“พวกเรากินข้าวมาจากเมืองเยี่ยนแล้ว” ที่ผ่านมาหลี่ซานกินข้าววันละสองมื้อ จึงไม่คิดว่าการไม่กินอาหารกลางวันแล้วเดินทางกลับบ้านเป็ระยะทางเจ็ดสิบลี้เป็เื่หนักหนาอะไร
หลี่สือมองหลี่หรูอี้ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ ยื่นมือใหญ่ๆ ของตนไปลูบท้องพลางกล่าว “หรูอี้ ข้าหิวแล้ว”
หลี่หรูอี้ยิ้มทั้งที่ยังน้ำตาคลอ “ท่านอารอง ข้าจะไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้”
“หรูอี้ ข้าได้กลิ่นเนื้อ เ้าทำอะไรอร่อยๆ หรือ” หลี่สือเดินส่ายก้นตามหลี่หรูอี้ไปที่ห้องครัว สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเื่กิน
“ข้าซื้อเนื้อหมูมาด้วย เอาไปทำกับข้าวเถิด” หลี่ซานส่งเนื้อหมูให้บุตรชายคนโตที่ดูสุขุมกว่าเมื่อก่อน จากนั้นจึงนำผ้าฝ้ายขนาดยาวหนึ่งจั้งสองพับที่ซื้อมาจากตำบลจินจีให้จ้าวซื่อ “ผ้าพวกนี้ให้เ้ากับหรูอี้นำไปตัดชุดใหม่” หลายเดือนที่เขาต้องจากบ้านไป เขาเคยสัญญากับบุตรสาวไว้ว่า เมื่อกลับมาจะซื้อผ้ามาให้นางตัดชุดใหม่
จ้าวซื่อก้มมองผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน นี่เป็ผ้าที่สามีซื้อให้นางจึงมีความหมายมาก
“ข้าซื้อขนมไหว้พระจันทร์สี่ชิ้นมาจากร้านขนมในตำบลด้วย” เมื่อหลี่ซานนึกถึงราคาขนมไหว้พระจันทร์ก็พาให้รู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง
ทว่าหลี่ฝูคังกลับกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น “ท่านพ่อ วันนี้พวกเราก็ไปซื้อของที่ตำบลจินจี ซื้อผ้าฝ้ายจำนวนมาก เนื้อหมู ไก่ตัวหนึ่ง แล้วก็ปลาอีกฝูงใหญ่ด้วยขอรับ”
“พี่รอง พวกเราไปช่วยที่ห้องครัวเถิด” หลี่อิงฮว๋าเห็นหลี่ซานมีสีหน้าเปลี่ยนไปจึงรีบดึงแขนหลี่ฝูคังออกไปจากห้องโถง
ในห้องโถงจึงเหลือเพียงสองสามีภรรยา
จ้าวซื่อเช็ดน้ำตาจนแห้ง สายตาที่อ่อนโยนมองไปยังหลี่ซานด้วยความห่วงใย “พี่ซาน ชุดของท่านขาดหมดแล้ว เหตุใดจึงไม่ซื้อผ้าให้ตนเองเล่า?”
หลี่ซานแย้มยิ้ม “ข้าเป็บุรุษหยาบกร้านผู้หนึ่ง สวมอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ท่านรีบดื่มน้ำก่อน ดื่มเสร็จแล้วก็ไปล้างมือล้างหน้าเสีย อีกประเดี๋ยวจะเริ่มกินข้าวกันแล้ว”
“ได้” หลี่ซานดื่มน้ำหวานที่มีรสชาติอร่อย มองไปยังจ้าวซื่อด้วยสายตาอ่อนโยน ความเหนื่อยล้าจางไปและมีอารมณ์ดีขึ้น ทันใดนั้นเองเขาได้ยินเสียงลาร้องดังแว่วมาจากลานบ้านด้านหลัง มันร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีเสียงหัวเราะอย่างดีอกดีใจของหลี่สือดังตามมา ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “นี่เป็เสียงลาที่บ้านเราซื้อมาหรือ”
จ้าวซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่อยู่ “ใช่แล้วเ้าค่ะ”
หลี่ซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี “ที่แท้บ้านเราก็ซื้อลาจริงๆ”
“ซื้อมาคู่หนึ่ง” จ้าวซื่อหันมองหลี่ซานก่อนกล่าวตำหนิ “ท่านเองก็ดื้อดึงเหมือนลาบ้านเราจริงๆ ไม่ยอมกลับมาบ้าน ทำให้ข้าเป็ห่วงไปหมดแล้ว”
หลี่เจี้ยนอันยกน้ำอุ่นมาที่ลานบ้านบริเวณนอกห้องโถงแล้วเรียกหลี่ซานมาล้างหน้า
หลี่ซานมองน้ำที่ใสสะอาดจนเห็นลายบริเวณก้นกะละมัง เอ่ยถามไปว่า “น้ำนี่มาจากบ่อน้ำของบ้านเราหรือ”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้วขอรับ น้ำที่ขุดจากบ่อ หากเป็หน้าหนาวก็อบอุ่น หากเป็หน้าร้อนก็เย็นสบาย ทั้งยังมีรสชาติหวานเล็กน้อยและใสสะอาดกว่าน้ำที่แม่น้ำมาก”
หลี่ซานนั่งเช็ดหน้าเช็ดตาอยู่ที่ลานด้านหน้าบ้าน เสร็จแล้วจึงเดินสำรวจที่ลานด้านหลังรอบหนึ่ง
บริเวณลานบ้านด้านหน้ามีบ่อน้ำและเลี้ยงไก่ไว้ฝูงหนึ่ง ส่วนลานทางด้านหลังมีห้องขนาดใหญ่อยู่สามห้อง เอาไว้เลี้ยงลาห้องหนึ่ง อีกห้องหนึ่งวางเตาทั้งสี่เตา อีกห้องหนึ่งยังคงว่างเปล่า
หลี่เจี้ยนอันที่เดินตามมาตลอดกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อขอรับ พวกเราขุดห้องใต้ดินไว้ด้วย อยู่ใต้ห้องทั้งสามนี้เองขอรับ ที่ห้องใต้ดินมีธัญพืชสองพันชั่ง ผักดองสิบกว่าไห ทั้งยังมีถั่วลิสง พุทราแห้ง สาลี่ และแอปเปิลอยู่อีกหลายร้อยชั่ง”
เมื่อสักครู่หลี่ซานเห็นว่าบนโต๊ะแปดเซียนมีอาหารจำพวกแอปเปิล สาลี่ พุทราจีน จึงคิดว่าเป็อาหารที่กินกันเฉพาะ่เทศกาล นึกไม่ถึงว่าจะมีเก็บไว้ในห้องใต้ดินอีกหลายร้อยชั่งเพื่อเอาไว้กินกันยามปกติด้วย
หลี่เจี้ยนอันเห็นแววตาของหลี่ซานเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ จึงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “หลายวันมานี้พวกเราพี่น้องขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไปได้ราวเจ็ดพันชิ้น ทำเงินได้มากเลยขอรับ”
“ขนมไหว้พระจันทร์อันใดนะ?”
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ขอรับ มีลูกค้าที่อำเภอฉางผิงและตำบลจินจีหลายคนมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของพวกเราขอรับ”
“ที่แท้ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ก็มาจากพวกเรานี่เอง” หลี่ซานรู้สึกตะลึงพรึงเพริดเป็ที่สุด
หลี่ิ่หานที่ยืนอยู่ด้านหลังคนทั้งสองกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ท่านพ่อ ใต้เท้าหลิวแห่งศาลาพักม้าของตำบลจินจี และนายอำเภอห่าวอำเภอฉางผิง ก็มาซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของพวกเราด้วยขอรับ”
“เมื่อคืนนายอำเภอห่าวให้ใต้เท้าหลิวมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานที่บ้านพวกเราทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยชิ้น” หลี่เจี้ยนอันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบต่อว่า “การค้าคราวนี้พวกเราได้เงินมาถึงสามสิบตำลึงเลยขอรับ หักค่าใช้จ่ายออกไปแล้วก็ได้เงินมากโขเลยทีเดียว”
หลี่ซานฟังผิดเป็สามตำลึง ในปีหนึ่งมีเทศกาลไหว้พระจันทร์เพียงครั้งเดียว โอกาสหาเงินเช่นนี้จึงมีเพียงปีละครั้ง คิดได้ดังนั้นก็กล่าวชมเชยไปว่า “พวกเ้าเก่งจริงๆ”
“พี่ใหญ่ หรูอี้ทอดลูกชิ้นหมูได้อร่อยมาก ท่านมากินสิ” หลี่สือถือจานใส่ลูกชิ้นทอดเดินเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับดอกไม้บาน
หลี่ซานหิวจนท้องร้อง ดวงตาจับจ้องไปที่ลูกชิ้นหมูสีทองอร่ามจนน้ำลายแทบจะไหลออกมาแล้ว เขายื่นมือออกไปหยิบลูกชิ้นสองลูกมายัดใส่ปาก อา… กลิ่นหอมจริงๆ ยังไม่ทันรับรู้รสชาติก็กลืนลงท้องไปเสียแล้ว
หลี่สือกล่าวถามด้วยความคาดหวัง “อร่อยหรือไม่”
หลี่ซานหัวเราะ “อร่อย! ฝีมือทำครัวของหรูอี้ยอดเยี่ยมจริงๆ” จากนั้นจึงกินลูกชิ้นเข้าไปอีกสองลูก
หลี่เจี้ยนอันหยิบลูกชิ้นขึ้นมากินลูกหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่ ในใจก็คิดว่าที่แท้นี่คือลูกชิ้นทอดนี่เอง กลิ่นหอมของเนื้อหมู ต้นหอม และน้ำมันผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ช่างเป็อาหารที่เลิศรสโอชาในโลกหล้าเสียจริง
หลี่อิงฮว๋าเดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “วันนี้เป็วันฉลองเทศกาล พวกเราจึงซื้อเนื้อหมูมาขอรับ น้องห้ากล่าวว่า ลูกชิ้นทอดอร่อยจึงทอดออกมาอีกชามหนึ่ง”
หลี่ซานถามขึ้นมาทันใด “ท่านแม่ของเ้ากินแล้วหรือยัง”
อาหารเย็นสำหรับฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์เริ่มก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม บนโต๊ะแปดเซียนเรียงรายไปด้วยอาหารมากมาย มีทั้งอาหารจานร้อนอาหารจานเย็น ประกอบด้วย ลูกชิ้นทอด ขาหมูพะโล้ ซี่โครงหมูพะโล้ ไก่หมักเหล้า ปลาทอดน้ำแดง หมูทอดน้ำแดง ไข่ผัดผักกาดหอม ผัดบวบ ผัดมะเขือ น้ำแกงผักกวางตุ้ง อาหารหลักคือ หมั่นโถวแป้งขาว
กับข้าวเก้าอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง รวมแล้วเป็สิบอย่างครบสมบูรณ์
แม้จะมีเนื้อสัตว์มากแต่ผักน้อย ทว่าในสายตาของคนตระกูลหลี่กลับไม่รู้สึกเลี่ยนแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหลี่ซานและ หลี่สือที่ไม่ได้เห็นเนื้อสัตว์มานาน ทั้งยังไม่ได้กินไขมันลงท้องมานานย่อมพึงพอใจจนพูดไม่ออก
อย่างไรก็ดีในใจของหลี่ซานยังคงคิดว่า การกินเช่นนี้หรูหราเกินไป แต่เมื่อเห็นว่าเป็การฉลองงานเทศกาลจึงไม่ใส่ใจนัก พรุ่งนี้ค่อยพูดกับลูกๆ ก็แล้วกัน
หลี่หรูอี้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ในบ้านมีสุราเหลืองอยู่ด้วย จะดื่มหรือไม่”
จ้าวซื่อเห็นหลี่ซานมองมาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้เป็วันดี ท่านก็ดื่มหน่อยเถิด”
ไม่จำเป็ต้องมีคำพูดหรือพิธีรีตองอันใด เพียงคนในครอบครัวรวมตัวกันพร้อมหน้าก็นับว่าเป็เื่น่ายินดีที่สุดแล้ว อาหารเลิศรสโอชา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขครึกครื้น เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังแว่ว รับประทานอาหารร่วมกันจนอิ่มแปล้
หลี่หรูอี้กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านอารอง ในบ้านมีถังอาบน้ำอยู่ พวกเราต้มน้ำไว้ในครัวสองหม้อ พวกท่านกินดื่มเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำกันเสียหน่อยเถิด”
หลี่ซานยิ้มและถามว่า “หรูอี้จะว่าพ่อตัวเหม็นหรือ”
หลี่สือกำลังกินขาหมูที่หอมกรุ่น รู้สึกว่าอร่อยเลิศรสจนแทบจะแทะเข้าไปทั้งขา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รีบร้อนกล่าวขึ้นว่า “หรูอี้ ก่อนออกจากเมืองเยี่ยนข้าเปลี่ยนมาใส่ชุดสะอาดแล้ว ไม่เหม็น”
ั้แ่ที่หลี่ซานรอดพ้นจากภัยโรคระบาดที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีมาได้ ก็เริ่มรักษาความสะอาด กระทั่งตอนไปทำงานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยน แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใด หากเป็ฤดูร้อนก็จะอาบน้ำและซักเสื้อผ้าให้สะอาดทุกวัน หากเป็ฤดูใบไม้ร่วงจะอาบน้ำซักเสื้อผ้าทุกสามวัน
หลี่สือเป็คนที่หลี่ซานและจ้าวซื่อช่วยกันดูแลจนเติบใหญ่ จึงมีนิสัยรักสะอาดเช่นกัน
ใบหน้าของหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่เหม็น แต่การเดินทางมาหลายสิบลี้ทำให้เหนื่อยล้า หากอาบน้ำจะช่วยให้พวกท่านหลับสบาย”
จ้าวซื่อพูดขึ้นบ้าง “พวกท่านฟังหรูอี้เถิด”
“ข้าเชื่อฟังหรูอี้ พี่ใหญ่ ท่านก็ฟังนางเถิด” ด้วยเหตุนี้หลี่สือจึงได้รับปีกไก่เป็รางวัลจากหลี่หรูอี้ชิ้นหนึ่ง เขายิ้มจนตาหยี “หรูอี้ เ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้แล้วยังดีกับข้ามากเช่นนี้อีก”
..............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้