญขึ้นมาทันที
“คุณล้อเล่นแล้วอาจารย์เถียนหลิน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว...” รอยยิ้มของหวังโหรวเริ่มเจื่อนพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเถียนหลินขัดจังหวะ
“ผมจริงจังที่สุด อาจารย์หวังโหรวผมชอบคุณ ั้แ่ครั้งแรกที่ได้เห็นคุณ ผมก็ตกหลุมรักคุณ รอยยิ้มของคุณเสียงของคุณ กลิ่นกายของคุณ แม้แต่ท่าเดินของคุณ ทุกอย่างล้วนดึงดูดใจผมให้ถลำลึกทำให้ผมถอนตัวไม่ขึ้น เพียงครู่เดียวที่ไม่เห็นหน้าคุณ ผมก็เหมือนไร้ิญญาผมปรารถนาที่จะได้อยู่กับคุณตลอดเวลาทุกครั้งที่เห็นคุณคุยอยู่กับอาจารย์ชายคนอื่นๆ หัวใจของผมทรมานจนแทบทนไม่ไหวผมยอมรับว่าผมหึง หึงกระทั่งนักเรียนของคุณทำไมเวลาที่พวกเขาได้อยู่กับคุณยังมากกว่าผม? ตกกลางคืนก่อนนอนคนที่ผมคิดถึงก็คือคุณ ยามฝัน คนที่ฝันถึงก็เป็คุณ ตื่นขึ้นมาก็คิดถึงคุณเป็คนแรกหน้าบึ้งหน้ายิ้มของคุณสลักลึกลงไปในใจผม ผมชอบคุณมากจริงๆ เป็แฟนผมได้ไหมผมจะปกป้องคุณด้วยชีวิตของผม จะไม่ปล่อยให้คุณได้รับอันตรายแม้แต่น้อยจะทำให้คุณมีความสุขตลอดไปคุณจะมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มราวดอกไม้ผลิบานตลอดกาล ดีไหม?” ความในใจของเถียนหลินเปิดเผยออกมารวดเดียวจะะโให้หยุดก็หยุดไม่อยู่แล้ว
ตอนแรกหวังโหรวยังรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้แต่พอได้ยินถึงคำพูดตอนท้าย สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็สงบเสงี่ยมไม่หัวเราะและก็ไม่ได้รำคาญ รอให้อาจารย์เถียนหลินพูดจบ ส่วนเธอก็ไม่พูดไม่จาจนกระทั่งอาจารย์เถียนหลินทำท่าจะบ้ามากขึ้น เธอจึงถอนหายใจและพูดขึ้นว่า “มีบางเื่ ฉันไม่รู้จะบอกกับคุณอย่างไรแต่ในเมื่อพูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก ขอบอกคุณตามตรงอาจารย์เถียนหลิน ฉันมีแฟนแล้ว”
ภายในห้องในใจของฉินโจ้วบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีดูเหมือนพอได้ยินหวังโหรวบอกว่าตนมีแฟนแล้ว ทำให้เขารู้สึกทรมานมาก รู้สึกว่าสมองมึนงงคล้ายไข้จะขึ้น
“คุณโกหกผม” พริบตาเดียวสีหน้าของอาจารย์เถียนหลินก็เปลี่ยนเป็ซีดขาวทันที เขาะโเสียงดังลั่น
“ฉันรู้ว่าที่ไม่ประกาศเื่นี้ออกมาเป็ความผิดของฉันเองค่ะที่สร้างความเ็ปให้คุณมากมาย ฉันอยากขอโทษคุณ อาจารย์เถียน หลินแต่ว่าความจริงก็เป็เช่นนี้” หวังโหรวตอบเสียงนิ่งมากในความจริงจังแฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายใจระลอกหนึ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับแน่วแน่ยิ่งกว่า
“ผมไม่เชื่อทั้งหมดนี้เป็เื่โกหก เป็เื่แต่งทั้งหมด คุณแต่งเื่มาหลอกผม ผมไม่เชื่อ” อาจารย์เถียนหลินสีหน้าบูดเบี้ยว ะโเสียงดังอย่างกับคนบ้า
“เป็เื่จริงค่ะ” หวังโหรวกำชับจริงจังอีกครั้ง
“อย่างนั้นคุณก็พิสูจน์ให้ผมดูสิเป็ใคร บอกผมสิว่าเป็ใคร ถ้าเห็นตัว ผมถึงจะยอมเชื่อ และผมจะไม่มารบกวนคุณอีกเลย” เถียนหลินะโเสียงดังลั่น
“คุณจะทำเื่ให้ยุ่งยากไปทำไมอาจารย์เถียนหลิน” หวังโหรวถอนหายใจ
“ฮ่าๆ พิสูจน์ไม่ได้ล่ะสิผมรู้อยู่แล้วว่าคุณหลอกผม นี่เป็นิทานที่คุณแต่งขึ้น” อาจารย์เถียนหลินหัวเราะร่า แต่หน้าตาอย่างกับกำลังร้องไห้
“ในเมื่อเป็แบบนี้ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาดูเถอะ เขาอยู่ในห้องนั่น” หวังโหรวตอบ
ภายในห้อง ฉินโจ้วสะดุ้งใจเฮือก ‘อยู่ในห้อง?’ คำนี้หมายความว่าอย่างไรกันนะ ก็ในห้องนี้มีผมอยู่คนเดียวนี่นาหรือว่ามีคนอื่นมาอยู่อีก ทำไมผมไม่รู้ล่ะ ขณะที่กำลังสงสัย ประตูก็เปิดออกพอดีมีคนสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งคือหวังโหรวอีกคนเป็ชายหนุ่มสวมแว่นกรอบทองท่าทางมีการศึกษา
“อ๊า!”
“อ๊า!”
“อ๊า!”
เสียงแรกเป็เสียงของฉินโจ้วเขาคิดไม่ถึงว่าประตูห้องที่หวังโหรวเปิดจะเป็ห้องของตน
เสียงที่สองเป็เสียงของหวังโหรวใบหน้าของเธอแดงเรื่อขึ้น เธอคิดไม่ถึงว่าฉินโจ้วจะออกจากเกมแล้ว เ้าเด็กบ้านี่ ปกติถ้าไม่เรียกเขาก็ไม่ยอมออกมาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงบังเอิญอย่างนี้คำพูดก่อนหน้านี้ทั้งหมดคงไม่ใช่ว่าเขาได้ยินจนหมดเปลือกแล้วนะ ช่างน่าอายจริงๆ
เสียงสุดท้ายเป็เสียงของอาจารย์เถียนหลินหน้าตาของเขาอย่างกับผีตายซาก ในใจเขาคิดว่าที่แท้พวกเขาอยู่กินด้วยกันแล้ว
“ต้องขอโทษ รบกวนแล้ว” อาจารย์เถียนหลินตกตะลึงพรึงเพริดและเดินออกจากห้องไปจากนั้นได้ยินเสียงประตูใหญ่ปิดลง เขาจากไปแล้ว
“เธอไม่เห็นอะไรทั้งนั้นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะไม่หุงข้าวให้เธอกินอีก” หวังโหรวหน้าแดงแปร๊ด วิ่งปรู๊ดออกไปราวกับกระต่ายน้อย
ฉินโจ้วถูจมูกขึ้นๆ ลงๆอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก