พูดตามตรง การที่ชวีจิ่งรู้ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ถ้าหากเป็ไปได้ชวีเสี่ยวปอหวังว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชวีจิ่ง เพราะคนแปลกหน้ารู้เื่ความสัมพันธ์ของเขากับเซี่ยเจิงแล้วจะทำอะไรได้? แต่ทว่าความเป็จริงคือ เมื่อชวีจิ่งรู้แล้ว ต่อจากนี้จะมีใครรู้เข้าอีกหรือเปล่า นี่สิถึงจะเป็ประเด็นสำคัญ
เมื่อนึกถึงเื่นี้ สีหน้าของพวกเขาทั้งสามคนก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ปลาอบถูกยกมาเสิร์ฟ ชวีเสี่ยวปอไม่ได้จับตะเกียบเลยแม้แต่น้อย จู่ๆ ความอยากอาหารของเขาก็หายไปในทันที
แต่ขณะนั้นเซี่ยเจิงกลับเทน้ำให้จนเต็มแก้ว ก่อนที่จะคีบปลาขึ้นมาหนึ่งชิ้น พร้อมทั้งค่อยๆ ดึงก้างออกมาอย่างใจเย็น แล้วจึงคีบใส่ชามให้ชวีเสี่ยวปอ
“ให้ตายเถอะ !” ซือจวิ้นพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ : “นี่นายจะทุบฉันให้กระอักเืเลยใช่ไหมคุณค้อนเซี่ย !”
การกระทำอันต่อเนื่องเช่นนี้ของเซี่ยเจิง จากในตำแหน่งตรงนั้นที่ชวีจิ่งนั่งอยู่ไม่อาจมองเห็นได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็มองเห็นเพียงแปดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
………………………….
ใบหน้าของเซี่ยเจิงเต็มไปด้วยคำว่าไม่สน ทั้งยังพูดกับชวีเสี่ยวปอขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า : “กินสิ เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อยนะ”
ชวีเสี่ยวปอหยิบตะเกียบขึ้นมา
ขณะเดียวกันซือจวิ้นก็กลอกตาไปด้วย : “พูดมาต้องนานสองนานนี่ฉันเป็ห่วงเก้อไปคนเดียวใช่ไหมเนี่ย? นายสองคน——”
“มีฉันอยู่ด้วย” เซี่ยเจิงพูดแทรกซือจวิ้น สายตาของเขาจ้องมองชวีเสี่ยวปออยู่ตลอด พลางเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ”
คราวนี้ซือจวิ้นอ้าปากค้าง ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
ชวีเสี่ยวปอเขี่ยข้าวเข้าปากไปคำใหญ่ เขาเคี้ยวๆ ไปสองสามครั้งแต่กลับไม่สามารถลิ้มรสชาติอะไรได้เลย รู้สึกเพียงแค่มีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ เขาคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรสักหน่อย แต่ในความเป็จริงเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย จึงทำได้เพียงหัวเราะเบาๆ กับเซี่ยเจิงไปครู่หนึ่งเท่านั้น
“เฮ้” ซือจวิ้นไม่เข้าใจ “นี่นายสองคนส่งสัญญาณลับอะไรกันอยู่เนี่ย? ”
…………………………
“กินของนายไปเถอะ” ชวีเสี่ยวปอคีบหัวหอมขึ้นมาชิ้นหนึ่งโยนลงไปในชามของซือจวิ้น “สัญญาณลับอะไรที่ไหนกัน”
ความจริงคือ
ในบางเื่เดิมทีเขาและเซี่ยเจิงก็ไม่ได้มีสัญญาณลับอะไรกันั้แ่แรกอยู่แล้ว ทว่าเพียงแค่มองตาก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิดได้ในทันที
แน่นอนว่าเซี่ยเจิงเข้าใจความกังวลในใจของชวีเสี่ยวปอเป็อย่างดี แต่ในตอนนี้การคิดสับสนวุ่นวายไปเองก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นได้ ชวีเสี่ยวปอยังขาดความเชื่อมั่นในอนาคตอยู่ เซี่ยเจิงจึงต้องก้าวออกมาเป็เกราะกำบังให้เขาอย่างกล้าหาญ
เผชิญเื่เหล่านี้ไปด้วยกันก็เพียงพอแล้ว
“ฉันไม่กิน !” ซือจวิ้นเขี่ยหัวหอมออกไปไว้ด้านข้างอย่างรังเกียจ ภายใต้การนำของเซี่ยเจิงบรรยากาศจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับเื่ที่โรงเรียน หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ถึงขนาดที่ว่าจะสั่งเบียร์เพิ่มมาอีกสองขวด เขารู้สึกว่าตัวเองยังดื่มได้อีกหน่อย แต่กลับถูกเซี่ยเจิงห้ามเอาไว้ซะก่อน
“ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นยืน พลางชี้ไปยังทางไปห้องน้ำ
“ฉันไปเป็เพื่อน? ” เซี่ยเจิงวางตะเกียบลง
“ไม่ต้อง” ชวีเสี่ยวปอรีบโบกไม้โบกมือขึ้นมาทันที “ฉันไม่ได้ดื่มเยอะเท่าไหร่ ไปแค่นี้เอง” พูดตามตรง เบียร์สองขวดพวกเขาสามคนแบ่งกันดื่ม แม้แต่หน้าของชวีเสี่ยวปอก็ยังไม่แดงเลยด้วยซ้ำ
“โธ่เอ๊ย” ซือจวิ้นทนดูไม่ไหวขึ้นมาอีกครั้ง “นายสองคนจะเลียนแบบพวกผู้หญิงกลุ่มนั้นในห้องเราหรือไง ที่แบบต้องจูงมือกันไปเข้าห้องน้ำน่ะ? ”
ห้องน้ำอยู่บนชั้นสองของร้าน เป็ห้องน้ำแคบๆ ที่สามารถเข้าได้แค่คนเดียว แบ่งเป็ห้องน้ำชายและหญิง ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปกำลังจะเปิดประตู แต่กลับถูกใครบางคนกระแทกจากด้านนอกเข้ามาอย่างเต็มแรง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงแก๊ก ประตูถูกล็อกอีกครั้งหนึ่ง
ในพื้นที่ที่ทั้งเล็กทั้งแคบนี้ ทั้งสองคนจ้องมองกันไปมาตาเขม็ง เื่ราวทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก ั้แ่แรกชวีเสี่ยวปอยังคงทำท่าทางป้องกันตัวไว้เอาอยู่ตลอด ราวกับเตรียมที่จะต่อยออกไปหนึ่งหมัดอย่างเต็มแรง แต่เมื่อเห็นชวีจิ่งไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก เพียงแค่ขมวดคิ้วมองมาที่ตัวเอง เขาจึงค่อยๆ คลายหมัดลง ถึงขนาดอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
อันที่จริงเมื่อครู่ขณะทานข้าวเขาก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ชวีจิ่งจะมาถามเขาหรือเปล่า ผลปรากฏว่าเขาทายถูกจริงๆ ด้วย
เมื่อเห็นชวีเสี่ยวปอเผยรอยยิ้มออกมา คิ้วของชวีจิ่งก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นมาเรื่อยๆ
ทั้งสองคนจ้องมองกับอยู่เช่นนั้นประมาณห้าวินาทีได้ ชวีเสี่ยวปอเห็นเขาไม่ได้พูดอะไร จึงตัดสินใจจะเดินออกไปด้านนอก
ทันใดนั้นชวีจิ่งก็ยื่นขาออกมาถีบประตูห้องน้ำเอาไว้ เพื่อขวางทางไม่ให้เขาออกไป
ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองเขาไปครั้งหนึ่ง “ขู่ใครเนี่ย? ถ้าถีบจนพังนายจ่ายเองนะ ฉันไม่มีตังค์”
แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ ทันทีที่ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้น หน้าอกของชวีจิ่งก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาสองคนจะเกิดมาเพื่อสร้างปัญหาให้กันและกัน ชวีเสี่ยวปอเองรู้ถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายเป็อย่างดี แต่เขากลับสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ต่างกับชวีจิ่งที่กำลังโมโหราวกับจะขาดอากาศหายใจอย่างไรอย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้นกับนายฮะ? ” ชวีจิ่งกัดฟันถาม
“อะไรคือเกิดอะไรขึ้น? ”
“คนนั้นที่อยู่กันนาย...” ดูท่าแล้วชวีจิ่งคงจะไม่อยากพูดโพล่งออกมาตรงๆ แต่ชวีเสี่ยวปอกลับยึดหลักการที่ว่า “ตีกระป๋องต้องตีให้แตก [1] ” จึงพูดแทรกเขาขึ้นมาว่า : “ก็เป็แบบที่นายคิดนั่นแหละ”
เมื่อชวีจิ่งได้ยินก็อึ้งไปทันที
ตอนแรกเขาคิดว่าชวีเสี่ยวปอยังไงชวีเสี่ยวปอก็ต้องแย้งสักสองสามประโยค ผลสุดท้ายคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมรับออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ เขาตั้งสติ ถึงขนาดที่ยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วเล็กน้อย หลังจากจัดการความคิดอันสับสนวุ่นวายของตัวเองที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ในตอนนั้นเองเขาจึงพูดกัดฟันขึ้นมาอีกครั้งว่า :
“ทำไมนายถึงทำแบบนี้? ”
การสนทนาเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะผิดปกติไปเล็กน้อย
ไม่ต้องย้อนนึกดูอย่างละเอียด ั้แ่เด็กจนโตชวีเสี่ยวปอพูดคุยกับชวีจิ่งนับครั้งได้เลย สุดท้ายก็จบลงด้วยการทะเลาะกันหรือไม่ก็ชกต่อยกัน ทว่าวันนี้น้ำเสียงแบบนี้ของชวีจิ่ง ไม่ได้จะทะเลาะกับชวีเสี่ยวปอ แต่ดูเหมือนกับกำลังตำหนิเขามากกว่า
ถึงขนาดที่ชวีเสี่ยวปออยากจะตอบเขากลับไปว่า : “เกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ”
.............................
เชิงอรรถ
[1] ตีกระป๋องต้องตีให้แตก (破罐破摔) เป็สำนวนจีนที่ใช้อุปมาถึง เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องขึ้นแต่ไม่คิดแก้ไข ปล่อยเลยตามเลยให้เป็ไปเช่นนั้น
………………………….
ทว่าสติสัมปชัญญะบอกชวีเสี่ยวปอว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ ถึงแม้เขาจะมีเซี่ยเจิงเป็เกราะป้องกันที่แข็งแกร่งและแ่า แต่การสร้างปัญหาด้วยเื่ไร้สาระกับชวีจิ่งเช่นนี้คงจะเป็ทางเลือกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ดังนั้นชวีเสี่ยวปอจึงสงบสติอารมณ์ลง พร้อมทั้งข่มดวงตาที่กำลังจะกลอกขึ้นไปให้กลับลงมา :
“นายเองก็มีแฟนอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ”
สีหน้าอันสับสนวุ่นวายของชวีจิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในทันทีแทบจะทำให้ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ นอกจากคำว่า “ชัดมาก” ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีกเลย
ความจริงแล้วหลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาเองก็รู้สึกว่ามันไร้สาระเอาเสียมากๆ ทำไมถึงได้หยิบเื่นี้ขึ้นมาพูดเอาตัวรอดกับชวีจิ่งได้นะ แต่อันที่จริงประโยคนี้ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์ใช้ได้เลย เพราะชวีจิ่งเงียบไปอยู่พักใหญ่ อีกทั้งใบหน้ายังดูยอมแพ้ขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง แต่สุดท้ายสายตากลับกลายเป็ดุร้ายขึ้นมา :
“นี่มันไม่เหมือนกัน! อย่าเอาสองเื่นี้มาพูดรวมกันสิ! ”