เดิมที หลิวซุนซื่อยัง้าด่าหลิวฉีซื่อลับหลังต่อไปเพื่อระบายความแค้นในใจ
แต่เมื่อได้ยินคำถามของหลิวจูเอ๋อร์ ในใจของนางก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา “จูเอ๋อร์ เราอยู่ที่นี่ได้กี่วันแล้ว”
หลิวจูเอ๋อร์นับนิ้วคำนวณ ก้มศีรษะมองดูป้านดำคล้ำบนิั อดไม่ได้ที่อยากจะขูดมันทิ้ง แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะยิ่งขูดออกก็ยิ่งทำให้ผิวหยาบ
จึงได้แต่กัดฟันและอดทน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองเส้นริ้วรอยเ่าั้
“ท่านแม่ พวกเราอยู่ที่นี่ได้สิบกว่าวันแล้ว อีกสองวันก็ครบครึ่งเดือน”
“นานขนาดนี้แล้วหรือ?” หลิวซุนซื่อใเมื่อรู้ว่าวันเวลาผ่านไปเร็วเกินไป ครั้งที่แล้วตอนส่งข่าวกลับไปบ้านมารดา ก็คิดว่าต้องไปแวะบ้านมารดาก่อนแล้วจึงค่อยกลับไปในตำบล
อย่างไรก็ตาม หลิวซุนซื่อไม่รู้ว่าตระกูลซุนคิดเห็นอย่างไร เพราะบ้านมารดาไม่เคยส่งข่าวคราวมาอีกเลย
กระทั่งพี่ชายคนโต ่นี้ก็ไม่ค่อยส่งเนื้อหมูมาให้นาง
“ใช่แล้ว ท่านแม่ ท่านพ่อไม่มารับพวกเรากลับไปก็นานสักพักแล้ว ในอนาคตข้าต้องออกเรือนไปยังตระกูลร่ำรวย จะมาถูกท่านย่าโขกสับอยู่ที่แห่งนี้ได้อย่างไร ดูข้ากับท่านแม่ถูกทรมานจนเป็สภาพเช่นนี้”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ นางก็มีความคิด “ท่านแม่ เหตุใดท่านพ่อจึงไม่ส่งจดหมายมา? อีกอย่าง หลายวันมานี้ท่านแม่เองก็ดูสภาพเหี่ยวเฉาไปไม่น้อย ท่านแม่ ข้าทนความลำบากเช่นนี้ไม่ไหว หากเป็เช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าคงบ้าไปก่อน อีกอย่าง ท่านแม่ ท่านมองดูมือและใบหน้าของตนเองสิ ยังดูมีสีสันเฉกเช่นแต่ก่อนหรือ ราวกับป้าในหมู่บ้านอย่างไรอย่างนั้น”
เพราะหลิวฉีซื่อใช้งานนางทุกวัน แล้วยังพยายามสั่งสอนนาง
ชุดที่หลิวซุนซื่อนำมาด้วยก็ไม่ได้เหมาะสม บวกกับเนื้อผ้าเป็แบบชั้นดีการเย็บก็ราคาสูง หลิวซุนซื่อทำกระโปรงเปื้อนไปหนึ่งตัว ถึงกับเ็ปใจไปนานสักพัก
ต่อมา จึงจำต้องทนไปขอยืมชุดเก่าของจางกุ้ยฮัวอย่างหน้าไม่อาย ทันใดนั้นก็ทำให้หลิวซุนซื่อดูแก่ไปสิบปี บวกกับหลายวันมานี้ตากแดดตากฝน ใบหน้าก็คล้ำไปไม่น้อย ผิวพรรณก็สาก สรุปแล้วก็คือ ตอนนี้นางดูพื้นๆ จนคนในหมู่บ้านรู้สึกว่านี่คือสภาพที่แท้จริงของนาง
“จริงหรือ?” หลิวซุนซื่อยื่นมือไปััใบหน้าของตน จริงตามนั้น ผิวพรรณนั้นหยาบกร้านเสียดสีกับใบหน้าจนเจ็บ
นางรู้ดีว่าหลิวเหรินกุ้ยชอบความสวยงามของตนเองเป็ที่สุด หากว่าชราจะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้นำกระจกมาด้วย
“นางเฒ่าหงำเหงือก เหตุใดจึงไม่ตายๆ ไปเสีย จูเอ๋อร์ รีบเอาครีมหอมมา ข้าจะต้องทาดีๆ สักหน่อย” หลิวซุนซื่อพบว่าตนเองขี้เหร่ หัวใจก็เป็กังวลอย่างยิ่ง
หลิวจูเอ๋อร์ยื่นครีมหอมให้มารดา แล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ พวกเราจะปล่อยให้อาสามได้เงินไปเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรเลยหรือ?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ? พวกเราได้ห้าตำลึง อาสามเ้ากล่าววันนั้นแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ควรแบ่งให้เขาบ้าง ปู่เ้าก็เดือดดาล”
หลิวซุนซื่อใช่ว่าจะไม่อยากโวยวาย เพียงแต่หลิวเหริยกุ้ยไม่อยู่ข้างกาย ไม่มีคนหนุนหลังให้นาง ยิ่งกว่านั้นแม่ลูกสามคนในห้องปีกตะวันตกก็ไม่ได้รังแกได้ง่ายๆ เช่นแต่ก่อน
หลิวจูเอ๋อร์ได้รับความลำบากตรากตรำมาใน่นี้ ยิ่งรู้สึกไม่ชอบบ้านนอก นางตั้งใจแน่วแน่ว่า ต่อไปจะไม่กลับมาที่บ้านนอกอีกแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่อยากเห็นหลิวฉีซื่อ จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เราจะถกเื่แยกบ้านเมื่อใดกันดี? วันนั้นแม่ก็ได้ยินแล้ว ท่านย่าคิดอยากจะเอาเงินของครอบครัวเรา หากว่าเงินตกอยู่ในมือของนาง คงได้กลายเป็ของส่วนรวมไปด้วยไม่ใช่หรือ?”
หลิวซุนซื่อก็คิดเื่นี้ไม่ตกเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่า่นี้หลิวเหรินกุ้ยมัวแต่ทำอะไร ทั้งไม่เห็นตัวและไม่เห็นเขาไหว้วานคนส่งข่าวคราวกลับมา เมื่อได้รับรู้เื่นี้ก็ไม่มีใครให้ปรึกษา
“เื่แยกบ้านนั้นต้องเกิดขึ้นแน่ จางกุ้ยฮัวนางตัวดี สมควรตายไปเสีย อ้าปากก็พูดอะไรทุกอย่างได้หน้าไม่อาย มิน่าคลอดลูกชายไม่ได้ ฮึ ต่อไปถึงมีลูกชายก็คงไม่ได้เื่”
นางยิ่งคิดยิ่งโมโห ไฟที่สุมอกนั้นร้อนรุ่ม
หลิวจูเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกลอกตา แม่ของนาง่นี้คงกลัดกลุ้มโมโห และจับประเด็นไม่ถูก
“ท่านแม่ ถึงตอนนั้นหากแยกบ้านต้องแบ่งให้บ้านอาสามน้อยกว่านะ”
“เื่นี้ยังต้องพูดอีกหรือ? ดูท่าทีของย่าเ้าก็รู้ นางไม่ชื่นชอบครอบครัวอาสาม ยิ่งกว่านั้นบ้านเขาไม่มีลูกชาย เชอะ แบ่งแปลงนาได้สักสองแปลงก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
หลิวซุนซื่อมั่นอกมั่นใจมาก ไม่ว่านางกับหลิวฉีซื่อจะทะเลาะกันจนต่อไม่ติดอย่างไร แต่สุดท้ายนางก็ยังให้กำเนิดบุตรชายให้ตระกูลหลิวถึงสองคน
“ท่านแม่ ข้าไม่สน ท่านแม่ต้องคิดหาทางคุยกับท่านพ่อ บอกให้เขารับเรากลับไปในตำบล หากข้าออกเรือนไปในตระกูลที่ดีได้ นั่นเท่ากับเป็การช่วยเหลือน้องชายทั้งสองด้วย”
คําพูดของหลิวจูเอ๋อร์นั้นเข้าหูหลิวซุนซื่อ เปรียบเทียบระหว่างบุตรชายกับบุตรสาว นางก็รักใคร่บุตรชายมากกว่า
หลิวซุนซื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มองว่าเื่กลับตำบลเป็เื่ใหญ่ที่ต้องมาก่อน ส่วนเื่แยกบ้านยังไม่รีบร้อน เพียงแต่ว่า นางควรเป่าหูหลิวเหรินกุ้ยได้แล้ว
ดังนั้นนางจึงปลอบใจหลิวจูเอ๋อร์ “อย่าว่าแต่เ้าเลย แม่เองก็ทนไม่ไหวแล้ว เื่นี้ข้าต้องรีบหาโอกาสคุย”
หลิวจูเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นความกังวลก็ลดน้อยลงไป เพียงแต่นึกถึงเื่ที่แยกบ้าน จึงอดไม่ได้ที่จะเสริม “หากว่าแยกบ้านโดยเร็ว อาสามก็จะไม่ได้เงินในส่วนนี้ มิเช่นนั้น บ้านฝั่งเราคงได้น้อยลงไปหลายตำลึง”
“นั่นน่ะสิ!” หลิวซุนซื่อตีหน้าขา นางคิดแผนการอะไรบางอย่างได้
“จูเอ๋อร์ เ้าไม่ต้องรีบร้อน ปู่กับย่าของเ้ายังแข็งแรง แยกบ้านนั้นใช่ว่าจะแยกได้ในทันที เื่นี้แม่จะคุยกับพ่อของเ้าเอง”
หลิวซุนซื่อมีความหวังมาบ้าง ตระกูลหลิวยังมีหลิววั่งกุ้ยที่ไม่ได้แต่งงาน หลิวเสี่ยวหลันยังไม่ได้ออกเรือน ก่อนที่เื่แต่งงานของสองคนนี้จะสำเร็จ หลิวฉีซื่อไม่มีทางยอมตกลงแน่
ในความเป็จริง หากคำนวณอายุของหลิววั่งกุ้ยก็สมควรแก่การหมั้นหมายได้แล้ว เพียงแต่หลิวฉีซื่อพยายามยืดไว้ เพราะอยากให้เล่าเรียน หลังจากสอบได้ซิ่วไฉค่อยว่ากัน
หากหลิวเต้าเซียงรู้ความคิดของทั้งสอง เกรงว่าคงหัวเราะอยู่ในฝันจนตื่น
ในวันที่ทุกอย่างนิ่งสงบ หลิวเต้าเซียงมองดูหลิวฉีซื่อทรมานหลิวซุนซื่อจนต้องร้องโอดครวญทุกวัน วันเวลาช่างสนุกสนานเสียจริง
เนื่องจากซูจื่อเยี่ยได้ลิ้มรสมือที่แสนอร่อยของหลิวเต้าเซียง หลิวฉีซื่อจึงกล่าวว่า ต่อไปหลิวเต้าเซียงต้องคอยดูแลเื่อาหารการกินของซูจื่อเยี่ยอย่างเดียว และให้หลิวเสี่ยวหลันเป็ลูกมือ
ลูกมือที่ว่าก็แค่เพียงรออาหารสุก แล้วช่วยยกไปยังห้องของซูจื่อเยี่ย แล้วรอดูเขากินจนหมด
หลังจากหลิวเต้าเซียงรับรู้ ก็พนันได้ว่าซูจื่อเยี่ยคงกลืนอย่างยากลำบาก ทว่ายิ่งเขาไม่ชอบใจ นางก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนาน
ส่วนจางกุ้ยฮัวถูกจัดให้ดูแลแปลงผักกับอาหารกลางวัน แล้วดูแลแม่ไก่สองตัวที่กำลังวางไข่ในบ้าน แม่ไก่สองตัวนี้หลิวฉีซื่อได้มาจากบ้านคนรวย จากนิสัยของนางคงไม่มีทางควักเงินจ่ายมาแน่
ั้แ่นั้นมาหลิวจูเอ๋อร์และหลิวซุนซื่อ ไม่เพียงแต่ต้องตื่นเช้ามากวาดลานบ้านทุกวัน แต่ยังต้องทำความสะอาดคอกหมู เล้าไก่และคอกวัวทั้งหมด รวมถึงต้มอาหารหมูอีกด้วย
ถ้วยชามก็เป็หน้าที่ของหลิวจูเอ๋อร์ที่ต้องล้าง ส่วนอาหารเย็นเป็หน้าที่ของหลิวซุนซื่อ
ทุกครั้งที่หลิวซุนซื่อใส่น้ำมันมากเกินไป ก็มักจะถูกด่า
หลิวเต้าเซียงว่างจึงไปเที่ยวหาชุ่ยฮัวแล้วดูแลเล้าไก่ ไก่สิบตัวที่เลี้ยงไว้ที่นั่นตอนนี้เริ่มมีขนดกหนา มองดูพวกมันวิ่งอย่างสนุกสนานในลานบ้าน น่องของพวกมันดูมีกำลังยิ่งนัก
ส่วนหลิวชิวเซียงถูกสั่งให้ขึ้นเขาไปเก็บฟืน แล้วก็ช่วยดูแลหลิวชุนเซียง
ในวันที่สบายเช่นนี้ หลิวเต้าเซียงไม่ถือสาเื่ที่ทุกคนมาอยู่กันอย่างแออัดเช่นนี้
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือนางถูกอาศัยผลประโยชน์ เมื่อใดที่ซูจื่อเยี่ยเบื่อหน่าย ก็มักจะให้นางมาเป็เพื่อนเล่น
พริบตาเดียวก็สิ้นเดือนเมษายนแล้ว วันนี้เป็รุ่งสางที่เงียบสงบ หลิวเต้าเซียงถูกเ้าถั่วงอก สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดที่ตื่นเต้นปลุกจนสะดุ้งตื่น
“โฮสต์ โฮสต์ครับ รีบลุกขึ้นเร็ว ไก่สุกแล้ว”
หลิวเต้าเซียงซึ่งกําลังสะลึมสะลือ นึกว่าตนเองฝันไป พลิกตัวแล้วนับเงินในฝันต่อ
“โฮสต์ครับ จะร่ำรวยแล้วครับ” เสียงนุ่มนวลเยาว์วัยของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนเช่นแต่ก่อน กลับกันคือมีความออดอ้อนเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงลืมตา กะพริบสองที รอบทิศยังคงเงียบสงัด ตนเองฝันไปอีกแล้วหรือ?
“โฮสต์ครับ กงสี่ฟาไฉครับ”
“เอาอั่งเปามา!” หลิวเต้าเซียงโพล่งออกมาโดยไม่คิด
จากที่ฟัง เ้าสัตว์ปีศาจถึงกับงง
หลิวเต้าเซียงบิดี้เี อากาศเดือนสี่เดือนห้า เหมาะกับการนอนเป็ที่สุด นางอยากนอนตื่นสายด้วยซ้ำ
“โฮสต์ เลิกนอนได้แล้วครับ ไก่ของคุณสุกแล้ว”
สุกแล้ว?
อะไรนะ สุกแล้ว?
ปฏิกิริยาแรกคือ ไฟไหม้
ปฏิกิริยาที่สองคือ สงบลง
ไม่มีทาง อากาศในห้วงมิติไม่ได้แห้งแล้ง หนึ่งคือไม่มีฟืน สองคือไม่มีไฟ แล้วจะสุกได้อย่างไรกัน!
“เ้าถั่วงอก ฟ้ายังไม่สว่างเลย” หลิวเต้าเซียงที่ยังไม่ตื่นดีโอดครวญใส่มันอย่างไม่เกรงใจ
เ้าถั่วงอกที่ถูกแรงโมโหพุ่งเข้าใส่ถึงขั้นต้องรีบลุกขึ้น แล้วเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “โฮสต์ครับ คุณเฮงแล้วครับ”
ถูกต้อง อยู่ต่อหน้าคะแนนเก็บ แรงโมโหก็ล้มมันไม่ได้
“เฮงบ้าอะไรของนาย ก็แค่ไก่สามตัว” หลิวเต้าเซียงยังคงไม่ตื่น ด้านนอกมืดสนิท
“ไม่ใช่ครับ โฮสต์ ไก่ที่คุณเลี้ยงไว้ถึงเวลาแล้ว ควรต้องเอายื่นแล้วรับเงินเดือนได้แล้วครับ” ตามคาด คำพูดนี้มีพลังทำลายล้างมากกว่า
หลิวเต้าเซียงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาหมุนเป็วงกลม เอ่ยในใจกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดว่า ฉันจำได้ เมื่อกี้นายบอกว่าฉันกำลังจะเฮง
ทันใดนั้น ในสมองของนางก็ปรากฏรูปลักษณ์ของเ้าถั่วงอก ไม่ใช่สิ ตอนนี้จะเรียกเ้าถั่วงอกไม่ได้แล้ว
หลิวเต้าเซียงถามด้วยความประหลาดใจว่า “โห นายตัวสูงขึ้น นี่กลายเป็ต้นกล้าถั่วแล้ว! จริงด้วย มูลไก่บำรุงนายได้ดีที่สุด
“โฮสต์สิกินมูลไก่ บ้านโฮสต์ทั้งหมดก็กินมูลไก่” เ้าสัตว์ปีศาจบ่นอุบอิบ
หลิวเต้าเซียงคำรามเสียงเ็า
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเงียบทันใด ทำให้ใครโมโหก็ได้แต่ต้องไม่ใช่โฮสต์ที่ชื่อหลิวเต้าเซียง
ทันใดนั้น มันทำเหมือนตนเองมีหางจิ้งจอกยาวๆ งอกอยู่ด้านหลัง แล้วก็เอ่ยคำพูดคำจาหวานหยาดเยิ้ม “เซียงเซียง!”
ทันใดนั้น หลิวเต้าเซียงดูเหมือนจะถูกไฟฟ้าช็อต ตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง
บ้าไปแล้ว เสียงที่หวานเยิ้มเช่นนี้มาจากเ้าถั่วงอกหรือ?
หลังจากผ่านไปสักพัก หลิวเต้าเซียงถึงได้สติ แล้วหาเสียงของตนเองเจอ “นายเปลี่ยนเสียงได้หรือ?”
“เซียงเซียง ผมได้เลื่อนขั้นแล้ว ครั้งนี้ข้อเสนอของคุณดีเยี่ยม แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มต้น แต่จุดเริ่มนับว่าดี บริษัทประชุมเื่ข้อเสนอของคุณ แล้วใช้กับผู้เพาะเลี้ยงอื่นๆ อีกด้วย ได้รับการประเมินที่ดี อีกทั้งไก่ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
“อื้ม ฉันรู้แล้ว!” หลิวเต้าเซียงตอบน้ำเสียงราบเรียบก่อน จากนั้นก็กรีดร้องเสียงดังด้วยความดีใจ นางกำลังจะเฮงแล้ว นางอยากจะฉลองอย่างบ้าคลั่ง!
การร่ำรวยอย่างง่ายดายเช่นนี้สิ ถึงจะสมเป็หลิวเต้าเซียง!
-----
