“ไม่หรอก” สายตาของเฝิงเจี่ยนเต็มไปแววรักใคร่เอ็นดู กล่าวเสียงเบาว่า “ทำได้ดีมาก”
เสี่ยวหมี่ยิ้มแฉ่ง “เ้าเมืองสารเลวนั่น ยังคิดจะยืมมือข้าฆ่าคน”
คนทั้งสองสนทนากันเสียงเบาอย่างยิ้มแย้ม เพียงไม่นานก็กลับมาหาอาลักษณ์คนนั้น
พวกเขาเริ่มทำตามกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องอีกครั้ง เนื่องจากเคยจ่ายมัดจำไปก่อนแล้ว ยามนี้จึงจ่ายเงินเพียงแค่หนึ่งร้อยตำลึง ูเาสองลูกในหุบเขาหมีนั้นในที่สุดก็ได้เปลี่ยนมาเป็สมบัติของสกุลลู่
นับแต่นี้หมู่บ้านเขาหมีก็นับว่าถูกโอบล้อมด้วยปราการอันแ่า หากสกุลลู่ไม่ยินยอมเปิดประตูต้อนรับ ใครก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ ไม่ใช่แค่ตู้โหย่วไฉ ไม่ว่าจะเป็คนใหญ่คนโตมาจากไหนก็ต้องเคารพกฎหมายทั้งสิ้น
ลู่เสี่ยวหมี่อารมณ์ดีจนแทบจะะโโลดเต้นออกมาจากศาลาว่าการ หากไม่ใช่เพราะมีเฝิงเจี่ยนคอยยื่นมือมาประคอง นางอาจจะหกล้มระหว่างก้าวลงบันไดก็เป็ได้
เสี่ยวหมี่หน้าแดง ฉีกยิ้มอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่เฝิง นับจากนี้ข้าจะทำไร่ทำสวนอย่างไรก็มีอิสระเสรีเต็มที่แล้ว ที่ของข้า ข้าจะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องกลัวใคร”
“ได้ ต่อไป...ไม่ว่าเ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเ้าทุกอย่าง”
เสี่ยวหมี่ฟังไม่ถนัดว่าเขาพูดอะไร ตอนที่คิดจะเอ่ยปากถามก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น “เสี่ยวหมี่ เหตุใดเ้าไม่รอข้าก่อน มาด้วยตัวเองเลยแบบนี้เล่า”
เถ้าแก่เฉินเดินเข้ามาหาพลางหอบหายใจ ตามมาด้วยพี่ใหญ่ลู่ที่สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย คิดว่าคงถูกว่าที่พ่อตาบ่นมาตลอดทาง
เสี่ยวหมี่รีบเดินเข้าไปหา ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ท่านลุงเฉิน ท่านอย่ารีบร้อนนักสิเ้าคะ ตอนนี้แก้ปัญหาได้แล้วเ้าค่ะ”
นางพูดจบก็ส่งโฉนดในมือให้เขา “ยามนี้ทั้งหุบเขาหมีล้วนเป็ของเราแล้ว”
“จริงหรือ” เถ้าแก่เฉินตรวจสอบโฉนดอย่างละเอียด แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างยินดี “ไม่เลยๆ ครั้งนี้เป็เพราะข้าประมาทเอง วันหน้าหากจะซื้อที่อีกคงต้องเตรียมตัววางแผนมาให้ดีก่อนล่วงหน้าเสียแล้ว”
พูดจบ จู่ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบลากพวกเสี่ยวหมี่ไปยังจุดลับตาคน เอ่ยเสียงเบาว่า “เสี่ยวหมี่ ศาลาว่าการไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะอยู่นาน เ้าจัดการเื่ที่นี่เสร็จแล้วก็รีบกลับเถอะ ต่อไปไม่ว่าใครเข้าหาก็อย่าได้เปิดใจสนทนาอะไรกับพวกเขาง่ายๆ...”
“ท่านลุงเฉินวางใจเถอะเ้าค่ะ ข้าทราบดี”
หลังจากเกิดเื่คราวก่อน เถ้าแก่เฉินจึงระมัดระวังตัวและคิดเผื่อพวกนางสกุลลู่มากขึ้น นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
“เรือนหลังใหม่ที่ตีนเขาของบ้านข้าใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว สองสามวันหลังจากนี้ท่านก็ส่งคนมาวัดขนาดเรือนเถอะเ้าค่ะ เรือนทั้งหลังนั้นวันหน้าก็คือเรือนของพี่ใหญ่และพี่เยว่เซียนแล้ว ขอแค่พวกเขาอยู่อย่างสบายใจก็พอ จะจัดวางอย่างไรคนบ้านข้าไม่มีความเห็นเ้าค่ะ”
“งั้นหรือ สร้างเสร็จเร็วถึงเพียงนี้เชียว ฮ่าฮ่า”
ไม่ผิดคาด เถ้าแก่เฉินยิ้มแย้มไปถึงดวงตาทันที “เช่นนั้นอีกสักสองสามวันข้าจะไปเยี่ยมชมสักหน่อย”
“ได้เลยเ้าค่ะ พวกเราอีกไม่นานก็จะเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านลุงมาบ้านเราก็เหมือนกลับบ้านตัวเอง อย่าได้เกรงใจเลยเ้าค่ะ”
“แน่นอนๆ”
พวกเขาสนทนากันไม่นาน เถ้าแก่เฉินก็กลับบ้านไปปรึกษากับภรรยาและบุตรสาวเื่เครื่องไม้เครื่องเรือนและสินเดิมที่จะนำติดตัวไปอย่างสบายอารมณ์
ที่จริงแล้ว พวกเครื่องไม้ชิ้นเล็กๆ นั้นทำเสร็จนานแล้ว แต่เตียงไม้จำเป็ต้องไปวัดขนาดให้รู้ชัดก่อนจะสั่งทำ แต่ยามนี้สกุลลู่ใจกว้างถึงขนาดสร้างเรือนแยกให้หนึ่งหลัง พวกเขาสกุลเฉินเองก็จะใจแคบไม่ได้ จะต้องสั่งทำเครื่องเรือนให้เต็มเรือนไปเลยถึงจะทำให้เห็นว่าพวกเขาสกุลเฉินเองก็ให้ความสำคัญกับงานมงคลในครั้งนี้
ทางเถ้าแก่เฉินกลับบ้านไปปรึกษากับครอบครัว เสี่ยวหมี่เองก็ไปแลกเงิน เตรียมกลับบ้านไปป่าวประกาศเื่ดีๆ
ทางด้านจ้าวจื้อเกาที่หลอกใช้สกุลลู่ซึ่งนับว่าเป็ทวนชั้นดีไม่ได้ ก็รู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ในใจไม่น้อย
บ่ายวันนั้น ฮูหยินสุยเองก็เดินกลับเข้าจวนผ่านทางประตูหลัง...
โรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่บริเวณเมืองทางทิศใต้ซึ่งอยู่ห่างไกล แม้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่หรูหราอะไร แต่ก็เป็สถานที่ที่ผู้คนชอบมารวมตัวกันเพื่อคุยเื่สัพเพเหระ และเป็สถานที่นัดพบกับสหาย
หลี่หลินถือถ้วยชา ยิ้มให้กับเด็กรับใช้ในร้านที่เข้ามาเติมน้ำชาให้เขาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็หันไปสนใจสิ่งที่เด็กรับใช้ของตนรายงาน
เด็กรับใช้คนนั้นขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจนักว่า “นายท่าน เ้าเมืองแซ่จ้าวคนนั้นเป็คนเ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไปรู้ข่าวการมาถึงของท่านจากไหนกัน ถึงได้ชิงลงมือก่อน ท่านว่าเป็เพราะสกุลลู่นั่น...”
“ไม่หรอก” หลี่หลินส่ายหน้า มือหมุนถ้วยชาในมือเล่นพลางเอ่ยถามว่า “เ้าบอกว่าแม่นางสกุลลู่คนนั้นไปที่ศาลาว่าการ แล้วยังถูกจ้าวจื้อเกาเรียกไปพบด้วย?”
“ใช่แล้ว คนในศาลาว่าการต่างก็เห็นกันหมด ได้ยินว่าหลังจากนางออกมาแล้วคนแซ่จ้าวคนนั้นก็โมโหมาก”
เด็กรับใช้รู้สึกแปลกใจ “ไม่รู้ว่าพวกเขาเข้าไปพูดอะไร ทำให้คนแซ่จ้าวอารมณ์ไม่ดี หากว่าคนแซ่จ้าวเจ็บแค้นสกุลลู่ ไม่แน่วันหน้าอาจจะ...”
วันนั้นบุตรชายคนรองสกุลลู่โม้กับเขาไว้เสียเยอะว่าน้องหญิงของเขาร้ายกาจแค่ไหน อีกทั้งเขาก็ยังติดใจรสชาติของขนมนั่นจนลืมไม่ลง จึงรู้สึกกังวลใจแทนสกุลลู่อยู่ไม่น้อย
แต่หลี่หลินกลับหัวเราะออกมา “วางใจเถอะ สกุลลู่มีคนใหญ่คนโตคอยชี้นำอยู่ ที่จ้าวจื้อเกาโกรธก็คงเพราะอยากจะใช้ผู้อื่นเป็ทวนสังหาร แต่ผู้อื่นไม่ให้โอกาสเขาได้หลอกใช้ก็เท่านั้น”
“เช่นนั้น นายท่านว่าเราควรทำเช่นไรดีขอรับ? ที่ปรึกษาคนนั้นถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว”
เด็กรับใช้รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย หลี่หลินเคาะศีรษะเขาไปทีหนึ่ง หันศีรษะไปมองโต๊ะรอบๆ ที่สนทนากันอย่างครึกครื้น เอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อยว่า “ในคำฟ้องร้องของสกุลลู่เดิมทีก็มีแค่ชื่อของตู้โหย่วไฉ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเื้ัเขามีที่ปรึกษาสุยคอยให้ท้าย และเื้ัที่ปรึกษาสุยก็มีจ้าวจื้อเกาอยู่ แต่สกุลลู่ไม่เอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ยามนี้เหมือนว่าจ้าวจื้อเกาจะให้ที่ปรึกษาเป็คนรับเคราะห์ในครั้งนี้แทน เขานี่มันช่าง...หึ”
“เช่นนั้นนายท่านจะทำเช่นไรหรือขอรับ”
“วางใจ ยามนี้ที่ปรึกษาสุยไร้ซึ่งอำนาจ ถูกปล่อยตัวไปก็ไม่ส่งผลกระทบอะไร อีกอย่างพูดตามจริง หลายปีมานี้ตัวเขาเองก็ไม่นับว่าทำความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด แต่คนอย่างจ้าวจื้อเกาที่รับตำแหน่งมาแต่ไม่เคยทำงานทำการ เอาแต่เสวยสุขต่างหาก ที่จะปล่อยไปไม่ได้”
“เช่นนั้นนายท่านคิดจะ...”
“กลับเมืองหลวง ถวายฎีกาฟ้องร้องเขา พอดีเราจะได้กลับไปร่วมงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าด้วย”
“ดียิ่ง ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านแล้วๆ”
เด็กรับใช้ดีใจจนร้องออกมา ทำให้คนอื่นๆ พากันหันศีรษะมามองอย่างแปลกใจ
ฤดูกาลนี้เป็เวลาเหมาะสมที่สุดในการล่าสัตว์ พ่อค้าผ้าจากทุกสารทิศต่างก็เร่งรีบเดินทางมากลัวจะไม่ทันการ จู่ๆ มาเจอคนที่ดีอกดีใจที่จะได้ไปจากที่นี่ ก็ให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
แต่เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตน เพียงไม่นานพวกเขาก็เลิกสนใจหลี่หลินนายบ่าวไปโดยสิ้นเชิง
ที่หุบเขาหมีทุกคนพากันรับเอาโฉนดที่ดินไปดูอย่างตื่นเต้นยินดี ถึงแม้มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านออก และต่อให้คนที่อ่านออกจะเห็นว่าบนนั้นเป็ชื่อของบิดาลู่ ก็ไม่มีใครมีปัญหาอะไร
คนในหุบเขาหมีทั้งสิบแปดครัวเรือนถือว่าเป็ครอบครัวเดียวกัน ทั้งหุบเขาหมีมีชื่อสกุลลู่เป็เ้าของ ขอแค่วันหน้าทุกคนไม่คิดร้ายต่อสกุลลู่ ทุกคนก็ถือว่าเป็ผู้ถือครองที่ดินนี้ร่วมด้วย
คิดได้ดังนั้นพวกเขาก็วางใจ
คูน้ำสร้างเสร็จแล้ว เรือนพักหลังใหม่สองหลังและบ่อน้ำทั้งหลายก็เหลือเพียงแค่เก็บงานขั้นสุดท้ายแล้ว
ยามนี้หุบเขาหมีแปลกตาไปจากเดิม ดูเจริญขึ้นไม่น้อย
บนยอดเขา เกาเหรินกำลังะโโลดเต้นเอาไม้ไผ่กระบอกหนึ่งเข้าไปส่งในเรือนพักฝั่งตะวันออก เสร็จแล้วก็ออกไปหาซูอีลากเขามา ‘ฝึกซ้อม’
เสี่ยวหมี่เดินออกมาจากห้องครัว เห็นเฝิงเจี่ยนกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้าต่าง จึงเดินเข้าไปหา เอ่ยถามว่า “มีเื่ใดหรือ พี่ใหญ่เฝิง”
“วันนี้ผู้ตรวจการหลี่จะเดินทางลงใต้กลับเมืองหลวง เ้าจะไปส่งเขาหรือไม่?”
“อะไรนะ ผู้ตรวจการหลี่จะกลับแล้ว? เขาไม่จัดการเ้าเมืองชั่วคนนั้นหรือ?”
เสี่ยวหมี่ไม่เคยเป็ขุนนาง แต่เคยดูละครน้ำเน่ามาไม่น้อย นางเข้าใจว่าผู้ตรวจการมณฑลมีกระบี่อาญาสิทธิ์ ล้วนสามารถจัดการทิ่มแทงขุนนางชั่วช้าได้อย่างใจหมาย...
เฝิงเจี่ยนได้ยินแล้วก็อดขำไม่ได้ อธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น “กฎหมายของต้าหยวนเข้มงวด เ้าเมืองมีตำแหน่งเป็ถึงขุนนางฝ่ายปกครองขั้นสาม ถึงแม้ผู้ตรวจการมณฑลจะสืบความผิดของเขาจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ยังจำเป็จะต้องส่งเื่ผ่านสำนักราชเลขาธิการ และได้รับราชโองการลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ก่อน ถึงจะสามารถริบอำนาจหรือจับขุนนางเข้าคุกได้”
“อ้อ ที่แท้เป็เช่นนี้เอง ข้าคิดอะไรง่ายดายเกินไปจริงๆ” เสี่ยวหมี่หน้าแดงน้อยๆ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ผู้ตรวจการหลี่ก็ต้องลำบากมาถึงที่นี่เพราะเื่ของตระกูลเรา ยามนี้เขาจะกลับเมืองหลวงแล้วจะอย่างไรก็ต้องไปส่งเสียหน่อย”
เฝิงเจี่ยนยิ้มกว้างขึ้นเพราะคำว่าตระกูลของเรา
“ให้เกาเหรินขี่ม้าพาเ้าไป รีบไปรีบกลับ”
เสี่ยวหมี่อยากถามว่าเหตุใดเขาไม่ไปด้วยกัน แต่ก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ นางจึงวิ่งไปเก็บของที่ห้องครัว ถือถุงใหญ่ออกมาสองถุง ไปตามเกาเหรินที่กำลังรังแกซูอีอย่างสนุกสนานมาบังคับม้า คนทั้งสองนั่งม้าตัวเดียวกันพุ่งทะยานออกไปจากหุบเขาหมี
ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นต้าหยวน แต่์ก็ยังไม่โหดร้ายกับชาวเป่ยอันที่มุมานะพากเพียรมากนัก
เรือกสวนไร่นาระหว่างทางที่พวกเขาผ่านล้วนเขียวชอุ่มงอกงาม ดูแล้วน่าจะได้ผลผลิตดี
ส่วนทางด้านหลี่หลินนายบ่าวกำลังจะแวะพักดื่มชาร้อนๆ แล้วค่อยออกเดินทางต่อ
สุดท้ายยังไม่ทันได้เอาถ้วยชาออกมา ก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาทางพวกเขา ลู่เสี่ยวหมี่และเกาเหรินไล่ตามมาทันแล้ว
เดิมทีเด็กรับใช้คนนั้นยังหวาดกลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่บนม้าคือแม่นางน้อยคนหนึ่งกับเด็กชายตัวอ้วนที่ผูกผมทรงชี้ฟ้า เขาก็เบาใจลง
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเสี่ยวหมี่ะโลงจากหลังม้าแล้วจะถามขึ้นว่า “ท่านคือใต้เท้าหลี่ หลี่หลินหรือไม่เ้าคะ”
เด็กรับใช้คนนั้นได้ยินก็ใจนเกือบทำถ้วยชาตกแตก นายท่านของเขาปลอมตัวออกมาทำภารกิจแทนโอรส์อย่างลับๆ หรือว่ายามนี้รูปเหมือนของนายท่านจะถูกแปะประกาศไปทั่วเมืองแล้วหรืออย่างไร? เหตุใดมีคนจำได้ง่ายดายเช่นนี้ หากเป็คนชั่วช้าจะทำอย่างไร
“เ้าคือแม่นางสกุลลู่กระมัง”
หลี่หลินไม่หวาดกลัว และคาดเดาสถานะของลู่เสี่ยวหมี่ได้ในทันที
เสี่ยวหมี่ยิ้มพยักหน้า นางเดินเข้ามาในศาลาแล้วยอบกายคารวะ จากนั้นเอ่ยว่า “ใต้เท้า ขอบคุณท่านที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงอันโจวแห่งนี้เพื่อเื่ของบ้านข้า ถึงแม้เื่ราวจะผิดคาดไปบ้าง แต่พวกเราสกุลลู่ก็ยังคงซาบซึ้งในน้ำใจของใต้เท้าเป็อย่างมาก วันนี้ได้ข่าวว่าใต้เท้าจะกลับเมืองหลวง บ้านข้ายากจนไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ มีเพียงเสบียงให้พวกท่านนำติดตัวไป หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจนะเ้าคะ”
พูดจบเสี่ยวหมี่ก็ส่งสายตาให้เกาเหรินนำถุงสองใบนั่นออกมา เกาเหรินสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจเป็อย่างมาก เมื่อครู่เสี่ยวหมี่แทบจะย้ายครัวทั้งครัวใส่ถุงมาแล้ว นอกจากขนมแป้งทอดไส้หมูแล้ว ยังมีของกินเล่นพวกขนมเกลียวทอดกรุบกรอบ ถั่วลิสงเคลือบน้ำตาล แล้วยังถึงขั้นเอาหมูเค็มตากแห้งออกมาสองไหด้วย
หมูเค็มตากแห้งนี่เขาเล็งเอาไว้นานแล้ว ยังคิดอยู่เลยว่าอีกสองวันข้างหน้าตอนขึ้นเขาไปล่าสัตว์จะเอาไปกินด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเสร็จสองนายบ่าวหลี่หลินนี่เสียได้ เขาย่อมไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง
เสี่ยวหมี่เห็นท่าทางของเขาแล้วจะไม่เข้าใจได้อย่างไร นางทั้งฉิวทั้งขัน
“เอาล่ะ เดี๋ยวกลับบ้านไปจะทำเพิ่มให้เ้าอีกหลายๆ ไหเลย”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้